แวะเข้ามาเยี่ยม & เรียนรู้ครับ ^__^
โห..อาจารย์ ดำดิ่งมาสู่บันทึกในอดีตของผมเลยหรือครับ ขอบคุณมากครับ
เห็นด้วยที่ว่า "หากต้องการให้ศาสตร์นั้นๆ รับใช้คน ก็ต้องเรียนรู้เรื่องคนมากขึ้น" ครับ
ผมทำงานกับวิศวกรชลประทานมามาก หลายโครงการ พบเสมอว่าท่านเหล่านั้นไม่เข้าใจชาวบ้านเอามากๆ ท่านเอาแต่หลักการทางวิศวกร เมื่อหลักการทางวิศวถูกต้องแล้ว เป็นว่าถูกต้อง ไปบีบชาวบ้านให้ต้องยอมรับการตัดสินใจนั้นๆ....ทั้งๆที่โครงการชลประทานสร้างขึ้นด้วยงบประมาณมหาศาล และเพื่อชาวบ้าน เป็นงบมาจากภาษีชาวบ้านด้วย หลายเรื่องชาวบ้านก็ทิ้งไปเลยเพราะไม่สอดคล้องกัยความต้องการของเขา ไม่สอดคล้องต่อเงื่อนไขของเขา ระบบชลประทานจำนวนมากทิ้งว่างเฉยๆ แม้ในปัจจุบันครับก็ยังสร้างระบบชลประทานที่ไม่เคยสำรวจความต้องการของชาวบ้านอย่างแท้จริง ในพื้นที่ทำงานของผมก็มีอยู่ ผมเสียดายงบประมาณมากๆ ประเทศเราสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปเท่าไหร่ต่อปี...? ผมว่ามากมายนะครับ (จริงๆ..อาจจะมีเงื่อนไขอย่างอื่นแฝงอยู่ด้วยมิใช่เรื่องความเข้าใจคนเพียงอย่างเดียว.)
ช่วงหนึ่งผมมีโอกาสติดตามผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศไปขุดหลักสูตรที่สร้างวิศวกรชลประทานแห่งหนึ่งว่าตลอดสี่ปีเขาเรียนเรื่องคน เรื่องสังคมสักเท่าไหร่ พบว่ามีเรียน 1 course และเป็น elective ....ผมคิดในใจว่ามิน่าเล่า...
ผมเองไม่มีประสบการณ์ทำงานกับชาวบ้าน (เคยออกแค่ค่ายอาสาฯ ตอนเป็นนิสิต - แต่นั่นก็ผิวเผินมาก) แต่เคยทำงานกับคนสองกลุ่มมากหน่อย จึงอยากฝากเอาไว้เป็นกรณีศึกษา:
คนที่ทำงานในภาคการผลิต (นักอุตสาหกรรม) :
พบว่า เวลาเขามีปัญหาอะไร เขาจะพยายามแก้ไขก่อน ถ้าแก้ไม่ได้จึงค่อยหาองค์กรหรือนักวิชาการไปช่วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะลองด้วยตัวเองก่อน
แต่มีปัญหาที่พบบ่อยๆ ก็คือ เวลาเขามาคุยกับเรา เขาอาจจะนำเอาส่วนที่เป็นผลของปัญหามาเล่าให้ฟัง แล้วบอกให้เราทำการตรวจสอบด้วยเทคนิค หรือเครื่องมือต่างๆ ที่เขาคิดว่าน่าจะแก้ปัญหาได้
ทีนี้ถ้าเขาคิดมาถูกทาง แก้ปัญหาได้ ก็แล้วไป
แต่ถ้าเขาเดามาผิดทาง แล้วเราไปทำตาม ก็เสียเวลาทั้งคู่ (ส่วนเขาก็ต้องเสียค่าบริการด้วย)
ผมจึงพบว่า เวลาคุยกับคนที่มีประเด็นปัญหามาให้แก้ ต้องคุยกันให้ลึกถึงตัวสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง มิฉะนั้นก็จะวนเวียนกับการหาวิธีการแก้ไข ซึ่งอาจจะแก้ได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมดครับ
ใช่เลยครับอาจารย์ หลายครั้งผมก็คล้ายๆกับสิ่งที่อาจารย์ยกตัวอย่างนั่นเหมือนกัน จึงต้องทบทวนกระบวนการทำงานมากขึ้น เพราะการให้ตำแนะนำทางแก้ปัญหาของเรา ไม่สามารถช่วยเขาได้ในหลายกรณี จนผมไปยอมรับกระบวนวิธีทางการแพทย์รักษาคนไข้น่ะครับว่า เออ ต้องเอาหูฟังมาจิ้มที่หน้าอก ที่หลัง ปากก็ซักเรื่องราวต่างๆไป ลึกๆก็วิเคราะห์ตามข้อมูลที่ได้ต่างๆไป ย้อนข้อมูลไปถึงอดีตเท่าที่เห็นว่าเกี่ยวข้อง....จึงได้ข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้น จนหลายกรณีผมต้องทำการวิเคราะห์ชุมชนโดยใช้ระบบ GIS มาช่วย คือ ทำ mapping ที่ตั้งครัวเรือนในชุมชนทั้งหมด แล้วเอาข้อมูลต่างๆค่อยๆทะยอยใส่ลงไป เช่นข้อมูลชื่อ สกุล บ้านเลขที่ อาชีพ ตำแหน่งในชุมชนทั้งแบบทางการและแบบวัฒนธรรมชุมชน ....เพศ..... ปรากฏการณ์ต่างๆ...เอาช่วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ....ฯลฯ โดยแบ่งเป็น layer แล้วก็เอามาวิเคราะห์กัน
พบข้อเท็จจริงมากมายที่การเดินไปดูเฉยๆไม่เห็นข้อมูลนี้ เช่น
- ความเป็นเครือญาติ ก๊ก เหล่า ความเป็นกลุ่มตระกูล
- พัฒนาการทางประวัติศาสตร์การตั้งชุมชน และแรงเกาะเกี่ยวทางสายสัมพันธ์จากอดีต
- อิทธิพลต่างๆที่มีอยู่ในชุมชน
- การเปลี่ยนแปลงการขึ้นดำรงตำแหน่งต่างๆในชุมชน
- การออกไปทำมาหากิน
- ที่ตั้งที่ดินทำกินสัมพันธ์กับที่ตั้งครัวเรือน
- ฯลฯ
นักเรียน ครู & คนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ :
พบว่า แม้แต่เรื่องๆ เดียวกันที่เราจะนำไปเปิดประเด็นให้ได้เรียนรู้ (ไม่อยากใช้คำว่า "สอน" เพราะฟังแล้วเหมือนว่าความรู้ไปทิศทางเดียว) ก็ต้องใช้ศิลปะพลิกแพลงให้เข้ากับ คน สภาพแวดล้อม บรรยากาศ เทคโนโลยีที่มี ฯลฯ
พูดสั้นๆ คือ ต้องใช้ให้ถูกบริบท (context) นั่นเอง
แหม... อาจารย์ กล่าวได้ถูกใจจริง "ก็ต้องใช้ศิลปะพลิกแพลงให้เข้ากับ คน สภาพแวดล้อม บรรยากาศ เทคโนโลยีที่มีฯลฯ" เป็นความจริงมากๆ เน้นว่ามากๆ
การเรียนในห้องเรียนได้เข้าใจหลักการ ทฤษฎี มากมาย แต่เมื่อเอาไปใช้นั้นต้องใช้ ลีลาต่างๆเข้ามา เพื่อให้เหมาะกับสิ่งที่อาจารย์กล่าว ฯ ผมพูดกับน้องๆว่า ความรู้ที่เองมีนั้น เมื่อจะไปส่งเสริมกับชาวบ้าน หลายๆครั้งเองต้องมีความสามารถทางการแสดง(เหมือนนักแสดง) ด้วย เรื่องเดียวกัน แต่ต่างกลุ่มคนกันก็ใช้วิธีการที่ต่างกัน เป็นความจริงครับ พื้นที่ทำงานของผมมีทั้งกลุ่ม ผู้ไท กลุ่มคนชาวโซ่ ผมจึงบอกน้องๆว่า เองต้องค่อยๆเรียนรู้ลึกรู้ละเอียด ของคนสองกลุ่มนี้ว่ามีคุณลักษณะอย่างไร แล้วเราจะเอาองค์ความรู้ต่างๆไปส่งเสริมเขา ก็ต้องเข้าใจเขาจึงจะส่งเสริมได้ถูกต้องเหมาะสม
ประเด็นนี้ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่องานที่ผมต้องรับผิดชอบมากครับ เพราะโครงการตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าให้แก่หมู่บ้านที่เป็นชาวโซ่ ด้วยราคาค่าก่อสร้าง เกือบ 50 ล้านบาท ด้วยเพียงทางราชการหวังดีว่าชุมชนขาดแหล่งน้ำ ก็อยากจะสร้างแหล่งน้ำให้ สร้างให้อย่างดีเลย แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วถึงช่วงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ เสร็จเลยอาจารย์....เขามาใช้ประโยชน์น้อยมาก เพราะวิถีชีวิตเขา ไม่ได้สนใจเรื่องการเพาะปลูกพืชสมัยใหม่ที่เรียกว่า cash crop เขาสนใจขึ้นป่า หาของป่ามากิน มาใช้ จนถึงมาขาย ปะเหมาะเคราะห์ดี ได้สัตวป่ามาตัวหนึ่งขายได้ 4-5 พันบาท กับมานั่งปลูกมะเขือเทศส่งโรงงาน 3-4 เดือน ล้วนแต่เสี่ยงสารพัดเสี่ยง แล้วก็ไม่ได้เงินมากมายอย่างที่คุยกันไว้...
นี่คือบทสะท้อนของความไม่เข้าใจคนที่เป็นชนเผ่า แต่ลึกๆผมเชื่อว่า คนเปลี่ยนแปลงได้ ปต่กระบวนการพัฒนาต้องทุ่มเทความรู้ความสามารถอย่างจริงจังและมีเวลามากเพียงพอ ก็จะพัฒนาคนกลุ่มนี้ได้ แต่ต้องลงทุนมากกว่าพมู่บ้านที่เป็นคนกลุ่มชนเผ่าอื่นๆ เช่น ไท-อีสานทั่วไป หรือชนเผ่าผู้ไท ซึ่งปรับตัวต่อเทคโนโลยีต่างๆได้ไวกว่า และวิถีชีวิตไม่ติดหนึบกับป่ามากนักเท่าชาวโซ่
สรุปเรื่องนี้ การลงทุนงานก่อสร้างไม่มีองค์ความรู้ที่เป็นมิติทางสังคม วิถีชีวิตชุมชนเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจการก่อสร้าง จริงๆเขาต้องการแหล่งน้ำ แต่ควรเป็นแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่นสระน้ำประจำไร่นาก็เพียงพอ การลงทุนก็ต่ำกว่ามากมาย เป็นต้น...นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งครับ
พี่เชื่อไหมครับ ขนาดเล่นกล (sciene show) ที่สนุกสนานมากสำหรับคนหลายๆ กลุ่ม ที่ผมเคยใช้ได้ผล แต่ถ้าไปใช้ผิดกลุ่ม หรือไม่ถูกกาลเทศะ ก็กลับกลายเป็นเรื่องแห้งๆ ไม่สนุกไปได้
ผมฝากไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ไว้จะกลับมาเรียนรู้ประสบการณ์ของพี่อีกในบันทึกอื่นๆ นะครับ ^__^
อาจารย์มีประสบการณ์ที่ตรงกับผมเลยครับ
ขอบคุณมากครับที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องเหล่านี้