ในช่วงเข้าพรรษาของทุกปี ความสนใจเรื่องบั้งไฟพญานาคนั้นทำให้เมืองหนองคายเต็มไปด้วยผู้คน แม้ว่าทางวิทยาศาสตร์จะบอกมาว่าเป็นเรื่องของก๊าซสักอย่างหนึ่ง นั้นก็เป็นเรื่องของการพิสูจน์ไป แต่สิ่งที่สะท้อนความเชื่อ วัฒนธรรม พุทธศาสนา นั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พญานาค เป็นสิ่งที่เล่าขานกันมา
วันนี้อากาศดีค่ะ ได้อ่านหนังสือเรื่อง มุจลินท์พญานาคราช : พญานาคในพุทธศาสนา รวบรวมโดย พระมหาประมวล ฐานทต.โต (บุลาลม) ก็ได้อรรรสในเนื้อหาที่อยากเล่าสู่ชาว G2K บ้าง
ผู้รวบรวมเล่าว่า พญานาคมี 1024 ชนิด จำแนกออกเป็น 4 ประเภท
1. กํฎฐะมุข มีพิษ ผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการแข็งไปทั่วอวัยวะ
2. ปูติมุข ผู้ถูกกัดจะมีแผลเน่าลุกลาม น้ำเหลืองไหล
3. อัคคิมุข ผู้ถูกกัดจะมีอาการร้อนจัดไปทั้งตัว แผลคล้ายไฟไฟม้
4. สัตถะมุข ผู้ถูกกัดมีอาการเหมือนถูกฟ้าผ่า
พญานาคสามารถที่จะจำแลงเป็นสิ่งต่างๆ เช่น มนุษย์ได้ เหมือนคราวที่จำแลงมาเป็นมานพน้อยเพื่อขอบรรพชา แต่ข้อจำกัดของพญานาคนั้นจะไม่สามารถจำแลงร่างเป็นอย่างอื่นในกรณีดังนี้
ในขณะปฏิสนธิ
ในขณะลอกคราบ
ในขณะเสพเมถุนกับนางนาคด้วยกัน
ในขณะนอนหลับ
ในขณะตาย
พญานาคมีกำเนิดจากเดรัจฉานภูมิ เป็นสัตว์ที่ต้องเคลื่อนไปในแนวขวาง คือเลื้อยไปด้วยอก การเกิดของพญานาคมีด้วยการ 4 วิธี คือ เกิดจากไข่ เกิดจากครรภ์ เกิดจากเหงื่อไคล และเกิดแล้วโตทันที
อ่านสนุกคะ อยากแนะนำให้ผู้สนใจหามาอ่าน อย่างน้อยเวลพาลูกหลานไปวัด เจอบันไดที่มีพญานาค ก็จะได้มีเรื่องตำนานเล่า เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อีกประการหนึ่ง
เห็นด้วยค่ะในเรื่องบั้งไฟพญานาค ความเชื่อคือความเชื่อ หากมีประโยชน์ในมิติต่างๆ แล้วก็นับว่าเป็นประโยชน์
สำหรับเรื่องพญานาคนี้ ก็ต้องขอบคุณผู้รวบรวมไว้เช่นกันค่ะ