สวัสดีค่ะ เพื่อนๆๆ
วันนี้ประสบการณ์ที่อยากเล่าให้เพื่อนๆฟังคือ
ตัวเรา ของเรา (หรือที่ได้ยินกันบ่อยๆ ตัวกู ของกู) มีจริงหรือ???
ปกติถ้าพูดตามธรรมะ เราก็บอกได้ว่า
ใช่ไม่มีสิ่งใด เป็นตัวเราของเราหรอก
ทุกอย่างเป็นอนัตตา
และ หลายครั้งก็เข้าใจว่าไม่ยึดถือตัวตน
และไม่ค่อยมีอัตตาเท่าไหร่
แต่เมื่อประสบการณ์กับเหตุการณ์นี้จึง
เริ่มแจ้งใจว่า
เรามีอัตตา มิใช่น้อยเลย และเป็นไปโดยไม่รู้ตัวซะด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ เมื่อปลายปี 47 (ช่วงเวลาใกล้ๆเกิดสึนามิ)
การไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก
ห้องที่พัก แม้จะเป็นห้องปูนแคบๆ เตียงปูนแข็งๆ นอนหมอนไม้
สำหรับเราก็โอเคนะ
เพราะเป็นห้องเดี่ยว มีความเป็นส่วนตัวดีเหมือนกัน
ช่วงเวลาพักจะได้พักผ่อนหย่อนกายให้เต็มที่เลย
เพราะครั้งนี้คือการไปปฏิบัติธรรมแบบยาวๆ 7-8 วัน
ครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ จึงรู้สึกหนักเอาการเหมือนกัน
พอช่วงพักก็อยากนอนพักผ่อนกายา ให้เต็มที่ไปเลย
แต่แล้วเมื่อมาอยู่ได้วันที่ 3 ของการปฏิบัติธรรม
ก็เริ่มรู้สึกอยากกลับ
รู้สึกเหนื่อย(น่าจะเป็นเหนื่อยใจ มากกว่า เหนื่อยกาย เพราะ ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมาก)
แต่ก็กลับไม่ได้เพราะละอาย
เนื่องจากรุ่นพี่ทุกคนที่ทำงานเดียวกัน
ทุกคนล้วนอยู่ได้ ไม่มีใครหนีกลับก่อน
ด้วยแรงฮึด กลัวอายคนอื่น!!!!
จึงเกิดมานะ สู้โว้ย
จึงต้องอยู่ต่อไป ด้วยใจรอนับวันกลับ
แล้วในวันที่ 3 นี้ก็เกิดเรื่อง
ที่ยิ่งทำให้การอยากกลับพุ่งทวีถึงขีดสุดๆๆๆ
เนื่องจากขณะที่กำลัง ปลงกับชีวิตว่าไม่กลับก็ได้
ช่วงเวลาพักจึงหาความสุขกับ
การนอนเอกเขนกในห้อง
ขณะที่กำลังจะเพลิดเพลินจำเริญใจ
กับการนอนเล่นอยู่นั้น
ตาก็พลันไปเห็น
สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
ซึ่งตนเองกลัวมากๆๆๆ กำลังอยู่เบื้องหน้านี่เอง
สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น คือตุ๊กแก นั่นเอง
ณ วินาทีที่ได้พบประสบหน้ากันนั้น
หัวใจพลันตกไปถึงตาตุ่ม
มือเท้าชา
หมดเรี่ยวหมดแรงไปเลย
ความสุขที่เพิ่งจะนึกได้ว่า
นอนเล่นเฉยๆ ก็เพลินๆดี
หมดไปในพริบตานั้น
ประสาททุกส่วนขมวดเกร็ง
สิ่งเดียวที่นึกได้คือ
ต้องออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด
ไปไหนก็ได้
และสมองหมุนติ้วๆๆๆๆ
แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน
จะนอนร่วมห้องกับตุ๊กแกได้หรือนี่
สยอง อ่ะ
เพราะโดยปกติ เพียงแค่เห็นเค้า(ตุ๊กแก)
เพียงนอกกระจกหน้าต่าง
เพียงแค่เค้าโชว์ส่วนพุง
เราก็หมดแรงแทบทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว
นี่มากันทั้งตัวเป็นๆๆมาอยู่ร่วมห้องกันอย่างนี้
จะอยู่อย่างไร จะอยู่อย่างไร !!!
แต่อย่างที่เอ่ยข้างต้นค่ะ ว่า
ด้วยแรงมานะ กลัวอายคนอื่นๆ จึงยังกลับไม่ได้
ในใจสวดมนต์ สวดอุทิศส่วนกุศลทุกชนิด
สวดแผ่เมตตา
เพื่อขอให้ตุ๊กแกได้ไปเสียจากห้องเราด้วยเถิด
ส่งจิตภาวนา อ้อนวอน ไปเถิด ไปเถิด ได้โปรด
แต่ไม่รู้ด้วยอะไร ตุ๊กแกเจ้ากรรม
ก็ยังไม่ยอมไป เกาะอยู่ที่เดิม ไม่ไหวติง
ครั้นจะไล่ ก็สงสารห้องอื่นๆ
ที่เค้าก็อาจจะกลัวเหมือนเรา
เป็นการสร้างบาปกรรมอีก
ในใจท้อแท้ถึงที่สุด
ได้แต่ยอมจำนนกับชะตากรรม ที่ต้องอยู่ร่วมห้องและนอนกับตุ๊กแก เนื่องจากการปฏิบัติไม่ให้พูดจา
แต่สามารถเขียนถามวิทยากรได้
ถ้าเรามีข้อสงสัยในธรรม
วันนั้นจึงเขียนถามวิทยากร ว่า
เมื่อมีตุ๊กแกมาอยู่ในห้องเดียวกัน
เราควรทำจิตอย่างไร จึงดี บรื๋อ บรื๋อ
และคำตอบของท่านวิทยากร
ทำให้แจ้งใจเหลือเกิน
ทำให้เกิดความละอายใจ ต่อตุ๊กแก อย่างมาก
ละอายความมีอัตตาของตัวเองเหลือเกิน
ท่านวิทยากรตอบว่า
ตุ๊กแกเป็นสัตว์เล็กไม่ทำอันตรายหรอก
ตอนนั้น ฟังแล้วยังไม่หายกลัว หายขยะแขยงอยู่ดี</font> ถึงเล็กก็น่ากลัว บรื๋อ บรื๋อ
แต่คำตอบที่ ทำให้แจ้งใจ คือ คำตอบต่อจากนี้ค่ะ
แล้วท่านวิทยากรก็ตอบต่อว่า
....อันที่จริง ตุ๊กแกเค้า เป็นเจ้าของที่นะ
เค้าเป็นเจ้าบ้าน เราต่างหากที่เป็นผู้มาอยู่อาศํย
เราเป็นขาจร
ที่จริงน่าจะต้องขออนุญาติเค้า
ที่มาขออยู่ด้วยซ้ำ....
คำพูดประโยคนี้ฟังแล้วแจ้งใจในบัดดลเลยค่ะ ว่า
เรานี่ช่างยึด ตัวเรา ของเรา
เราเพิ่งมาอยู่ได้ 3 วัน
ก็รู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของห้องเสียแล้ว
แถมยังมีแก่ใจจะไปขับไล่ เค้า (ตุ๊กแก)
ซึ่งเป็นเจ้าของที่มานาน
นอกจากจะไม่ขออนุญาติมาอยู่
ยังจะไปขับไล่เจ้าของเดิม อีก ช่างน่าละอายโดยแท้
วันนั้นจึงเห็นสัจธรรม ความมีอัตตาของตัวเอง อย่างแจ้งใจ
หลังจากนั้นกลับไป ก็ส่งจิตบอกเค้า(ตุ๊กแก)
ว่า ขอโทษด้วยที่กระทำการอันไม่ดี
คิดจะขับไล่เค้าซึ่งเป็นเจ้าของ
และ ขออนุญาติ ขอพักอาศํยชั่วคราว ด้วยค่ะ
หลังจากนั้น
เราก็อยู่อย่างเจี๋ยมเจี้ยม เจียมเนื้อเจียมตัว
ไม่ว่ากล่าว ไม่รู้สึกไม่ดีต่อตุ๊กแกใดๆๆอีก
ความโกรธ เกลียดเค้า ลดลงไปมาก
ยังกลัว เค้าอยู่ดี
แต่ด้วยความเคารพในเค้า ในสิทธิของเค้า
จึงยอมรับการอยู่ของเขาได้อย่างเต็มใจ
แปลกเหมือนกัน เมื่อยึดตัวตนน้อยลง
ยึดตัวเรา ของเรา น้อยลง เราจะยอมรับคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ
เมื่อนั้น ความโกรธ ความเกลียด ก็มลายหายไป
สามารถอยู่ในห้องเดียวกันได้
(เพียงแต่ถ้าไม่จำเป็นจะไม่มองไปฝาผนังด้านนั้น)
แม้ใจจะยอมรับเค้าในฐานะเจ้าของได้
แต่ไม่สามารถยอมรับรูปร่างหน้าตาเค้าอยู่ดี
คือความกลัวยังมีอยู่นะ
แม้รู้ว่า รูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเกลียด
ก็เกิดจากจิตเราปรุงแต่งไปเองนะ
แต่ยังปรุงให้รู้สึกว่าตุ๊กแก น่ารักยังไม่ได้อ่ะ
เมื่ออัตตา ความเป็นห้องของฉันลดลง
ความโกรธเค้า ("เข้ามาทำไม ออกไป")
ไม่พอใจเค้า ("เข้ามาได้ยังไง ห้องของฉัน")
ลดลงจนหายไป
จึงอยู่กับเค้าด้วยจิตที่ยอมรับเค้า
>จึงมีเมตตากับเค้า
แล้วใจก็สงบลงอยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น
และคนที่มีความสุขที่สุดก็คือตัวเราเอง
เพราะใจเราสงบลงได้ เมื่อเห็นแจ้งและยอมรับสัจธรรมได้นั้นเอง
ดังนั้น เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น
ทำให้พบว่า
" ...ความจริง...ตัว เรา... ของ เรา...มีจริงหรือ??.."
เริ่มตระหนักเห็นในชีวิตตัวเองว่า
เรายึดอะไรต่ออะไรมากมาย
เรายึดสิ่งต่างๆเป็นของเรามากมาย
เรายึดตัวตนมากมาย
เรายึด โดยรู้ต้วบ้าง และโดยไม่รู้ตัวบ้าง(ซึ่งเป็นส่วนใหญ่)
สิ่งที่เรายึดมากมายนั้น
มีสิ่งใดบ้าง ที่เป็นของเรา ที่เป็นตัวเรา จริงๆๆ
และ การยึด ทำให้ทุกข์
ยึดเป็นตัวเรา ของเรา (ห้องของเรา)
เป็นทุกข์ (เกิดความร้อนใจเหลือเกิน)
เมื่อเห็นความจริงว่า
ห้องไม่ใช่ของเรา
เมื่อคลายการยึดลง
ใจก็เป็นสุขมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อยึดตัวเรา ของเราลดลง
เราจะอยู่กับคนอื่นๆ ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
เราจะยอมรับเขาได้มากขึ้น
เพื่อนๆ ลองดูนะคะว่า ทุกวันนี้เพื่อนๆยึดสิ่งใดไว้
จนเริ่มเกิดทุกข์
บ้างหรือเปล่าคะ
หวังว่าเพื่อนจะมีความสุขกับการปลดปล่อย
.........ตัวเอง
.........พันธนาการ
.........ที่ยึดเพื่อนๆไว้นะคะ
ปล. การไปสวนโมกข์ครั้งนี้ที่ตอนแรกดูขลุกขลักรู้สึกแย่ๆนั้น
กลับได้อะไร ดีๆๆ มากมายให้กับชีวิต
ได้ของขวัญอันล้ำค่าอย่างยิ่ง ที่สุดในชีวิต
และติดใจอยากจะกลับไปอีก หลายๆๆครั้ง
(แหะ แหะ อัน การติดใจ การอยาก ก็เป็นกิเลสน่ะนะ อิอิ
ก็รู้นะ
แต่เพราะความรู้สึก สว่าง สงบ นั้น
เป็นสิ่งที่ดีจริงๆเลยอ่ะ
เขียนได้สนุกดีครับ การพูดถึงธรรมะด้วยความรู้สึก สนุก สบาย ๆ หาคนเขียนพูดได้ยากนะผมว่า
บันทึกนี้เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยครับ ผู้ปกครองควรแนะนำให้เด็กๆ ได้ดู
ตัวเราของเรานั้น สำหรับผมยังรู้สึกอยู่ว่ามีนะ แต่ก็พยายามคิดว่าสักวัน หรืออยู่ ๆ มันอาจจะหายไปเลยก็ได้ พยายามที่จะไม่คิดปรุงแต่งอะไรให้มากแล้วก็ลดๆ สิ่งที่ติดอยู่ออกไป สาธุ
ขอบคุณมากนะคะ ที่เข้ามาอ่านกัน
และ ดีใจจังค่ะ สำหรับคำชื่นชม
แบบว่า ปลื้มใจจังค่ะ
ตัวเราของเรา สำหรับตัวซันซันเองก็มีอยู่
พอดูพอเห็นตัวเองละเอียดมากขึ้น มิใช่น้อยๆเลย!!
ตอนนี้ที่ทำได้คือความรู้ตัวเองไปค่ะ
และอันที่วางได้ ปล่อยได้ รู้สึกเบาสบายจังเลยค่ะ
'(^----------------^)'
ไข้ใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจ
คนผูกกระพรวนก็ต้องเป็นคนแก้เอง
คุณ Man In Flame
ใช่ค่ะ ตุ๊กแกเป็นครูที่ดีมากๆค่ะ
นิทานเซน ชอบๆๆจังเลยค่ะ
และ ปกติชอบ สไตล์เซนอยู่แล้วด้วยค่ะ
ขอบคุณนะคะ
สวัสดีครับคุณ ซันซัน
เขียนได้สนุกจริงๆ..... ยืนยันครับ
คุณ join_to_know
ขอบคุณมากๆๆเลยค่ะ ^+^
ฝึกใจ-ทำได้ทุกวัน-เมื่อรู้เท่าทัน-มีสติ-ก่อเกิดสมาธิ-เป็นบาทฐานแห่งปัญญา
ยินดีที่รู้จักครับ
คุณ โรจน์
ถ้าทำได้ มีสติรู้ตัวได้ตลอด สุดยอดเลยค่ะ
บรรลุแน่ๆๆ อิ อิ
ขณะยังไปไม่ถึงค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ
ผมตามอาจารย์กมลวัลย์มา
ผมชอบ ที่คุณซันซันได้คำตอบและเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยน.....และอยากไปอีก..
ผมเรียนรู้จากบทเรียนของคุณซันซัน นี่แหละข้อดีมากๆของ G2K
ขอบคุณสิ่งดีงามที่ล้ำค่าจริงๆ
เอาตุ๊กแกมาให้ดู
ถ้าไม่ชอบก็ลบออกนะคะ
ถ้าเรารู้ประโยชน์อาจชอบก็ได้ค่ะ
ลองดูทีนี่นะคะ
ธรรมะสวัสดีครับ
คุณ บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
ขอบคุณนะคะที่เข้าอ่านกันค่ะ
และ ดีใจนะคะที่ทำให้รู้สึกดีๆๆค่ะ
คุณ อุบล จ๋วงพานิช
ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้เห็นข้อดีๆของตุ๊กแกค่ะ
สะท้อนให้เห็นว่าเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่งนะคะ
ขึ้นกับการใส่ใจ
เหมือนที่บทความของอาจารย์มาโนชค่ะ
"ชีวิตคือความใส่ใจในแต่ละขณะ "
http://gotoknow.org/blog/ponder/89912
ถ้าใส่ใจที่ประโยชน์ ตุ๊กแกก็เป็นของดีค่ะ
แต่ถ้าใส่ใจ ในแง่รูปร่างลักษณะ ตุ๊กแกก็เป็นของน่ากลัวไปค่ะ
อยู่การใส่ใจจริงค่ะ
คุณ ธรรมาวุธ
ธรรมะสวัสดีค่ะ
ชื่อเหมาะมากค่ะ ตุ๊กแกสอนธรรม
ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณนะคะ
คุณ ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณนะคะ
จะพยายามสร้างแพลนเน็ตให้ได้ค่ะ คือตอนนี้ยังใหม่ๆ งงๆ อยู่บ้างค่ะ
ความเห็นก็คงไม่ต่างจากหลายท่านข้างต้น...อ่านไปยิ้มไป...เห็นธรรม...ได้สุขแบ่งสุข...นี่ประเสริฐยิ่งนะคะ...ทำให้จิตเรา จิตเขาเบิกบานด้วยค่ะ...
(^____^)
กะปุ๋ม
![]() |
เข้ามาอ่าน....
ตอนหลวงพี่เป็นวัยรุ่นยังไม่บวช มีละครโทรทํศน์เรื่องตุ๊กแกผี อะไรทำนองนี้แหละ (ไม่ค่อยแน่ใจ)... ทำให้หลวงพี่รู้สึกกลัวตุ๊กแกขึ้นภายในใจตลอดมา เพราะชีวิตที่ผ่านมาเกือบจะไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินเสียงตุ๊กแกเลย ....
พอมาบวช ประมาณปี ๒๕๒๙-๓๐ หลวงพี่ไปอยู่ที่วัดดอยม่วงคำ จ.ลำปาง ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง หลวงพี่อยู่รูปเดียวบนดอย ที่ข้างกุฏิก็มีตุ๊กแกป่าตัวโตขนาดข้อมือหรือน่องขา...
แรกๆ ก็กลัวมาก แต่ก็ใจแข็งเดินไปดูมันร้อง... ต่อมา เมื่ออยู่ไปนานๆ ก็รู้สึกว่ามันกลายเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด... และตั้งแต่ออกจากวัดนั้นมา หลวงพี่ก็ไม่กลัวตุ๊กหรือเสียงตุ๊กแก อีกเลย...
บางที ความกลัว เราสร้างขึ้นเอง...
เจริญพร
คุณ Ka-Poom
ขอบคุณนะคะ
และ ยินดีจังนะคะ ที่ทำให้จิตเบิกบานค่ะ
นมัสการ หลวงพี่ BM.chaiwut นะคะ
ความกลัวเราสร้างขึ้นเองจริงๆๆค่ะ
เห็นจิตที่ปรุงแต่ง แต่งเติมไปเรื่อยๆๆๆๆ เลยค่ะ
ยิ่งแต่งยิ่งเติมไปมาก ก็ยิ่งกลัวมากค่ะ
สิ่งที่หลวงพี่สั่งสอน เตือนสติได้ดีจริงแท้ค่ะ
กราบขอบพระคุณหลวงพี่นะคะ
สาธุค่ะ ท่าน
อ่านเพลินและได้ข้อคิดอีกแล้ว ..
เลยสงสัยว่าตอนเรานอนตื่นมาแล้วเจอเจ้าตุ๊กแก เขาอยู่ใกล้ๆ หมอนเรา ตอนนั้นจะได้เรียนรู้สติมากขึ้นหรือเปล่านะ ^__^
ตามตุ๊กแกมาค่ะคุณหมอซันซัน : )
เล่าเรื่องได้น่ารักจังเลยค่ะ เข้าใจเลย อธิบายธรรมะอย่างเป็นธรรมชาติเลยอะค่ะ นึกถึงสวนโมกข์จังเลย ไม่ได้ไปนานแล้ว .....
และก็ยังเกรงใจคุณตุ๊กแกหน่อยๆอยู่ดีอะค่ะ คือต่างตัวต่างอยู่อย่างสงบจะป็นพระคุณ..... . ....พี่ก็อยู่บนเพดานของพี่ น้องก็อยู่บนพื้นกระดานของน้องอะค่ะ......อิอิ : )
สวัสดีค่ะ อาจารย์มาโนช
บรื๋อ บรื๋อ บรื๋อ แค่คิดก็ไม่ไหวแล้วค่ะ
คงได้เรียนรู้สติ เห็นความกลัววิ่งไปมาเต็มไปหมดค่ะ
เอ แต่จะว่าไป อาจเป็น exposure therpapy ชนิด flooding
คือ ถ้าไม่ช๊อค ก็คง หายกลัวไปเลยอะไรทำนองนี้ค่ะ
^+^
คุณ ดอกไม้ทะเล
ขอบคุณมากๆนะคะ ปลื้มใจจังค่ะ
ใช่ค่ะ คือไม่ขับไล่กันค่ะ
อยู่ร่วมห้องกันได้
แต่ขออย่ามาใกล้กันนะคะ อึ๋ย อึ๋ย อึ๋ย
ยินดีด้วยจริงๆครับ
คิดแล้วขอโม้เสียหน่อยครับว่า บริเวณ ห้องปูนแคบๆ เตียงปูนแข็งๆ นั้น เดิมเป็นที่ลุ่ม ผมและเพื่อนพระร่วมรุ่นราว 50 ชีวิต ได้ใช้แรงกาย ขนดินมาถม เพื่อปรับระดับให้สูงขึ้น เมื่อปี 2531 ครับ
ท่านเมธี ท่านจ้อย ก็บวชรุ่นเดียวกัน คราวนั้นเขาช่วยกันดัน ตั้งผมเป็นประธานรุ่นครับ
หากสนใจการไปที่นั่นอีกบ่อยๆ ยินดีมากครับ ที่จะหาทางอำนวยความสะดวก เพราะมีญาติๆที่ พร้อมให้ความช่วยเหลือแขกเหรื่อของสวนโมกข์อยู่เสมอ
ขอบคุณต่อเรื่องเล่าที่สะท้อนความจริงในใจคนเราออกมาได้แจ่มชัด ผมเองก็วนเวียนอยู่แถวสวนโมกข์มาตั้งแต่เป็นเด็ก ยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณทั้งตัวบุคคล และสถานที่แห่งนั้นเป็นอันมากครับ .. มีบันทึกที่เกี่ยวเนื่องกับสวนโมกข์อยู่บ้าง ว่างๆลองตามไปดูได้ครับ ที่นี่ แต่อย่าหวังสาระอะไรมากนัก เพราะเขียนเล่นๆไปพอให้ใจสบายๆเสียเป็นส่วนมากครับ
คุณ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณมากๆๆๆเลยค่ะ
และ เข้าไปอ่านบทความ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
เป็นบทความที่ดีและน่าประทับใจ และ แฟนๆๆเยอะเลยค่ะ
ได้อ่านเรื่อง ตอนทะเละกับตุ๊กแก แล้ว รู้สึกได้แง่คิด ดีมากเลย กำลังติดตามอ่าน เรื่องที่คุณหมอ เขียนอยู่ครับ
ทินกร
![]() |
พอพูดถึงการปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ที่เล่ามา ทำให้หวนรำลึกถึงคราวที่ไปเข้าคอร์สปฏิบัติเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นไปอยู่ที่สวนโมกข์นานาชาติ เป็นรายการที่เปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป มีหลากหลายวัย ผมเองนอนห้องเดียวกับหนุ่มน้อยอายุสัก 12-13 ขวบเห็นจะได้ โชคดีไม่มีตุ๊กแก...อิอิ
เจอแต่"งูกะปะ" ตอนหัวค่ำอยู่แถวๆรองเท้าแตะของผู้ปฏิบัติ พระวิทยากรบอกว่า เราไม่ไปทำอะไรมันเดี๋ยวมันก็ไปเองแหละ ยังนึกเสียวไม่หายเลย..แหะๆ
ขอพูดเรื่องการปฏิบัตินิดหนึ่ง....กฎข้อห้ามไม่ให้พูดกันตลอดการอบรมนี่ บางคน(ผู้หญิง)เคยชินกับการพูด ไปนั่งปฏิบัติในห้องรวมต้องพกน้ำไปด้วย เพราะว่าน้ำลายมันคอยออกมาจึงต้องจิบน้ำแทน...อิอิ
ที่นี่ปกติจะมีฝรั่งต่างชาติมาอบรมทุกเดือน พระอาจารย์บอกว่า ฝรั่งมีวินัยกว่าคนไทย เขาห้ามพูดฝรั่งจะรักษากฎกติกาดีเยี่ยม แต่คนไทยเป็นอย่างไรก็รู้ๆกัน แอบๆพูดกันมีเสมอๆ เอ๊ะ ! ว่าจะเขียนนิดเดียวชักยาวแล้วซี...จบแค่นี้ละกัน
ได้ข้อคิดที่ดีมากเลยครับ คุณหมอ2อาทิตย์(ซันซัน) อิอิ
คุณ อิสรภาพทางใจ
ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ติดตามกันค่ะ
คุณ ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณค่ะ นกน่ารักมาฝากตั้งหลายอย่างแน่ะ ^+^
คุณ ดวงใจ
ถ้าจะหายกลัว ก็ต้องลองเผชิญกันไปเลยค่ะ
อิอิ แต่คงต้องค่อยเป็นค่อยไปนะคะ
ถ้าเจอกันใกล้ๆจังๆ แรกๆทีเดียวเลยคงแย่เหมือนกันค่ะ
เอาใจช่วยค่ะ
คุณ ตาหยู
ขอบคุณมากนะคะ
คุณ augustman
อ่านที่คุณ augustman เล่าให้ฟังได้บรรยากาศเลยค่ะ
และการห้ามพูดก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากนะคะถ้าไปกับคนรู้จัก
แต่ช่วยให้เห็นจิตตัวเองชัดมากเลยค่ะ
ว่าขณะที่บรรยากาศข้างนอก เงียบนิ่งขนานนั้น
แต่จิตเรานี่วิ่งไปมาไม่หยุดเลยค่ะ
และ พอวันให้เริ่มพูดเห็นเลยว่าสติหลุดไปเรื่อยๆตามสิ่งแวดล้อมข้างนอกตลอดเวลาค่ะสวัสดีค่ะ คุณซันซัน
คุณ อ.หนู
ขอสมัครอย่างนี้เขินแย่ไปเลยค่ะ อิ อิ
แต่ดีใจมากๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ ^+^
เช่นกันค่ะ สมัยอยู่บ้านที่จังหวัดนนทบุรีก็ไม่เคยเห็น
มาเห็นตอนไปอยู่สุราษฎร์ เล่นเอาอึ้งและช๊อคจนทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ
คุณ serenity
ช่ายค่ะ ถ้าคลายความยึดติดลงได้ ความทุกข์คงหายไปได้เยอะ
ทุกวันนี้ยังเผลอยึดติดอยู่ (รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง)
ที่รู้บางทีก็คลาย แต่บางทีก็ยังคลายไม่ได้
อาจเป็นเพราะ การยึดติดนั้น
มาจากกิเลสที่ยังบังตา
ทำให้เห็นว่า ถ้าได้อย่างที่ยึดติดจะเป็นสิ่งดีกับชีวิต
จะช่วยให้ชีวิตมีค่ามากขึ้น
แต่แท้จริง มันอาจเป็นแค่มายา
(กรรมอาจจัดฉากให้เราวิ่งรับใช้กิเลส)
ตอนนี้พยายามตามรู้ตัวเองค่ะ
คลายได้แค่นั้น ก็ แค่นั้น
เพราะการอยากจะคลายการยึดติดมากๆ
ก็อาจกลายเป็นการยึดติดอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ซับซ้อน ซับซ้อน
ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยมเยียน
และ ช่วยแตกข้อคิดดีๆค่ะ
สวัสดีครับซันซัน