วัฒนธรรมการเรียนรู้ : บุคคลหาได้ยากยิ่ง


อันเป็นโลกยุคไร้พรมแดน ในท่ามกลางที่คนเรามีเศรษฐกิจบีบรัดตัวให้ดิ้นรนต่อสู้แข่งขันกันในขณะนี้

บุคคลหาได้ยากยิ่งในสังคมคนเรายุคปัจจุบัน...

 

การมีคนเราจำนวนมากที่อยู่อาศัยบนโลกใบนี้จนถึงกับเรียกว่าโลกของคน  ซึ่งต่างก็มีวิถีชีวิตที่ดำเนินไปในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือกำลังพัฒนาเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์

  อันเป็นโลกยุคไร้พรมแดน  ในท่ามกลางที่คนเรามีเศรษฐกิจบีบรัดตัวให้ดิ้นรนต่อสู้แข่งขันกันในขณะนี้ 

 จึงนับว่าเป็นการหายากมากสำหรับคนผู้กระทำความดีหรือกระทำประโยชน์ให้ผู้อื่นตั้งแต่ต้น  ในการอนุเคราะห์ช่วยเหลืออุปถัมภ์ 

โดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทนอยู่เสมอ  ในขณะเดียวกันการที่บุคคลใดเป็นผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำดีให้ตนแล้ว  ได้ตอบแทนในความดีเหล่านั้น 

 ก็นับว่าผู้นั้น  เป็นผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำความดีของคนอื่น  จึงได้มีการแสดงออกเพื่อบูชาตอบแทนความดีนั้น 

 ผู้กระทำความดีดังกล่าวมานี้  จึงสมควรที่จะได้รับความคารวะด้วยความบริสุทธิ์ใจ 

 เพราเขาผู้นั้นได้ชื่อว่า  เป็นผู้ทีมีความกตัญญูกตเวทีซึ่งเป็นบุคคลหาได้ยากยิ่ง
หมายเลขบันทึก: 83746เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2007 15:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)

อาจจะหาได้ยากหน่อ แต่ก็ยังหาได้อยู่...

ผมว่ายังมีคนดี ๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบอีกเยอะครับอาจารย์...

สวัสดีครับ  คุณ

P

ผมว่ายังมีคนดี ๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบอีกเยอะครับอาจารย์...

ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่า...โลกนี้ก็ยังพอมีมุมสวยงามอยู่บ้างนะครับ

ขอบคุณครับ

สวัสดีตอนบ่ายครับ อาจารย์ ถ้าผมจะมามองต่างมุมอีกได้ไหมนี่(ฮา/เอิก ด้วยคน )

สมัยก่อนผมก็คิดแบบอาจารย์นี่แหละครับ แต่ตอนนี้เปลี่ยนความคิดแล้ว ผมขออนุญาตยกตัวอย่างไอเดียของอาจารย์นะครับ

 " จึงนับว่าเป็นการหายากมากสำหรับคนผู้กระทำความดีหรือกระทำประโยชน์ให้ผู้อื่นตั้งแต่ต้น  ในการอนุเคราะห์ช่วยเหลืออุปถัมภ์  โดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทนอยู่เสมอ  ในขณะเดียวกันการที่บุคคลใดเป็นผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำดีให้ตนแล้ว  ได้ตอบแทนในความดีเหล่านั้น ก็นับว่าผู้นั้น  เป็นผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำความดีของคนอื่น  จึงได้มีการแสดงออกเพื่อบูชาตอบแทนความดีนั้น  "

ประเด็นของผมคือเมื่อเรารู้อยู่แล้วเป็นการยากมากที่จะหาคนทำความดี ทำการอนุเคราะห์โดยไม่หวังผลตอบแทน ใช่ไหมครับ? แล้วเรายังจะมุ่งหาอยู่อีก? ทำไมละครับ?

ยกตัวอย่างเรารู้ว่าเสือหรือหมีกินเนื้อสัตว์ เป็นการยากที่จะหาหมีหรือเสือจะไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะมุ่งหาหมีหรือเสือที่มังสวิรัติ?ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วย มันเป็นเส้นตรงเกินไป ครับ?

ดังนั้นแทนที่เราจะหาคนดี(ที่ดูเหมือนจะหายาก ) เราเอานายมานางมี นายกู้จี๊ นางกระจา เด็กหญิงนานาเด็กชายสมชาย คนทั่วไปที่เราพบเห็นทุกวันไม่ดีกว่าหรือครับ

ต่อมาคือ เราจะจัดการความรู้กับเขาอย่างไร?ให้เขามีความสุขในการทำความดี อย่างไม่รู้ตัวหรืออย่างรู้ตัวก็ตาม ตัวอย่างเช่น

ถ้าเป็นหมีหรือเสือก็ให้เขากินสัตว์อื่นเพียงเพื่อประทังชีวิต ไม่ใช่เพราะแสดงอำนาจหรือความมันในอารมย์ อันเป็นกีฬาหรือสะใจ/หมั่นไส้  แต่กินเพียงเพราะประทังชีวิต  ไปเพื่อ?

ถ้าเขาหรือใครใครมุ่งจะหาสิ่งตอบแทน ก็ให้เขาได้มุ่งไปแต่บริหารจัดการให้อยู่ในสัมมาทิฐิ +อยู่ในสัมมาทั้งแปด จะดีกว่าไหม? (เรียกว่าวิ่งไปบนรถไฟที่กำลังวิ่งจะได้งานดีกว่าวิ่งสวนทิศทางวิ่งของรถไฟแล่น )

ผมตกใจกับตัวเอง/คนอื่นอื่น( ที่คิดไปเองว่าตนเอง เป็นคนดี ) ปรากฎว่า พวกเขา อาจ/ไม่อยู่บนโลกความจริง (โลกแห่งธรรมชาติ ) แถมยังฟูมฟายว่าโดนสังคมกลั่นแกล้งหรือทำดีไม่ได้ดี/โลกนี้ช่างหาคนดีได้ยากเหลือเกิน/อื่นอื่นอีกมากมาย

แค่คิดอย่างนี้ ก็รู้แล้วว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะแล้ว

ใครเคยเป็นอย่างข้างต้นบ้าง ?(ผมเห็นในไซต์นี้ดร.ไล่ดร.ก็มี/ขนาดเป็นไซต์การจัดการความรู้นะ ไม่ใช่ไซต์สนุกดอทคอม )

ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ใช่สัมมาสังกัปปะแล้ว ไม่ใช่โยนิโสมนัสสิการแล้ว 

positive thinkig  ในภาษาการจัดการความรู้หรือการคิดอย่างแยบยลหรือโยนิโสมนัสิการ  ต่างหากที่เราต้องฝีกตัวเราเอง/คนอื่นหรือเยาวชน  ให้ทำได้ทำเป็น  ไม่ใช่ไปฝึกให้เขาไม่มองสิ่งตอบแทน(อยากจะมองก็มองไปแต่ให้อยู่ในกรอบสัมมาทิฐิ )

จะดีกว่าไหม? อย่าเริ่มต้นจากของหายาก แต่เริ่มต้นจากของหาง่ายที่วางตรงหน้าครับ

 จะฮาเอิก กว่าไหมครับอาจารย์ ?

  • กราบสวัสดี อ.อุทัย ที่เคารพครับ
  • ในความคิดของผม ผมเชื่อว่ายังมีคนดีอยู่เยอะครับในสังคมไทย เพียงแต่ต้องสร้างเครือข่ายคนดี ให้คนดีได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนดีครับ แล้วทุกอย่างจะนำไปสู่โครงสร้างทีดีนะครับ ดีที่ว่าคือดีทางกายและทางใจและทางสมอง แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องจบสูงๆ ก็ได้
  • ผมยังเชื่อว่าสังคมไทยยังไม่เลวร้ายนะครับ เพียงแต่คนดีๆ จะต้องหมั่นดูแลบ้านเมืองร่วมกัน เมื่อจิตใจเราเข้มแข็งโรคร้ายจะฝ่อไปเอง
  • ผมเคยมองสังคมตะวันตกผิดไปครับ ผมคิดว่าเค้าไม่สนใจใคร ตัวใครตัวมันครับ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วที่ผมเจอในเยอรมัน คนเยอรมันใจดีมากครับ หากออกไปตามชนบทก็ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีอะไรให้กันแบ่งปันกัน รู้จักกันเกือบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท ก็ไม่แตกต่างจากบ้านเรา
  • สำหรับสังคมไทย อย่างเมืองหลวงคงเป็นธรรมดาคครับ ที่ระดับความเป็นส่วนตัวสูง
  • ผมมาที่นี่แรกๆ งงครับ ว่าเดินสวนทางกัน กล่าวสวัสดีกัน ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ลดช่องว่างระหว่างคนนะครับ บ้านเราส่วนใหญ่เราจะต้องรู้จักกันมาก่อนถึงจะกล่าวสวัสดีกันได้ครับ ไม่งั้นอีกฝ่ายจะสับสน เอาไปคิดเป็นการบ้านนอนไม่หลับแน่ๆ ครับ อิๆ
  • คงต้องเริ่มแผ่น้ำดีๆ จากรอบตัวเราไปก่อนครับ เมื่อน้ำดีกระเพื่อมในสระใหญ่ ทุกแหล่งจะกลายเป็นน้ำดีที่มี ออกซิเจนให้กับน้ำ เพราะเกิดการกระเพิ่มของน้ำในสระนั่นเองครับ
  • ขอบคุณมากๆ นะครับ

ขอแสดงความนับถือ

เม้ง

สวัสดีตอนค่ำครับคุณสมพร ขออนุญาตต่อยอดความคิด(ที่ออกจะกลายพันธ์? )

นอกรอบ/ ผมว่าเยอรมันนีน่าสนใจเพราะเป็น๑ในห้าของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจโตที่สุดในโลก(เดิมเป็นอันดับ๓ปีนี้เป็นอันดับ๔เพราะโดนจีนแซง ) ดีใจครับที่ท่านเรียนเยอรมัน ผมเองก็มีบัญชีเปิดอยู่ที่เยอรมันครับผ่านmoney booker.com

ในรอบ/ขอต่อยอดเลยนะครับ ,ผมว่านักศึกษาคนทำงานหรือปัญญาชนนี่แปลก ชอบคิดว่ามีคนดี คนเลว ที่แปลกมากไปกว่าเพื่อนคือชอบคิดว่าฉันเป็นคนดี  คนที่ต่างจากฉันไปเป็นคนไม่ดี เช่นเห็นแก่ตัว พูดไม่เพราะ หวังผลตอบแทน ไม่มีอุดมการ อื่นอื่นอีกมากมาย

 ผมขออนุญาตต่อยอดในประเด็นนี้นะครับ

  • ในความคิดของผม(สมพร ) ผมเชื่อว่ายังมีคนดีอยู่เยอะครับในสังคมไทย เพียงแต่ต้องสร้างเครือข่ายคนดี ให้คนดีได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนดีครับ แล้วทุกอย่างจะนำไปสู่โครงสร้างทีดีนะครับ ดีที่ว่าคือดีทางกายและทางใจและทางสมอง แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องจบสูงๆ ก็ได้
  • เห็นไหมครับ มีการแบ่งแยกเครือข่ายคนดี เครือข่ายพวกข้า เครือข่ายพวกฉัน ฯลฯ

    แสดงว่ามีเครือข่ายคนไม่ดี หรือดีน้อย ดีไม่มากใช่ไหมครับ?

    ไปกันใหญ่แล้วเข้ารกเข้าพง? พวกทักษิณก็ว่าฝ่ายตนเองดี อีกฝ่ายหนึ่งก็ว่าทักษิณทรราชย์ ?

     

    ถ้าเราไม่แบ่งจากคนดีและคนไม่ดีละครับ เป็นคนเหมือนกันหมดแต่แบ่งที่กรรมดี กับกรรมไม่ดี แปลว่าคนไหนไหนอยู่ในเครือข่ายใดใดก็ทำความดีได้ใช่ไหมครับ

    เวลาศาลตัดสินโจร เขาไม่ตัดสินโจรว่าเป็นคนไม่ดีนะครับ แต่จะตัดสินว่าเขาทำกรรมผิดทำกรรมไม่ดีและลงโทษเขาจากผลแห่งการกระทำนั้น พระภิกษุดีดี ก็เคยถูกศาลสั่งลงโทษสึกมาแล้วเพราะกรรมไม่ดีบางประการที่ผิดกฎหมายบ้าน

     

    ประเด็นของผมคือทุกคนเป็นคน---->ดีหมดแหละครับ ถ้าไม่มีวิบากจากกรรมดี   พวกเขาไม่สามารถเกิดมาเป็นคน ไม่เช่นนั้นเขาจะไปเกิดที่ภพภูมิอื่นอาทิเดรัจฉาน อสุรกายเป้นต้น ได้ แต่ชาตินี้ วันนี้พวกเขาต้องฝึกฝนตนเองครับ พุทธพจน์สอนไว้ว่า

    ชาวนาไขน้ำเข้านา นายช่างดัดคันศร บัณฑิตฝึกตน

     

    อย่าแบ่งเลยครับเครือข่ายคนดีแค่คิดก็เป็นมิจฉาสังกัปปะแล้ว  (ให้คิดออกจากกาม  ไม่คิดเข้าหากาม ไม่คิดเข้าหาเกียรติ ) มาทำเครือข่ายการจัดการความรู้กันดีกว่าไหม? ครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    ชื่นใจเมื่อได้อ่านบันทึกของคุณครับ...ขอเคารพธรรมที่มีอยู่ในตัวคุณ...มีมากก็เคารพมาก...ฮา ๆ เอิก ๆ...

    ถ้าผมจะมามองต่างมุมอีกได้ไหมนี่(ฮา/เอิก ด้วยคน )

    ด้วยความยินดีและปรบมือให้ครับผม...

    สมัยก่อนผมก็คิดแบบอาจารย์นี่แหละครับ...

    จริงหรือเปล่า...ล้อเล่นมั้ง...ฮา ๆ เอิก ๆ

    แล้วเรายังจะมุ่งหาอยู่อีก? ทำไมละครับ?...

    เราไม่ได้หาอยู่อีก...สิ่งนี้มีอยู่แล้ว...เพราะสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี...ที่ว่ามีอยู่แล้วคุณไปดูพระไตรปิฎก เล่ม 20 ข้อ 364 เรื่องบุคคลหาได้ยากนะครับ...

    ถ้าเขาหรือใครใครมุ่งจะหาสิ่งตอบแทน ก็ให้เขาได้มุ่งไปแต่บริหารจัดการให้อยู่ในสัมมาทิฐิ +อยู่ในสัมมาทั้งแปด จะดีกว่าไหม?...

    ดีครับถ้าคนเราได้รับแจกดวงตาเห็นธรรมบ้าง...

    ผมตกใจกับตัวเอง/คนอื่นอื่น( ที่คิดไปเองว่าตนเอง เป็นคนดี ) ปรากฎว่า พวกเขา อาจ/ไม่อยู่บนโลกความจริง (โลกแห่งธรรมชาติ ) แถมยังฟูมฟายว่าโดนสังคมกลั่นแกล้งหรือทำดีไม่ได้ดี/โลกนี้ช่างหาคนดีได้ยากเหลือเกิน/อื่นอื่นอีกมากมาย ...

    นานาจิตตังครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ

    positive thinkig  ในภาษาการจัดการความรู้หรือการคิดอย่างแยบยลหรือโยนิโสมนัสิการ  ต่างหากที่เราต้องฝีกตัวเราเอง/คนอื่นหรือเยาวชน  ให้ทำได้ทำเป็น  ไม่ใช่ไปฝึกให้เขาไม่มองสิ่งตอบแทน(อยากจะมองก็มองไปแต่ให้อยู่ในกรอบสัมมาทิฐิ )...

    สาธุ...ฮา ๆ เอิก ๆ

    จะดีกว่าไหม? อย่าเริ่มต้นจากของหายาก แต่เริ่มต้นจากของหาง่ายที่วางตรงหน้าครับ

     จะฮาเอิก กว่าไหมครับอาจารย์ ?...

    ของหาง่ายมักมองไม่เห็นเลยหาคุณค่าไม่เจอ...ของหายากมันท้าทาย...ได้มาแล้วภูมิใจฟูใจ...มีคุณคามากต้องเดินทางไกลไปคว้าเอาเหมือนเรื่องไซอิ๋ว ยังเดินทางไปไกลแสนไกลเลยนะครับคุณ..ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

     

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    ผมยังนึกภาพคุณเดินเดี่ยวอยู่ มอ. ปัตตานี คุณเป็นคนอารมณ์ดียิ้มเสมอเมื่อเราพบเจอกัน...ตอนนี้ ที่นั้นผมจากไปนานเกือบปีแล้ว ไม่รู้จะยังมีรอยยิ้มที่ออกมาจากจิตใจบ้างหรือเปล่า...ขอบคุณที่ยังจำกันได้ ฮา ๆ เอิก ๆ

    ดีที่ว่าคือดีทางกายและทางใจและทางสมอง แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องจบสูงๆ ก็ได้...

    เห็นด้วยครับ...

    ผมเคยมองสังคมตะวันตกผิดไปครับ ..

    น่าศึกษาเรียนรู้มากครับ...

    ผมเคยถามกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่งมาจากทางตะวันตก...เรื่องคนเผ่าดั้งเดิมถูกรุกที่จากคนผิวขาว

    ในขณะท่านบรรยายว่าคนเผ่าดั้งเดิมผิด..

  • คงต้องเริ่มแผ่น้ำดีๆ จากรอบตัวเราไปก่อนครับ เมื่อน้ำดีกระเพื่อมในสระใหญ่ ทุกแหล่งจะกลายเป็นน้ำดีที่มี ออกซิเจนให้กับน้ำ เพราะเกิดการกระเพิ่มของน้ำในสระนั่นเองครับ
  • ก็เป็นมุมคิดที่ดีนะครับ...เหมือนแผ่เมตตาไปทุกทิศทุกทาง...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

     

    อย่าแบ่งเลยครับเครือข่ายคนดีแค่คิดก็เป็นมิจฉาสังกัปปะแล้ว  (ให้คิดออกจากกาม  ไม่คิดเข้าหากาม ไม่คิดเข้าหาเกียรติ ) มาทำเครือข่ายการจัดการความรู้กันดีกว่าไหม? ครับ...

    เป็นมุมคิดที่น่าสนใจใฝ่รู้นะครับผม

    ขอถามหน่อยนะครับ...ถ้าไม่แบ่งแล้วจะเห็นหน่วยย่อยได้อย่างไร...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

    สวัสดีตอนเช้าครับ อาจารย์

    ถาม)) ขอถามหน่อยนะครับ...ถ้าไม่แบ่งแล้วจะเห็นหน่วยย่อยได้อย่างไร...?

    ตอบ)) อย่างที่ผมเขียนไว้ข้างบนครับอาจารย์ ถ้าอยากจะมองหน่วยย่อย ให้มองจากรรมการกระทำเป็นวาระ เป็นครั้งคราวเป็นcriteria, เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ศรัทธาในกรรม ในขณะที่เทวนิยมให้ศรัทธาในพระเจ้า  เทวนิยมจึงมองคนเป็นคน สัตวฺสิ่งของเป้นสัตว์สิ่งของ พระเจ้าเป็นพระเจ้า  เป็นตัวเป็นตน  ในขณะที่พระพุทธศาสนามองเป็นการเกิดดับของจิตไม่มีตัวตน แต่เป็นการกระทำที่หมุนสนองไปตามการเกิดดับของจิตที่เสพอารมย์ครับ เช่นจิตเสพเวทนาโกรธก็แสดงใจที่ฉุนเฉียว การกระทำที่งุ่นง่านเป้นต้น

     

    ดังนั้นแทนที่จะเป็นเครือข่ายสถาบันนิยม ไม่ว่าจุฬา ธรรมศาตร์ ราม สงขลา หรือคนดี? เราปรับปรุงเป็นเครือข่ายของการกระทำทดแทน อาทิเครือข่ายการจัดการความรู้ เครือข่ายสาธารณสุขเป้นต้น

     

    พอไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวกแต่แบ่งจากการกระทำ เราจะไม่มีพวก เราจะไม่เลือกปฎิบัติและเราจะมีความสุขในการทำความดี กับใครก้อได้ครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    ตอนบ่าย...ผมพึ่งเข้าเน็ทได้  ครับ  ชื่นใจเมื่อได้อ่านบันทึกคุณ...ผู้มีความคิดที่ลุ่มลึกทางธรรมในหลายเรื่องที่ผมสงสัยจะได้สอบถามให้หายสงสัย...เมื่อพบผู้มีภูมิธรรมอย่างคุณ...

     

     

    เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ศรัทธาในกรรม ในขณะที่เทวนิยมให้ศรัทธาในพระเจ้า...

    ขอถามว่า...พระเจ้าคือสิ่งที่เทวนิยมให้ความศรัทธาเป็นสิ่งสูงสุดแล้วกรรมละคือพระเจ้าหรือไม่  เพราะเทีบยเท่ากัน... 

    ดังนั้นแทนที่จะเป็นเครือข่ายสถาบันนิยม ไม่ว่าจุฬา ธรรมศาตร์ ราม สงขลา หรือคนดี? เราปรับปรุงเป็นเครือข่ายของการกระทำทดแทน อาทิเครือข่ายการจัดการความรู้ เครือข่ายสาธารณสุขเป้นต้น ...

    ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะเราอยู่ในโลกสมมุติหรือไม่

    พอไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวกแต่แบ่งจากการกระทำ เราจะไม่มีพวก เราจะไม่เลือกปฎิบัติและเราจะมีความสุขในการทำความดี กับใครก้อได้ครับ ...

    ขอชื่นชมแนวคิดนี้...แต่มันจะเป็นไปได้หรือ...

    เมื่อมันเป็นนามธรรม...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

    สวัสดีตอนบ่ายครับอาจารย์

    ประเด็น* ขอชื่นชมแนวคิดนี้...แต่มันจะเป็นไปได้หรือ...เมื่อมันเป็นนามธรรม...ฮา ๆ เอิก ๆ

     ต่อประเด็น-ผมกลับมองต่างมุม ว่าเป็นรูปธรรมมากกว่าแบ่งตามid  แบ่งตามพรรคพวก ยกตัวอย่างเช่นตำรวจนี่ไม่ได้แบ่งตามไอดีนะครับ เขาแบ่งตามกรรมหรือตามหน้าที่  ทหาร พ่อค้า ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ไม่ได้แบ่งตามสังกัดหรือวรรณะ  ชาติตระกูลแต่อย่างใด ล้วนจำแนกตามกรรม

    เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้? นี่ก็อยู่ที่ดุลยภาพของการใช้พละ๕ละครับ ถ้าใช้ปัญญานำ สามารถทำได้แน่ ถ้าใช้ศรัทธานำไม่น่าจะได้  ถ้าใชสตินำทำได้แน่ ถ้าใช้สมาธินำไม่แน่

    ดุลยภาพของพละ๕ครับ ไม่พ้นเรื่องทางสายกลางครับ

    สวัสดครับ  คุณ

    P

    ขอชื่นชมและปรบมือให้คุณมีมุมคิดเก๋ ๆ ดี ฮา ๆ เอิก ๆ...

    เป็นเรื่องน่าคิดพิจารณา...เช่น...ตำรวจนี่ไม่ได้แบ่งตามไอดีนะครับ เขาแบ่งตามกรรมหรือตามหน้าที่  ทหาร พ่อค้า ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา

     

    ไม่ได้แบ่งตามสังกัดหรือวรรณะ  ชาติตระกูลแต่อย่างใด ล้วนจำแนกตามกรรม ...

     

    ถามว่า...ที่ว่า ตำรวจเป็นเพราะสมมุติว่าตำรวจใช่มั้ย...ผมยังมองเห็นติดเรื่องสมมุติทั้งนั้นเลย...จนกว่าผมจะจิตว่าง...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ถ้าสิ่งนี้ถูก...ก็ยังอยู่ในรูปธรรม  ไม่ใช่อยู่ในนามธรรมซึ่งอยู่ในปรมัตถธรรมนั่นเอง  ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ อา ๆ เอิก ๆ

    ดุลยภาพของพละ๕ครับ ไม่พ้นเรื่องทางสายกลางครับ ...

    ผมสนใจทางสายกลางอยู่พอดี...ขอถามผู้มีภูมิธรรมอย่างคุณว่า...

    ในโลกนี้มีทางสายกลางหรือไม่ครับ...

    ขอบคุณครับ...

    สวัสดีตอนเย็นครับอาจารย์ ช่วงนี้ผมพักผ่อนจากการอ่านตำรากฎหมาย(สอบปลายเมษา)ด้วยการคุยปรัชญา (ฮา/เอิก )

    ประเด็น*ถามว่า...ที่ว่า ตำรวจเป็นเพราะสมมุติว่าตำรวจใช่มั้ย...ผมยังมองเห็นติดเรื่องสมมุติทั้งนั้นเลย...จนกว่าผมจะจิตว่าง...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ตอบ**ครับ เพราะเราคุยกันในปริมณฑลของสังขตธรรม จึงคุยกันในเรื่องปรัชญา หลักปริยัติธรรม กฎหมาย รัฐศาสตร์  สังคม สิ่งแวดล้อม และกามสุข

    ถาม**ถ้าสิ่งนี้ถูก...ก็ยังอยู่ในรูปธรรม  ไม่ใช่อยู่ในนามธรรมซึ่งอยู่ในปรมัตถธรรมนั่นเอง  ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ อา ๆ เอิก ๆ

    ตอบ**ปรมัตถธรรมคืออสังขตธรรมมี๔element คือจิต เจตสิก รูป และนิพพาน ไม่เกี่ยวกับนามธรรม นามธรรมยังเป็นสังขตธรรมครับ (ตรงนี้คนเข้าใจผิดกันมาก )

    ถาม**ในโลกนี้มีทางสายกลางหรือไม่ครับ...

    ตอบ**ง่ายมากครับ คำถามนี้มี ทางสายกลางแน่นอนครับ  ตัวอย่างถ้าเราไปเส้นทางสัมมาทั้งแปดแล้วคือทางสายกลางแล้วครับ  ทางสายกลางไม่ได้แปลว่าอยู่ตรงกลางระหว่างของคู่ ตามการตีความของปราชญ์ท่านหนึ่งในสุราษฎรธานี(ทียูเนสโกยอมรับ )นั่นท่านตีความภาษาธรรมผิดครับ

    ทางสายกลางคือไปในทางสัมมาทั้งแปดครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    สาธุ...ได้ฟังธรรมขั้นสุงจากผู้มีภูมิธรรมอย่างคุณ...

    เราคุยกันในปริมณฑลของสังขตธรรม จึงคุยกันในเรื่องปรัชญา หลักปริยัติธรรม กฎหมาย รัฐศาสตร์  สังคม สิ่งแวดล้อม และกามสุข...

    สังขตธรรม  แปลว่า  ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น...

    สังขตลักษณะ  แปลว่า  ลักษณะของปรุงแต่ง  มี 3 ประการ คือ  1 . การเกิดขึ้นปรากฏ  2 . ความดับสลาย  ปรากฏ  3 .  เมื่อดำรงอยู่  ความแปรก็ปรากฏ

    สิ่งเหล่านี้  ยังอยู่ในกรอบการเปลี่ยนแปลงคือมีถูกมีผิด...เป็นไปตามความเห็นในการเคารพความคิดเห็นของกันละกัน...

    ถามว่าในกรอบนี้...

    คุณ...ไม่เห็นมุมถูกในการแสดงความคิดเห็นของเพื่อนบ้างหรือ.. ฮา ๆ เอิก ๆ 

    จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ไม่เกี่ยวกับนามธรรม นามธรรมยังเป็นสังขตธรรมครับ (ตรงนี้คนเข้าใจผิดกันมาก )...

    งั้น...นิพพานอยู่นอกกรอบสังขตธรรม  นิพพานก็นิจจัง

    แล้วสถานที่อยู่ไหนละในจักรวาล...?

    และนิพพานมีที่นี่และเดี๋ยวนี้ละจะอธิบายอย่างไร...

    ทางสายกลางคือไปในทางสัมมาทั้งแปดครับ

    ...งั้น...ทางสายกลางก็อยู่ในกรอบสังขตธรรมใช่มั้ยครับ...ผมใช้เท้าเดินหาทางสายกลางในโลกนี้ทำไมไม่เจอครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

    อาจารย์คะ ขอบคุณค่ะ ที่ทำให้ได้อ่านการสนทนาธรรม...

    ไม่มีภูมิรู้ทางธรรมมาร่วมแจมกับอาจารย์ค่ะ ..ขอติดตามอ่านไปเรื่อยๆค่ะ

    • มีแต่จากบันทึกของอาจารย์ ที่อ่านแล้วเข้าใจว่าอาจารย์ได้บอกว่า ความดีนั้นมีอยู่แล้ว คนกระทำความดีเพื่อความดีคือไม่หวังผลตอบแทนนั้นหายาก หากมีคนกระทำแล้ว ผู้ที่ได้รับเกิดความกตัญญูกับผู้ที่กระทำดีนั้น ก็น่ายกย่องคนทั้งสองประเภท
    • ความดีกับคนดี ในบันทึกของอาจารย์ไม่ได้ยึดติดหมายถึงสิ่งเดียวกัน อย่างนั้นใช่ไหมคะ
    • กับทางสายกลางที่อาจารย์ถามว่ามีไหม..คิดว่ามีเป็นสภาวะนะคะ ไม่ถาวรตายตัว และเป็นเพียงสิ่งที่สมมุติ ความเป็นกลาง ณ ชั่วขณะหนึ่งอาจจะไม่ใช่ในอีกชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นกลางของผู้หนึ่งอาจจะไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง..แต่ทุกคนก็ต้องพึงระลึกถึงและประคองตนให้ดำเนินบนทางสายกลางถ้าสามารถทำให้ต่อเนื่องได้ทุกขณะจิตก็เป็นทางสู่นิพพาน..เข้าใจแบบนี้ ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่ค่ะ

     

    สวัสดีตอนเช้าครับอาจารย์

    วานนี้ผมคุยกับลูกชายวัย๒ขวบ เขาชื่อเด็กชายดินครับ ผมถามเขาว่าทำไมพ่อไม่ได้เหรียญรูปแม่บ้างล่ะ? (แม่สั่งทำเหรียญให้ลูกลูก )ดินเงียบแป๊บหนึ่ง ตอบว่า ตอบว่าเพราะดินยังเด็กไง ป๊าโตแล้ว ผมไปไม่เป็นเลยกับเหตุผลของลูกครับ

    ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ในบล็อคการจัดการความรู้ออกแบบมาให้ถก/เถียงกัน(สุดฤทธิ์สดเดช? ) เพื่อให้เกิดการนำเอาtacit ออกมาเป็นexplacit ดังนั้นจะคล้ายสมัยกรีก-โรมันโบราน คล้ายสมัยโสเครติส อริสโตเติล จะไม่ถนอม/ประคอง/ความรู้สึกกันมากมายนัก (ยกเว้นนอกรอบเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง )เพราะถ้าการถกไม่แตกฉาน   ทุกวันนี้เราอาจไม่ได้ประมวลกฎหมายขึ้นมาก็ได้ครับ(ผลงานของครูกฎหมายแห่งโบลานยาในสมัยพระเจ้าจัสติเนียนคศ.๖เป็นผลงานสุดท้ายของกฎหมายโรมัน/ต้นกำเนิดประมวลกฎหมายในโลกรวมทั้งในไทย-มาจาการจัดการความรู้แบบนี้ )

     

    วันนี้ไม่คุยปรัชญาครับ -ขออนุญาตอ่านหนังสือสอบดีกว่า

    (ฮาเอิก)

     

     

     สวัสดีครับ  คุณ

    P

    กำลังจะถามอยู่พอดีเรื่องหมอกควันว่ามีผลกระทบอะไรต่อการดำเนินชีวิตบ้าง...ครับ

    ไม่มีภูมิรู้ทางธรรมมาร่วมแจมกับอาจารย์ค่ะ ...

    ผมก็ไม่ค่อยมีเหมือนกันครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ...

    ผู้ที่ได้รับเกิดความกตัญญูกับผู้ที่กระทำดีนั้น ก็น่ายกย่องคนทั้งสองประเภท

    ...เห็นด้วยครับผม

  • ความดีกับคนดี ในบันทึกของอาจารย์ไม่ได้ยึดติดหมายถึงสิ่งเดียวกัน อย่างนั้นใช่ไหมคะ
  • ...มองได้หลายมุมครับ...มองอย่างนี้ก็ถูกครับ...ผมอาจจะผิดก็ได้นะ...ฮา ๆ เอิก ๆ

    เข้าใจแบบนี้ ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่ค่ะ...

    ผมว่าถูกนะครับ  เพราะยังหาที่ผิดไม่เจอ  ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    ขอชื่นชมกับลูกชายวัยซนด้วยนะครับ...

    ผมไปไม่เป็นเลยกับเหตุผลของลูกครับ ...

    เด็กฉลาดชาติเจริญนะครับ...

    ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ในบล็อคการจัดการความรู้ออกแบบมาให้ถก/เถียงกัน(สุดฤทธิ์สดเดช? ) เพื่อให้เกิดการนำเอาtacit ออกมาเป็นexplacit ...

    จะใช่หรือเปล่าคงต้องฝากเรียนถามท่านผู้ควบคุมและบริหารเว็บไซต์นะครับผม...

    วันนี้ไม่คุยปรัชญาครับ -ขออนุญาตอ่านหนังสือสอบดีกว่า...

    ที่เราคุยกันนี้...เป็นปรัชญาหรือครับผม...

    จะสอบเมื่อไหร่...ขอส่งใจให้พร...เพื่อการสอบ...ด้สมใจปรารถนา...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

    สวัสดีตอนค่ำครับอาจารย์

    สวัสดีครับคุณจันทรรัตน์

    ประเด็น**กับทางสายกลางที่อาจารย์ถามว่ามีไหม..คิดว่ามีเป็นสภาวะนะคะ ไม่ถาวรตายตัว และเป็นเพียงสิ่งที่สมมุติ ความเป็นกลาง ณ ชั่วขณะหนึ่งอาจจะไม่ใช่ในอีกชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นกลางของผู้หนึ่งอาจจะไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง..

     

    ขอต่อประเด็นว่าไม่น่าใช่ เข้าใจผิดไหม?

      ทางสายกลางมีอยู่แล้วเหมือนทางไปสงขลานะมีอยู่แล้ว จะไปหรือไม่ไปเท่านั้นเอง  ไม่ใช่สมมติ เป็นปรมัตถ์เลย เป็นหนทางดับทุกข์ (นิพพานไม่ใช่เป็นเพียงผลเป็นมรรคหรือทางด้วย )

    ทางสายกลาง มีแน่แน่ และเป็นทางเดียว ไม่ใช่กลางสำหรับคนนี้และไม่กลางสำหรับคนนี้  เขาจริงแท้สำหรับทุกคน เขาเป็นกัลยาณมิตสำหรับทุกจิต เขาเป็นทั้งมรรคและผล

     

    เขาไม่ใช่ตรงกลางระหว่างของคู่ เขาไม่ใช่สมานฉันท์ เขาคือกัลยาณมิตร ไม่ใช่บาปมิตร

    เขาคือทางสายกลาง เขาคือสัมมาทั้งแปดไม่ใช่มิจฉาทั้งแปด

    เขาคือเรื่องง่ายง่ายเป็นปรกติ(ศีล ) เป็นธรรม(ดา )เรานี่เอง

     

    คือทางสายกลาง

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    สาธุ...ขอเคารพในภูมิธรรมของคุณ...

    ทางสายกลางมีอยู่แล้วเหมือนทางไปสงขลานะมีอยู่แล้ว จะไปหรือไม่ไปเท่านั้นเอง  ไม่ใช่สมมติ เป็นปรมัตถ์เลย เป็นหนทางดับทุกข์ ...

    ปรมัตถ์หรือปรมัตถธรรม คือ  สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุดตามหลักอภิธรรมว่ามี 4  คือ  จิต  เจตสิก  รูป  นิพพาน.  ถ้าทางสายกลางเป็นปรมัตถ์แล้ว ขอถามว่า...เราไปเดินทำไม...เพราะมันหลุดกรอบสังขตธรรมไปแล้ว...เหมือนเราเดินไปสุดหน้าผายืนอยู่ถ้าก้าวไปก็ตกเหวอันตราย..ฮา ๆ เอิก ๆ

    เขาคือทางสายกลาง เขาคือสัมมาทั้งแปดไม่ใช่มิจฉาทั้งแปด

    ...ทางสายกลางตรงนี้ถ้ายังอยู่ในมรรค 8 แสดงว่าคุณค้านตัวเองกับข้างบน...เพราะมรรค 8 หรือ สัมมาทั้งแปดนั้น  ผู้ปฏิบัติธรรมใช้เป็นทางไปสู่ประตูพระนิพพาน  คือยังอยู่ในสังขตธรรมนั่นเอง  ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

    สวัสดีตอนเช้าครับอาจารย์

    ประเด็น*..ทางสายกลางตรงนี้ถ้ายังอยู่ในมรรค 8 แสดงว่าคุณค้านตัวเองกับข้างบน...เพราะมรรค 8 หรือ สัมมาทั้งแปดนั้น  ผู้ปฏิบัติธรรมใช้เป็นทางไปสู่ประตูพระนิพพาน  คือยังอยู่ในสังขตธรรมนั่นเอง  ฮา ๆ เอิก ๆ

    ต่อประเด็น** สังขตธรรมพระพุทธองค์บอกว่าคือชามที่คว่ำอยู่  เราจึงวนในกองทุกข์ แต่พอเรามีกำลังทั้ง๕ (หรือกล่าวโดยละเอียดคือกำลังทั้งสามสิบเจ็ด )เราก็เจริญ(ภาวนา )ไปสู่คุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น เสมือนพลิกชามที่คว่ำให้หงาย  ไปอสังขตธรรม

    เสมือนหนอนกลายเป็นผีเสื้อ เป็นต้น

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

    ผู้ร่วมเดินทางธรรมที่น่าชื่นชมของทุกคน...

    มีสิ่งที่เราสงสัยมากจะได้ถามผู้มีภูมิธรรมอย่างคน

    โปรดช่วยชี้แนะด้วยครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ...

    สังขตธรรมพระพุทธองค์บอกว่าคือชามที่คว่ำอยู่

    ถามว่า...มีข้อมูลนี้อยู่ตรงไหน  พอจะอ้างอิงเป็นบรรณานุกรมได้เลยนะครับช่วยนำมาแสดงด้วย...

    เราเกรงว่า คนพูดแล้วบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนธรรมอย่างนี้...

    พลิกชามที่คว่ำให้หงาย  ไปอสังขตธรรม

    ทำไม...มันเหมือนเหรียญบาทมีสองด้านคือหัวกับก้อยเช่นนั้นละ...ฮา ๆ เอิก ๆ

    พวกเรานำเหรียญนั้นไปเผาไฟมันสลายไป  แสดงว่าเหณียญ ( ชาม ) ที่เป็นวัตถุสมมุติ ยังอยู่ในกรอบสังขตธรรม ยังอยู่ในกฏของการเปลี่ยนแปลง  ยังอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ 

    ทำไม...คนชอบอธิบายธรรมเหมือนกระต่ายอธิบายสิ่งอยู่ใต้ท้องทะเลลึกที่ปลาทะเลอาศัยอยู่แล้ว

    กระต่ายก็อธิบายให้ฝูงปลาทะเลเหล่านั้นฟังในเรื่องราวของท้องทะเลลึกเล่าครับ...ทั้ง ๆที่ปลาทะเลน่าจะรู้เรื่องในทะเลลึกนั้นได้ดีกว่ากระต่ายซึ่งอาศัยอยู่บนบก...ฮา ๆ เอิก ๆ

    ขอบคุณครับ

     

     

    สวัสดีครับอาจารย์พอดีผมอยู่นอกสำนักงาน เลยเปิดตำราไม่ได้  เลยเข้าไปในเน็ตค้นมาให้อาจารย์ดังนี้ (เพราะเห็นอาจารย์ศรัทธาอาจารย์พุทธทาส เลยserch ความเห็นท่านพุทธทาสมาให้http://www.buddhadasa.com/shortbook/nippan.html

    เมื่อใดเปลือกฟองไข่ กะลามะพร้าว เปลือกแข็งนั้นๆ ได้ถูกเพิกออก หรือทำลายลง. แสงสว่างก็เข้าถึงทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้อง อ้อนวอน หรือขู่เข็ญบังคับมันเลย, นี่ฉันใด. เมื่อฝ้าของใจกล่าวคือ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ถูกลอกออกแล้วด้วย "การปฏิบัติธรรม" แสงและรสแห่งพระนิพพานก็เข้าสัมผัสกันได้กับจิตนั่น เมื่อนั้น (ความหมายของนิพพาน )

     

    แต่ต้นฉบับจะอุปมาเป็นเสมือนพลิกชามที่คว่ำให้หงาย ทว่าอาจารย์พุทธทาสจะมาประยุกต์เป็นเปลือกกะลามะพร้าวถูกเปิดออก

    ก็แล้วแต่สไตล์การจัดการความรู้ว่าจะอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างไร?

    วิกิพีเดียไทยก็อธิบายดีนะครับ

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99

    นิพพานเป็นธรรมที่พ้นไปจากโลก การอธิบายนิพพานโดยอาศัยพื้นฐานในทางโลกตลอดจนภาษาทางตรรกวิทยาจึงไม่อาจกระทำได้ การจำกัดความจึงมักใช้การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ไม่ใช่ทั้งสิ่งนั้นและสิ่งนี้ ไม่มีการอุบัติ ไม่มีการจุติ ไม่มีองค์ประกอบ ไม่มีการสร้างสรรค์ ไม่มีการแตกทำลาย ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ดังปรากฏในพาหิยสูตร ความว่า "ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ 4) รู้แล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นแล้วจากรูปและอรูป จากความสุขและความทุกข์..." (ขุ.ขุ.อ.25/50)

    เมื่อนิพพานพ้นไปจากบัญญัติในทางโลก การอธิบายถึงนิพพานจึงเป็นเพียงการเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบกับความว่างเปล่า หรือไฟที่ดับไป เป็นต้น ในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า "เพราะพระนิพพานเป็นคำสุขุมนัก...เป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้" นิพพานจึงมิใช่เรื่องของการเข้าใจ แต่อยู่ที่การเข้าถึง อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของตนเอง

     

    ขออวยพรให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ

    สวัสดีครับ  คุณ

    P

     

    ขออวยพรให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ...

    เยี่ยมเลยครับคุณ...ผู้เป็นสหายทางธรรมของพวกเราและมีภูมิธรรมที่น่าสนใจยิ่ง...

    ผมมารับพรก่อนนะ...เดี๋ยวจะติดตามอ่านนะครับ...

    ขอบคุณครับผม  ฮา ๆ เอิก ๆ

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท