ผู้เขียนได้อาศัยการไหว้วานเพื่อนฝูงให้ช่วยงานอยู่เสมอ จนต้องเตือนตัวเองว่า นอกจากจะได้งานจากเพื่อนแล้วจะต้องได้เพื่อนจากงานด้วย
เมื่อสองเดือนมานี้ได้รับมอบหมายให้มาทำงานในหน้าที่หัวหน้าส่วนชุมชนแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ชุมชนฯ ทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมาย และไม่พบเปล่าแต่เป็นการทำงานร่วมกันกับผู้คนหลายกลุ่ม เพื่อจัดการกับกิจกรรมของแต่ละกลุ่มที่มีแตกต่างกันไป
เคยคิดว่าการขอแรงกันในหมู่คนไทยมีมาช้านานแล้วก็จริง แต่ในการลุกขึ้นมาเองด้วยจิตอาสาธารณะยังมีอยู่น้อยมากนั้น หากที่ว่าน้อยใช่ว่าจะหายากเย็นในชุมชนที่ผู้เขียนสัมผัสอยู่ทุกวันนี้
การจะพบและกระพือจิตสาธารณะในชุมชนหรือองค์การนั้น ต้องใช้การใส่ใจในสมาชิกของชุมชนและองค์การ ที่สำคัญคือต้องฉวยโอกาสแล้วจับให้มั่นเมื่อเกิดจิตอาสาของกลุ่มคนใดๆ เอาไว้ให้ได้ พลังจิตอาสานั้นรุนแรงพอที่จะดึงดูดเอาคนอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างนึกไม่ถึง
วันนี้ผู้เขียนได้ทรัพยากรในการทำงานและการเรียนรู้ จากกลุ่มอาสาสมัครที่โผล่จากมุมเงียบๆ และไม่ได้มาคนเดียวแต่ชวนเพื่อนๆ ให้ออกมาจากหลืบมุมที่มีกลุ่มคนเล็กๆ ซึ่งเป็น cop's ทีมีความหลากหลายมาด้วย
จิตอาสา และความรู้ ความสามารถในกลุ่มคนเหล่านี้้ จะเป็นชนวนชั้นดีในการจุดให้เกิดจิตอาสาธารณะที่เราทุกคนอยากเห็นในสังคมของเรา
ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ในมุมต่างๆ ของโลกทุกวันนี้ สื่อต่างๆเริ่มพบและนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาพูดถึง we or me กันแล้ว
เมื่อได้ทรัพย์มาแบบนี้ รวมกับการได้รับความช่วยเหลือจากโครงการส่งเสริมการให้ (www.give2all.com) และไฟเขียวจากกรรมการบริหารองค์การในการทำเรื่อง Corporate Social Responsibylity : CSR) แล้ว ก็น่าจะช่วยให้คนส่วนใหญ่ในองค์การที่มักทำดีคนเดียว คือทำงานของตนให้ดีที่สุด และทำกุศลกรรมในระดับปัจเจกอยู่นั้น เริ่มมีหนทางพัฒนาให้ก้าวข้ามเข้าสู่ระดับสาธารณะได้
คงไม่ยากเกินไปที่จะทำให้ผู้คนที่ดีอยู่แล้ว ขยาย "ดี" ของตนด้วยการเสียสละเวลา สละแรง และแบ่งปันความสามารถ โดยการยอมให้ความดีและการงานของตัวเองช้าลงบ้าง มาร่วมกันเป็นไม้ซีกเล็กๆ ที่รวมกันงัดไม้ซุง มารวมพลังกันช่วยกันสร้างโลกที่ดีและงามไปด้วยกัน