วันนี้...ขอเล่าต่อจากเมื่อวานนี้... ในเวทีสัมมนาแนวทางปฎิบัติงานส่งเสริมการเกษตร ปี 2550 ที่โรงแรมหลุย แทรเวอร์น กรุงเทพฯ ท่านรองอรรถ อินทลักษณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ได้กล่าวเปิดการสัมมนาว่า....
1. ทำความเข้าใจ Food Safty คืออะไร
2. ทำความเข้าใจ KM คืออะไร ทำอย่างไร
3. ทำความเข้าใจกระบวนการโรงเรียนเกษตรกร (FFS)
-ทำความเข้าใจ และบูรณาการ ทั้ง 3 ตัวนี้ Food Safty เป็นหลักวิชาการ เปรียบเสมือน ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถยนต์ ส่วน KM และ FFS เป็นกระบวนการ เปรียบเสมือน รถยนต์ ที่จะพาผู้โดยสารไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
-สรุปคือ มาคราวนี้ ได้รับความรู้ นำ Food Safty ผ่าน KM และ FFS พาไปสู่พี่น้องเกษตรกรให้สามารถผลิตพืชปลอดภัยและได้มาตรฐาน
- มีเรื่องหลุมดำ KM เข้าใจว่าหมายถึง ปัจจัยเสี่ยง ที่ควรหลีกเลี่ยง KM จะเป็นตัวสนับสนุนให้ Food Safty ประสบผลสำเร็จ
- นำความรู้ที่ได้รับ ไปถ่ายทอดต่อ เปรียบเสมือนปัจจวัคคี มาศึกษาวิทยายุทธ์ ธรรมะ แล้วกลับไปถ่ายทอดต่อสู่เกษตรกร 316,000 คน ไปคุยกับเกษตรจังหวัด การบริหารจัดการของจังหวัด โครงการนี้จะสำเร็จไม่ได้ ถ้าเกษตรจังหวัดไม่ลงมาบริหารจัดการ กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ความสำคัญอันดับ 1 หัวหน้ากลุ่มทั้ง 3 กลุ่ม กลับไปต้องไปหารือกับเกษตรจังหวัด ไปบริหารโครงการนี้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มุ่ง Output ที่เกษตรกร 316,000 คน
-จัดการ Process การทำงาน โดยตั้งคณะทำงานฯ ที่มีกลุ่มทั้ง 3 กลุ่มของจังหวัดเป็นคณะทำงานฯ มีเกษตรจังหวัด เป็นหัวหน้าทีม และมอบหมายให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นเลขานุการ
- กำหนดบุคคลเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสม ตามพื้นที่ พืช คน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด โดยใช้เวทีปรึกษาหารือกัน
- เมื่อถ่ายทอดแล้ว ต้องตามไปดูในพื้นที่ด้วยว่า สิ่งที่วางแผน และปฎิบัติแล้ว เกิดผลสัมฤทธิ์หรือไม่ มีกระบวนการติดตามประเมินผล
สุดท้ายท่านได้สรุปว่า การทำงานเน้นการบูรณาการ
- บูรณาการวิชาการ Food Safty กับ โครงการอื่นๆ
- บูรณาการวิธีการทำงาน Food Safty ซึ่งเป็นเนื้อหาวิชาการกับ KM และ FFS ซึ่งเป็นกระบวนการทำงาน
-บูรณาการคน การตั้งคณะทำงานฯ โดยมีเกษตรจังหวัด เป็นหัวเรือ พาพวกเราไปสู่เป้าหมายให้ได้..........
นันทา ติงสมบัติยุทธ์
27 ก.พ.2550
* การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยบูรณาการองค์ความรู้เพื่อใช้ทำงานให้บรรลุผลได้
* การพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจภารกิจงานขององค์กร เราใช้ "การจัดการความรู้" ได้ภายใต้มุมมองของระยะเวลา "วิสัยทัศน์ที่เราต้องการไปให้ถึง" เช่น 3 ปี 5 ปี ที่เราสามารถวางงาน KM ระยะยาวให้กับหน่วยงานได้
* แล้วเรามาการกระจายงานสู่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะของ "คลังความรู้"
* เราจัดการองค์ความรู้จากการปฏิบัติ ซึ่งต่างจาก "การจัดการสารสรเทศ ที่เรามักจะเข้าใจ KM ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
* ขอบคุณมากนะค่ะที่นำมาเล่าสู่กันฟัง และเป็นกำลังใจให้ท่านเดินสู่เป้าหมาย.
ขอบพระคุณมากครับ