ปัญหาโรคจิต


โรคจิตจากเอฟีดรีน
โรคจิตคืออะไร   จากการที่ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าหาความหมายพบว่าโรคจิตเป็นคำที่ใช้กับโรคทางจิตเวชหลายโรคที่มีอาการหลงผิด (เช่น หวาดระแวงว่าคนอื่นจะมาทำร้าย เชื่อว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์) และประสาทหลอน (เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน) เป็นอาการหลัก
โรคจิตที่มีการกล่าวถึงบ่อย คือ โรคจิตเภท เพราะโรคนี้นอกจากจะรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในสังคมแล้วยังมีแนวโน้มที่จะป่วยแบบเรื้อรังด้วย
ในปัจจุบันเรามักแบ่งโรคจิตออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและไม่ได้เกิดจากการใช้สารใดๆ เช่น โรคจิตเภทและกลุ่มที่เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สารต่างๆโรคจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในปัจจุบัน เรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคจิตที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและการใช้สาร แต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่สนับสนุนว่ากรรมพันธุ์มีส่วนอย่างมากในการทำให้ป่วยเป็นโรคจิตเภท
สำหรับโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายอาจเกิดจากโรคของสมองหรือโรคทางกายที่มีผลต่อสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติด้านโครงสร้างหรือการทำงานของสมอง เช่น โรคลมชัก
ส่วนโรคจิตที่เกิดจากการใช้สาร อาจเกิดจากการใช้ยารักษาโรคหรือยาเสพติดบางชนิด ซึ่งทำให้สมองทำงานผิดปกติ หรือในกรณีที่ใช้สารที่เป็นพิษรุนแรงและต่อเนื่อง เช่น สารระเหย สมองบางส่วนอาจถูกทำลายอย่างถาวรได้

               โรคจิตจากการใช้สาร
ไม่ว่าโรคจิตจะเกิดจากสาเหตุใด อาการโรคจิตที่เกิดขึ้นมักไม่แตกต่างกัน แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหาสาเหตุจากโรคทางกายและการใช้สารเป็นลำดับแรกก่อนซึ่งหากไม่พบก็มักสรุปว่าผู้ป่วยป่วยเป็นโรคจิตชนิดที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สารซึ่งในกรณีนี้ หากป่วยเรื้อรังเกิน 6 เดือน ผู้ป่วยรายนั้นก็เข้าได้กับโรคจิตเภทแต่หากแพทย์สามารถตรวจพบโรคทางกายหรือสารที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการโรคจิต ผู้ป่วยรายนั้นก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคจิตจากสาเหตุทางกายหรือโรคจิตจากการใช้สาร

               เอฟีดรีนคืออะไร
เอฟีดรีนเป็นสารที่มีโครงสร้างและออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน ในขณะที่แอมเฟตามีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าระบบประสาทส่วนปลาย เอฟีดรีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนปลายมากกว่าระบบประสาทส่วนกลางเอฟีดรีนจึงมีฤทธิ์ในการเพิ่มความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจมากกว่าฤทธิ์ที่ออกต่อจิตประสาทในอดีตเอฟีดรีนเป็นยาตัวหนึ่งที่สามารถใช้รักษาโรคหอบหืดได้ แต่ในปัจจุบันยารักษาโรคหอบหืดที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงมีเพิ่มมากขึ้น การใช้เอฟีดรีนเพื่อรักษาโรคหอบหืดจึงไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป
ขณะนี้เอฟีดรีนจึงยังคงมีการใช้อยู่บ้างในรูปของยาหยดใส่จมูกเพื่อลดอาการคัดจมูก สำหรับในรูปของยาฉีดนั้น วิสัญญีแพทย์เกือบจะเป็นแพทย์กลุ่มเดียวที่ยังคงใช้เอฟีดรีนชนิดฉีดอยู่ โดยใช้เพื่อเพิ่มความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำจากการได้รับยาชาทางไขสันหลัง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยได้จัดให้เอฟีดรีนเป็นสารในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 เช่นเดียวกับยากระตุ้นประสาทอื่นๆ เช่น เฟนเตอร์มีนที่เป็นยาลดความอ้วน และเมทธิลฟินิเดทที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น
ซึ่งลักษณะสำคัญของสารในกลุ่มนี้ คือ เป็นสารที่จำเป็นสำหรับการรักษาผู้ป่วย แต่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อจิตประสาทและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้
ยากลุ่มนี้จึงถูกควบคุมพิเศษ ผู้ใช้ยาไม่สามารถสั่งซื้อยาจากผู้ผลิตได้โดยตรง แต่หากต้องการสั่งซื้อจะต้องขึ้นทะเบียนและทำการสั่งซื้อยาผ่านทาง อย.เท่านั้น
นอกจากเอฟีดรีนในรูปของยาแล้ว สารนี้ยังพบได้ในสมุนไพรต่างๆ (เช่น Ma Huang ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้กันมานานกว่า 5,000 ปีแล้ว) และอาหารเสริมบางชนิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีรายงานการเสียชีวิตและผลเสียทางสุขภาพหลายราย
องค์การอาหารและยาในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาจึงได้สั่งห้ามจำหน่ายอาหารเสริมที่มีเอฟีดรีนเป็นส่วนประกอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา
แต่เนื่องจากสารนี้ยังเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักและใช้เป็นยาโด๊ป การแอบจำหน่ายสารนี้อย่างผิดกฎหมายจึงยังคงมีอยู่ในหลายประเทศ

               เอฟีดรีนสามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้หรือไม่
ภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชที่สำคัญของการใช้เอฟีดรีน คือ อาการโรคจิตและอารมณ์แปรปรวน ซึ่งในประเทศไทยเท่าที่ทราบ ยังไม่มีผู้ใดได้รายงานเรื่องโรคจิตจากเอฟีดรีนลงในวารสารทางการแพทย์มาก่อน

แต่ในต่างประเทศได้มีรายงานในเรื่องนี้อยู่บ้าง เช่น Herridge และ A"Brook ได้รายงานผู้ป่วยโรคจิตจากเอฟีดรีนเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1968 จากนั้นก็มีรายงานเพิ่มเติมอีก 2 รายงานในปี ค.ศ.1977 และ 2004

ส่วนผู้ป่วยที่ได้สารเอฟีดรีนแล้วมีอาการเด่นในแง่ของอารมณ์แปรปรวนนั้นก็มีผู้รายงานไว้เมื่อปี ค.ศ.2002 และ 2004 เช่นกัน โดยมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยแมเนีย (mania) คือ มีอารมณ์ครื้นเครงหรือหงุดหงิด
ร่วมไปกับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง, พูดมาก, นอนน้อย และใช้จ่ายเงินมากผิดปกติ ซึ่งอาจแสดงออกในลักษณะของการใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือย, การแจก หรือการบริจาคก็ได้
  เนื่องจากเอฟีดรีนเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางที่ไม่รุนแรงเหมือนแอมเฟตามีน โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการโรคจิตจึงมีน้อยมาก
   อาการโรคจิตจากเอฟีดรีนที่เกิดขึ้นจึงมักเกิดในกรณีที่ใช้ยาในขนาดสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย (เช่น เส้นเลือดแตกในสมอง) ก่อนที่จะเกิดอาการทางจิตประสาท นอกจากนี้การใช้เอฟีดรีนในทางที่ผิด เช่น ใช้เป็นยาเสพติด ก็พบได้น้อยมาก  
จากเหตุผลดังกล่าวจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมโรคจิตจากเอฟีดรีนจึงเป็นปัญหาที่พบได้น้อยมาก
โรคจิตจากเอฟีดรีนน่าจะถือว่าใกล้เคียงกับโรคจิตจากยาลดความอ้วน ผู้ป่วยมีโอกาสสูงมากที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องและสังคมจึงควรให้การประคับประคองผู้ป่วยเพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้โดยไม่เกิดปัญหาด้านการปรับตัวต่อสังคมเมื่อหายป่วยแล้ว
หมายเลขบันทึก: 83744เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2007 15:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 16:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • ลบบันทึกที่นี่
  • แล้วย้าย "บล็อก"  ไปสมัครที่ www.learners.in.th 
  • จะได้  ดุ  วิธีการเขียนที่ไม่เข้าท่าได้ถนัดหน่อย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท