ผลการสัมมนาสรุปได้ ดังนี้
1.ความสำคัญของศาลชรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
2.เขตอำนาจศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
3.กฎหมายประกอบการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
4.รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
ข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมสัมมนา
ขอขอบคุณ ดร.มุฮำหมัดซากี เจ๊ะหะ รองคณบดีฝ่ายบริหารคณะอิสลามศึกษาที่กรุณามอบสรุปผลการสัมมนาในครั้งนี้ครับ
เพิ่งรู้ว่า อ.เฮ็ง มีบล็อกด้วย ตอนนี้ผมเพิ่มไว้ในเพล็นเน็ทของวิทยาลัยแล้วครับที่ www.gotoknow.org/planet/yic
แวะเข้าไปร่วมสมาคมกันนะครับ
ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดังกล่าว
ด้วยความยินดีครับ
ขอแนะนำ ติชมครับ เนื่องจากความไม่รู้ และรู้ในบางส่วน หากอ่านแล้วไม่พอใจ ก็อย่า
เพิ่งโกรธครับ เพราะมันเป็นเรื่องของจิตใจ หากมีไรที่ไม่ตรงตามความต้องการของเรา
ในความเป็นคนแล้ว ย่อมแสดงอารมณ์ออกมา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องเร่งแล้ว
ละครับ เงียบไว้ไม่ดี จริงไหมครับ เข้าเรื่องเลยครับ
พูดแบบง่ายๆไม่ต้องวิชาการเกินสามัญชน
1.ความสำคัญของศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
- การจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการบริหารกฎหมายอิสลามของมุสลิมในประเทศไทย
> ใช่ครับ มีความสำคัญมาก เพราะหากคนนับถือศาสนาอิสลามในการดำรงชีวิตแล้ว หากไม่ได้ปฎิบัติตามหลักศาสนาอย่างสมบูรณ์ ถูกต้อง ก็ย่อมตกอยู่ในปาปตลอดเวลา แม้ว่าจะให้เหตุว่าอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ปกครองตามหลักศาสนาอิสลามก็ตาม และการบริหารจัดการด้านกฎหมายอิสลามก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลอดทั่วทั้งประเทศโดยมีสถาบันทางกฎหมายของไทยเป็นผู้ตรวจสอบร่วมในการดำเนินงาน
-การจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยมีความจำเป็นตามหลักชะรีอะฮฺและมีความเป็นไปได้ตามกฎหมาย
> ความจำเป็นนั้น ถือว่าเป็นเป้าหมายหลักแน่นอน หากไม่มีก็จะสร้างความลำบากใจดังเช่นข้างต้น ส่วนความเป็นไปได้นั้นก็จะต้องให้ทางผู้แทนราษฎรที่เราเลือกไปให้ทำงานแทนประชาชน ทำงานต่อไปตามขั้นตอน
-การจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺสามารถเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ
> ตรงนี้ ไม่เข้าใจที่สรุปมาว่า มั่นคง ตรงไหน ด้านใด จะได้เข้าใจตรงกัน เพราะความมั่นคงของประเทศนั้น อาจจะหมายถึงความมั่นคงทางทหาร การป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งดูห่างไกลจากการจัดตั้งศาลชะรีอะห์พอสมควร
2.เขตอำนาจศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
- ศาลชะรีอะฮฺต้องมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและมรดกของมุสลิมทั่วราชอาณาจักร
> ตรงนี้สำคัญ เพราะในขั้นต้นเราอาจจะใช้กฎหมายอิสลามในเรื่องของครอบครัวและมรดกกันไปก่อน ซึ่งในความเป็นจริงมีมากกว่านั้น ตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนกฎหมายทั่วไป พร้อมทั้งการเกื้อกูลกันระหว่างมัสยิดประจำหมู่บ้าน ตำบล, สำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด
-ศาลชะรีอะฮฺต้องมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นความผิดต่อหลักการศรัทธาในอิสลามเฉพาะคดีที่มีผลต่อกฎหมายครอบครัวและมรดก
> ตรงนี้ เรียกว่าเป็นส่วนขยายของเงื่อนไขในการพิพากษาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายครอบครัว มรดกและพินัยกรรมอิสลาม
3.กฎหมายประกอบการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
-ต้องบัญญัติให้ผู้พิพากษาและบุคลากรในศาลชะรีอะฮฺมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและ
สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายอิสลาม
> ตรงนี้ ต้องเสริมหลักสูตรเพิ่มเติมด้านนิติศาสตร์ เพื่อมีมาตรฐานสากล อาจจะจะเป็นการสอนเสริมหรือปรับหลักสูตรเป็นนิติศาสตร์อิสลาม เพื่อรองรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคต เหมือนการจัดตั้งศาลแรงงาน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เป็นต้น
-ต้องบัญญัติและบังคับใช้ประมวลกฎหมายอิสลามลักษณะครอบครัวและมรดก
> อ้างอิง ปรับใช้จาก พรบ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามที่มีอยู่ได้เลยครับ
-ต้องบัญญัติและบังคับใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลชะรีอะฮฺ
> ก็เทียบเคียงตามแนวทางที่มีอยู่ต่อไปเลย
-ต้องจัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนสมรสและทะเบียนหย่าตามกฎหมายครอบครัวอิสลาม
> ตรงนี้ ก็สามารถทำได้ ๒ ที่เลย ทั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือที่ว่าอำเภอ โดยมีบุคลากรด้านศาสนาอิสลามเป็นคนพิจารณาองค์ประกอบตามหลักศาสนาอิสลาม
4.รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺ มีดังนี้คือ
-ศาลชะรีอะฮฺต้องมีความเป็นเอกเทศและอิสระ
> ตรงนี้ โดยปกติแล้ว ศาลทุกแบบก็แยกเป็นเอกเทศและอิสระต่อการทำงานอยู่แล้ว
-ผู้พิพากษาศาลชะรีอะฮฺต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการพิจารณาพิพากษาคดี
> ตรงนี้ ก็มาตรฐานมันระบุในหน้าที่อยู่แล้ว
-ต้องจัดตั้งศาลสูง เพื่อพิจารณาอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชะรีอะฮฺชั้นต้น
> เอาชั้นเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะหลักศาสนาได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในการตัดสินคดีความแล้ว ยกเว้นเสียจากว่าจะมีคดีที่ไม่ใช่คดีแบบการตัดสินตามหลักตายตัว เช่น การคลอดบุตร แต่งงาน บุตรบุญธรรม หย่าร้าง พินัยกรรม เป็นต้น
ข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมสัมมนา
ควรให้รัฐและสถาบันอุดมศึกษาอิสลามประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของศาลชะรีอะฮฺทางสื่อต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย
> การแนะนำในข้างต้นประชาชนก็ทราบอยู่แล้ว เพียงแต่รอว่าเมื่อไรใครจะทำ ใครจะเป็นเจ้าภาพ ส่วนความประชาชนนั้น แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าลืมเสนอผ่านผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. เราแล้วกัน เลือกมาทำงานแล้ว ต้องทำตามขั้นตอน การเสนอญัตติ
รัฐและสถาบันอุดมศึกษาอิสลามควรจัดให้มีการสัมมนาในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาลชะรีอะฮฺและจัดเวทีระดมความคิดเห็นทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง
> ตรงนี้จัดบ่อยอยู่แล้ว แต่ยังขาดการทำอย่างเป็นรูปธรรม
ควรให้คณะกรรมาธิการการยุติธรรมการตำรวจและสิทธิมนุษยชนเป็นผู้ผลักดันในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺต่อไป
> ตรงนี้ ตอบเหมือนกัน ไม่ต้องรอใคร เพราะเค้าไม่ใช้คนใช้ แต่คนใช้จะทราบดีถึงวัตถุประสงค์ แล้วก็ยื่นผ่าน ส.ส. หรือคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้เลย แล้วจะเข้าสู่เวทีอภิปรายได้ทันทีในโครงการดังกล่าว
ควรให้รัฐยกร่าง พ.ร.บ จัดตั้งศาลชะรีอะฮฺ และทำประชาพิจารณ์ และเสนอต่อสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ.
> เหมือนข้อข้างต้น
ควรให้รัฐกำหนดให้มีคณะกรรมการไกล่เกลี่ยในศาลชะรีอะฮฺ
> ตรงนี้ พูดง่ายๆเริ่มได้เลย ตรงที่มัสยิดใกล้บ้าน ไม่ต้องรอถึงศาลชะรีอะห์ครับ ในอดีตก็อาศัยมัสยิดนี้มาก่อน
ควรให้มีโครงการร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและศาลชะรีอะฮฺในการอบรมบุคลากรที่จะไปทำงานในด้านการศาล
> ในบางมหาวิทยาลัยได้มีการสอนอยู่แล้ว เหลือเพียงแต่หน่วยงานที่จะรองรับ
ควรให้รัฐดำเนินการจัดตั้งสภาทนายความชัรอีย์ในประเทศไทย
> หลักการเดียวกันกับข้างต้น
ควรให้รัฐและสถาบันอุดมศึกษาอิสลามเป็นเจ้าภาพร่วมกันในยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศาลชะรีอะฮ.
> ทำอยู่แล้ว แต่ขาดความต่อเนื่อง ที่มาจากหลายปัจจัย ทั้ง นักวิชาการ นักศึกษา ประชาชน ทำให้เรื่องเงียบไปเป็นพักๆแล้วก็มาต่อ
ขอบคุณสำหรับผลสรุปสัมมนาครับ ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมก็แบบนี้หละครับ
ไว้ออกจากสนามรบเมื่อไร จะมาให้กำลังใจต่อครับ