บันทึกนายสายลม..เรื่องอยากเล่า


สิ่งที่ผมรู้สึกได้จากเหตุการณ์นี้คือ ผมคิดว่ามีเมล็ดพันธ์ของความสุขได้แตกหน่อขึ้นในใจของชาวค่ายของผมแล้วครับ

เป็นความรู้สึกต่อเนื่องหลังจากที่อ่านบันทึกของพี่แผ่นดินเกี่ยวกับการออกค่ายครับ 


เรื่องอยากเล่าครับ

  • ครั้งหนึ่งสมัยตอนที่ผมเรียนอยู่ระดับปริญญาตรี ที่ ศูนย์กลางสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล(คลองหก) สมัยนั้นผมได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องมาจากตั้งแต่อยู่ที่ วข.ขอนแก่น
  • ในฐานะประธานชมรมอาสาฯของที่นั่น(คลองหก)ในขณะนั้น  ผมได้มีโอกาสพาเพื่อนสมาชิกชมรมไปสร้างอาคารเรียนที่ จ.เชียงราย เป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล อยู่บนภูเขา วัสดุทุกชิ้นที่ใช้ในการก่อสร้างและใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของชาวค่ายนั้น ส่วนใหญ่ต้องใช้แรงงานคนช่วยกันขนขึ้นมาบนดอยเกือบทั้งหมด
  • เรื่องประทับใจอีกเรื่องหนึ่งในการออกค่ายครั้งนั้น คือ เย็นวันหนึ่ง ขณะที่พวกเราชาวค่ายกำลังขมักเขม้นช่วยกันทำงานตามหน้าที่กันอยู่ มีคุณยายแก่ ๆ ชาวเขาคนหนึ่งเดินหลังโก่ง ๆ ค่อม ๆ ของแกเข้ามาที่ค่ายฯ มือแกถือมะละกอสุกอยู่ลูกหนึ่ง หลังจากที่ผมเข้าไปซักถาม ซึ่งพอจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะยายแกส่วนใหญ่จะพูดภาษาชาวเขา พอสรุปได้จากผู้ใหญ่บ้านที่แปลให้ฟัง สิ่งที่ยายแกพูดก็คือ " เห็นชาวบ้านแถวนี้บอกว่า มีคนเมืองล่างมาสร้างโรงเรียนให้เด็ก ๆ ยายก็ดีใจ จึงเอามะละกอสุกที่ยายปลูกไว้มาฝาก อยากให้กินกันทุกคน แต่ยายมีแรงถือมาได้แค่ลูกเดียว ถ้ารู้ว่ามากันเยอะขนาดนี้ยายคงจะเอามาให้กินกันเยอะ ๆ "
  • ตอนนั้นเริ่มจะค่ำแล้วผมและสมาชิกอีกสามคนจึงอาสาเดินกลับไปส่งยายที่บ้าน
  • สิ่งที่ผมรู้ในขณะนั้นคือว่า ระยะทางจากบ้านของยายมาถึงที่โรงเรียนนั้นไม่ใกล้อย่างที่คิดครับ เดินขึ้นลงดอยอยู่ประมาณเกือบสองชั่วโมง รวมขากลับก็ประมาณเกือบสี่ชั่วโมง  พอไปถึงบ้านยายนั้น บ้านยายเป็นกระท่อมเก่า ๆ ฝาบ้านมีอยู่แค่สองด้านเป็นไม้ไผ่สานขัดกันไปมาพอแค่กันลมหนาวได้เท่านั้น 
  • พอผมกลับมาถึงค่ายฯ ผมประกาศให้สมาชิกทุกคนหยุดพักงานกันชั่วคราวแล้วเรียกประชุมสมาชิกทั้งหมด เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง สมาชิกทั้งหมด  ผมสังเกตุได้ว่าสิ่งที่ผมเล่าทำให้พวกเขาน้ำตาคลอ
  • ผมแบ่งมะละกอสุกลูกนั้นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละน้อย ๆพอคำ แล้วให้สมาชิกทุกคนลิ้มรสชาดของความเอื้ออาทรจากยายที่อยู่ห่างไกลที่มีต่อชาวค่ายฯทุกคน
  • หลังจากนั้นทุกคนก็กลับไปทำงานของตนเองต่ออย่างขมักเขม้น
  • สิ่งที่ผมรู้สึกได้จากเหตุการณ์นี้คือ ผมคิดว่ามีเมล็ดพันธ์ของความสุขได้แตกหน่อขึ้นในใจของชาวค่ายของผมแล้วครับ
หมายเลขบันทึก: 94475เขียนเมื่อ 5 พฤษภาคม 2007 12:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)
  • สวัสดีครับ ...น้องรัก
  • ลุ้น ๆ ว่า...จะเข้าบันทึกของเราได้จนแล้วเสร็จหรือไม่  หวังว่าระบบคงไม่มีปัญหา  กระนั้นเน็ตก็ช้าและช้ามาก  ...ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
  • .....
  • บันทึกนี้สั้นกระชับและเต็มไปด้วยเรื่องราวชีวิตของเจ้าบ้านและผู้มาเยือนอย่างน่าประทับใจ

 

คุณน้องครับ..

พิมพ์ได้ไม่เกิน 3  บรรทัด ระบบจะหยุดและบันทึกไปโดยปริยาย  ...ยังผลไปถึงล่มทั้งระบบเลย   ซึ่งเป็นยังงี้ทุกครั้งไป   เลยไม่สามารถแลกเปลี่ยนไปอย่างเต็มที่ดังที่ใจอยากจะเป็น

.....

ดีใจที่มีคอค่ายมาแจม  ทำให้ไม่รู้สึกเดียวดายในบันทึก  ...

....

ที่  มมส   พี่คุยกับนิสิตคือไม่มีนโยบายให้ไปค่ายต่างภูมิภาค  เพราะปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจากการเดินทางสูงมาก ...อีกทั้งอีสาน ก็ยังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะ   ซึ่งที่จริงก็อยากไปนะ  โดยเพาะภาคเหนือ

ล่าสุดพี่ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่อุตรดิตถ์  ซึ่งเขียนไว้ที่บันทึกเรื่อง "กิ่วเคียน.."   และยังเขียนไม่จบ.

....

ในชุมชนไกลโพ้นจากตัวเมือง  มีธารน้ำใจอันบริสุทธิ์ไหลรินเป็นสายยาวที่ไม่ขาดห้วง   (ผมแบ่งมะละกอสุกลูกนั้นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละน้อย ๆพอคำ แล้วให้สมาชิกทุกคนลิ้มรสชาดของความเอื้ออาทรจากยายที่อยู่ห่างไกลที่มีต่อชาวค่ายฯ)

และสิ่งเหล่านั้นเป็นเมล็ดพันธ์ของความสุข..ที่ควรมีอยู่ในสังคมทุกสังคม

....

รักและประทับใจบันทึกนี้มาก

(แย่จัง....ระบบล่มอีกแล้ว)...ลุ้น ๆ จะบันทึกได้มั๊ย

  • ขอบคุณครับ
  • เก็บเกี่ยวความรู้สึก จดไว้ในบันทึกแห่งความทรงจำ
  • ผมมาคิดดูดีดีแล้ว ผมกลับรู้สึกว่า ผมเป็นผู้ได้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ครับ
  • คุณจะรู้สึกอย่างผมบ้างรึเปล่านะ.........
  • มีมีเรื่องที่ประทับใจและอีกหลายอย่างเกี่ยวกับการทำค่าย ทั้งค่ายสร้าง ค่ายสอน ค่ายกับมูลนิธิต่าง ๆ ฯลฯ มากมาย
  • ไว้มีโอกาสเหมาะ ๆ ดีดี แล้วจะมาเล่าในบันทึกให้อ่านกันนะครับ

เข้ามาเยี่ยม ฟังเรื่องเล่าที่ประทับใจค่ะ

P

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท