ขอโทษในความผิดพลาด: จากการเล่าเรื่องแบบไม่ครบบริบท ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น


พอผมแปลคำนี้เป็นภาษาไทยเท่านั้นละครับ เป็นเรื่องเลยละครับ มีการเรียงหน้าปูพรมมาที่ผมเป็นทีมเลยครับ
 

ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมานั้น ตั้งใจจะอธิบายความคิดจริงๆของผมในการเขียน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าใครจะอ่านแล้วเข้าใจว่าความคิดจริงๆของผมคืออะไร แต่ก็ขอเขียนเล่าไปตามความเป็นจริง ว่าที่ผมคิดเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เคยคิดจะดูถูกใครแต่ประการใดทั้งสิ้น

  

ต้นเหตุมาจาก เมื่อผมสอนหนังสือ ผมชอบใช้วิธีการ story telling ให้ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจบริบทของเรื่องและตัวละคร ที่จะทำให้ได้บทเรียนต่างๆ แล้วแต่คนฟังแต่ละคนจะ “in” กับเรื่องที่เล่า และจับประเด็นสำคัญได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ

  

ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตามเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ แต่บางทีการฟังการเล่าก็อาจถูกขัดจังหวะ ทั้งด้วยปัจจัยภายในและภายนอก ที่ทำให้ไม่เกิดอาการ “in” กับเรื่อง เลยอาจทำให้สรุปเรื่องแบบแยกส่วน จนทำให้จับประเด็นไม่ถูกต้องได้

  

เช่นเรื่องกระต่ายกับเต่าวิ่งแข่งกัน คนที่ฟังตลอดก็จะสรุปตามเป้าหมายว่า การมุมานะก็อาจทำให้ทำงานสำเร็จทั้งที่ความสามารถด้อยกว่า

 

แต่คนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หรือฟังเฉพาะตอนจบก็จะบอกว่า

 
  1. กระต่ายที่ไหนจะบ้าไปแข่งกับเต่า หรือ
  2. ทำไมจะต้องไปแข่งกันให้เสียเวลาทำมาหากิน หรือ
  3.  ถ้ามองในเชิงปรัชญาก็อาจพูดว่า กระต่ายเก่งกว่าน่าจะมาช่วยเต่าทำงาน และเต่าที่ขยันกว่าน่าจะไปสอนกระต่ายได้ ไม่ควรแข่งกันเลย เสียเพื่อนเปล่าๆ และ มีประเด็นที่แตกต่างไปได้อีกมากมาย

 นอกจากสมาธิการฟังเรื่องเล่าจะสำคัญแล้ว กระบวนทัศน์ของผู้เล่าและผู้ฟังต้องปรับให้สอดคล้องกันด้วย ไม่งั้นภาพที่มองจะเป็นคนละเรื่องกันเลย  

 

เช่นเมื่อต้นปีที่แล้วผมไปช่วยงานพัฒนากลุ่มเกษตรกรที่ประเทศ สปป. ลาว ผมแทบเอาตัวไม่รอด เพราะคนลาวเขาเจ็บปวดมากับระบบ กลุ่ม และระบบ สหกรณ์ ซึ่งสื่อความหมายว่าเป็นระบบ นารวม ที่เขาต่อต้านกันอยู่ในใจ

กว่าจะอธิบายได้ ต้องใช้เวลาตั้งนาน ว่าไม่ใช่กลุ่มนารวมอย่างนั้น แต่เป็นกลุ่มการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และทุกคนยังทำเกษตรในพื้นที่ของตัวเองเหมือนเดิม

  บางทีประสบการณ์และความสนใจก็เป็นประเด็นสำคัญ

เช่นเมื่อสักสองเดือนมาแล้ว ผมพยายามพัฒนาความคุ้นเคยผ่านบล็อกกับ ดร. จันทวรรณ ในจังหวะที่ท่านนำเสนอเรื่อง Javascript

โดยผมพยายามทำความเข้าใจว่า Javascript ในเชิงภาษาศาสตร์นั้นมันมีที่มาอย่างไร แต่ท่านก็พยายามจะตอบผมในนามของ ภาษาคอมพิวเตอร์ และแนะนำให้ผมไปอ่านตาม link ต่างๆ ผมก็ไปอ่านทุกอันที่ท่านแจ้งมา

ผมก็ยังไม่ได้คำตอบว่า Javascript มันเกี่ยวกับภาษา Java (เกาะชวา) และประเทศอินโดนีเซียอย่างไร ผมถามวนไปวนมาตั้งหลายรอบ

ในที่สุดท่านก็ตอบมาว่า คนที่คิดภาษานี้ ชอบกินกาแฟจากชวา ซึ่งผมก็หาข้อมูลดังกล่าวไม่เจอ แต่ก็เชื่อไว้ก่อน ทั้งๆที่ไม่ทราบว่าเป็น Joke หรือเรื่องจริง จนถึงวินาทีนี้ 

ดังนั้นการเล่าเรื่องที่จะทำให้เราเข้าใจตรงกันนั้น บริบท กระบวนทัศน์ และความสนใจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เรา Share joke กันได้แบบ seamless  

(ผมขอโทษที่ใช้ภาษาอังกฤษ กันการตีความหมายผิดครับ) 

การใช้ภาษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลได้ดี เช่นคำว่า Watchdog ตอนนี้ผมไม่กล้าแปลเป็นภาษาไทยแล้วครับ เพราะแปลครั้งเดียวก็สาหัสแล้ว

 ในต่างประเทศ พอพูดถึงสัตว์เลี้ยงแล้วเขาจะยกย่องสัตว์ชนิดนี้ เทียบเท่าหรือเหนือกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ เลี้ยงดูอย่างดี และบางทีก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน กินนอนด้วยกัน บางทีก็ไว้เฝ้าบ้าน แต่นิสัยสัตว์ชนิดนี้จะรักของ และซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ จะคอยดูแลสิ่งต่างๆแทนเจ้าของ ที่เรียกว่า Watchdog จนมึกลุ่มคนไทยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อบริษัทที่ทำงานด้านการติดตามตรวจสอบการพัฒนาประเทศ  ที่ถือเป็นการ ยกย่อง คนที่ทำความดี ดูแลความเรียบร้อยของชุมชนในสังคม

ทีนี้ใน gotoknow ก็มีทีมที่ทำงานแบบนี้ อยู่เพื่อดูแลความเรียบร้อยของระบบ แบบ watchdog แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้เพียงอย่างเดียว ยังทำงานพัฒนาระบบให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่หน้าที่ดูแลระบบ ก็เป็นงานหนึ่งที่ทำอย่างจริงจัง เปรียบเสมือน

“Watchdog” ของระบบ ใครมาทำอะไรผิดหลักการและนโยบาย จะได้รับการจัดการและดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อให้ระบบเป็นไปตามเป้าประสงค์ของประเทศ สังคม และหน่วยงานที่ดูแลโดยตรง

ที่เป็นฝ่ายกำหนดนโยบายมาว่าจะให้ใครเข้า มาทำอะไร หรือไม่ให้ใครเข้ามา 

แต่พอผมแปลคำนี้เป็นภาษาไทยเท่านั้นละครับ เป็นเรื่องเลยละครับ มีการเรียงหน้าปูพรมมาที่ผมเป็นทีมแบบกองทัพมดแดงเลยครับ

และผมก็เลยเพิ่งได้ความรู้ว่า นอกจาก ดร. จันทวรรณ แล้วยังมี ดร. ธวัชชัย และดูเหมือนจะมีคุณโอ๋-อโณ ด้วย

นี่เท่าที่เห็นนะครับ

ยังมีคนไม่แสดงตน บอกแต่ว่า รับไม่ได้ ที่ผมแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย  รู้ยังงี้ไม่แปลก็คงจะดีกว่า

หรือแม้ไม่แปล ผู้อ่านก็อาจจะไปแปลคำนี้จากบริบทภาษาอังกฤษที่ "ยกย่อง" ให้เป็นบริบทของภาษาไทยที่เป็นการ ดูถูก อีกเหมือนเดิม

เรียกว่างานนี้ไม่มีทางรอดแน่ เลิกใช้คำอุปมาอุปไมยไปเลยเห็นท่าจะดีกว่า 

เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ใครคิดว่าตนรู้สึกว่าตนเสียหายจากการแปลคำว่า Watchdog เป็นภาษาไทย แสดงตัวมาให้หมดเลยทีเดียวครับ จะรับได้ไม่ได้ไม่ว่ากัน เพราะผมไม่มีเจตนาร้ายกับใครอยู่แล้ว

ผมจะได้ขอโทษซะให้ครบหน้ากัน แล้วเราจะได้ทำงานพัฒนาการจัดการความรู้ด้วยกันอย่างเข้าใจกันต่อไป กินแหนงแคลงใจกันไปไม่เห็นจะมีใครได้ประโยชน์สักคน 

ตอนนี้ผมขอโทษในความผิดพลาดของผมต่อ ดร. จันทวรรณ น้อยวัน เป็นหลักก่อนนะครับ

ส่วน ดร. ธวัชชัยนั้นผมไม่เคยกล่าวหรือคิดถึงท่านในมุมนี้เลย เพียงเข้าใจว่าเป็ผู้ช่วย ดร. จันทวรรณ (ตำแหน่งอะไรก็ไม่ทราบจริงๆครับ) 

แต่เมื่อท่านแสดงตัวออกมาผมก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน

และผมไม่แน่ใจว่าคุณโอ๋-อโณ นี่เกี่ยวกับทีมผู้ดูแลระบบอย่างไร

ผมไม่ทราบจริงๆครับ ถ้าใช่และโดนพาดพิง ก็ขอโทษด้วยครับ

(แต่ผมจำได้ว่า ผมไม่เคยพาดพิงถึงคุณโอ๋-อโณ แม้แต่ครั้งเดียวนะครับ- ที่ลบความเห็นออกตอนเย็นวานเพราะสิ่งที่ท่านกล่าวนั้นไม่เป็นจริง อาจทำให้เกิดความสับสนกับผู้อ่านทั่วไปและไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยครับ โดยเฉพาะที่บอกว่าผมไม่เคารพคนอื่น ก็เลยขอลบ และได้อธิบายไว้ใน email แล้วครับ) 

 

การขอโทษนั้นไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ ผมจะเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ ไม่พาดพิงถึงท่านในฐานะผู้ดูแลระบบอีกต่อไป แต่ในฐานะบุคคลทั่วไปอาจจะเลี่ยงยากครับ

(เช่นพูดว่าคนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก ยังไงก็โดนท่านแน่นอนครับ)

และถ้าผมพลาดจนทำให้ท่านหงุดหงิดคราใดก็กรุณาเตือนด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ท่านจะถนัด และถ้าไม่เหมาะสมเชิญลบงานเขียนของผมทันทีเลยครับ ตามสิทธิ์ที่ท่านมี ผมจะทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีของไทยและของโลกต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ครับ  

 

ขอบคุณมากครับ ด้วยความจริงใจ ๑๐๐% ครับ และไม่โกรธท่านแม้แต่นิดเดียวครับ ดีใจด้วซ้ำที่ได้ "มีวันนี้ "ครับ ที่ผมมีโอกาสอธิบายความคิดของผมให้ท่านฟัง

โอกาสอย่างนี้หายากจริงครับ

หมายเลขบันทึก: 80158เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2007 01:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

ยิ้มได้แล้วครับ  หายง่วงเหมือนปลิดทิ้งเลยครับ

ผม.แวะไปสุ่มอ่านมาหลายๆ blog ..แล้วมองแบบกลางๆ    ผมรู้สึกว่า...ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ชุมชนแห่งนี้จะรบกันด้วยความคิดมากกว่าช่วงแรกๆ ของ G2K ...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเริ่มรับทฤษฎี คือ เรียนรู้ รู้จัก รู้ทางกันมากขึ้น...และหลังจากได้ร่ำเรียนวิชากันมาบ้างพอสมควรระยะหนึ่งแล้ว ก็อดคิดไม่ว่าว่าเป็น "ช่วงลองวิชา"

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ครับ ..คนทำดี คิดดี พูดดี (เขียน Blog ดี) ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนใจให้เสียความปกติสุข

ขอบคุณครับ

  • ตกลง  เรื่องราวต่างๆจบลงด้วยดีแล้วนะคะ
  • เราชาวบล็อกเกอร์  ก็มาช่วยกันสรรสร้างความรู้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่อไปสมดังเจตนารมย์ของ gotoknow
  • ฟ้าหลังฝน...กำลังแจ่มใสแล้วค่ะ  ทุกๆอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สังคมของเราก็จะมีความสุขในการเขียนต่อไปนะคะ
  •  

    กราบสวัสดี ดร.แสวง ลูกศิษย์ ดร.มัตติกา รุ่นปู่ ครับ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ อาจารย์ได้แวะเข้ามาทักทาย และขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

                   ผมได้มีโอกาสทำงานเพื่อชุมชนและท้องถิ่น คล้ายกับลักษณะงานของอาจารย์ ซึ่ง ต้องขอคำแนะนำปรึกษาอาจารย์บ้างนะครับ

                                         ลูกศิษย์ ดร.มัตติกา รุ่น หลาน

    ดีใจที่ได้เห็นดร.แสวงมาชี้แจงในบันทึกของตนเองอย่างชัดเจนเช่นนี้ค่ะ จะได้เขียนแสดงความคิดเห็นกันได้ และขอความกรุณาอย่าลบความเห็นของดิฉันในครั้งนี้ เพราะเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับบันทึกนี้นะคะ

    ขอชี้แจงก่อนว่า เป็นผู้ใช้ระบบเหมือนกันกับท่าน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยส่วนตัวอันใดกับอ.จันทวรรณและอ.ธวัชชัยมาก่อน แต่เพราะศรัทธาในแรงพลังที่อาจารย์ทั้งสองทุ่มเทจึงช่วยทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทำให้ได้รู้จักและคุ้นเคยกันในเวลาต่อมา แต่ดิฉันก็ยังคงความเป็นอิสระทางความคิด ไม่ได้ตั้งตัวเป็นพวกเดียวกับใครเลย และคิดว่าสมาชิกบล้อกเกอร์ท่านอื่นๆก็คงคิดเห็นเช่นนั้น

    เกรงว่าที่เขียนจะหายไป ขอ post ก่อนนะคะ

    ดิฉันต้องขอเรียนว่า ดิฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดีกํบคำว่าหมาเฝ้าบ้าน ที่ท่านใช้ แต่รู้สึกไม่ดีกับ context ทั้งหมดที่ท่านเขียน ที่รวมทั้งการใช้คำว่ากลัวติดโรคกลัวน้ำฯลฯ ซึ่งเราคนอ่านจะรู้สึกว่ามันรุนแรงเกินไป ทั้งๆที่เราไม่ใช่คนโดนว่าโดยตรง จึงทักท้วงไว้ในบันทึกของคุณ"คนไร้กรอบ"

    ส่วนในบันทึกของท่าน ที่ดิฉันไปเขียนความเห็นแล้วโดนลบ เกือบจะในทันที (อันเป็นที่มาของความรู้สึกเสียใจในความคาดหมายของตัวเอง ว่าท่านจะเป็นคนใจกว้าง ตรงไปตรงมา) นั้น เนื้อความส่วนใหญ่ที่เขียน ก็คือเสนอความเห็นของตัวเอง ว่าไม่เห็นด้วยกับการไปตัดสินผู้อื่น และวิจารณ์เปรียบเทียบว่าคนนั้นคนนี้โดยไม่ไปสื่อสารโดยตรงกับเจ้าตัว และมีหนึ่งท่อนที่เขียนว่า

    ขอประท้วงที่ท่านใช้คำไม่เหมาะสมอย่างมากต่อผู้พัฒนาระบบ

    (จำข้อความที่เขียนไม่ได้เป๊ะ แต่ไม่คิดว่าเขียนอะไรที่"ไม่เป็นจริง อาจทำให้เกิดความสับสนกับผู้อ่านทั่วไปและไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยครับ ")

    รวมทั้งได้เขียนความคิดเห็นว่า ท่านควรจะไปสื่อสารบอกคนที่ท่านคิดว่าเขาเขียนไม่ตรงกับที่ท่านคิดว่าควรจะมีใน GotoKnow โดยตรง ไม่มาเปรียบเทียบกระทบไปกระทบมาให้คนเดาเอาเองเช่นนี้ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เราควรจะช่วยกันแก้ไข แล้วเจ้าของบันทึกเขาจะได้บอกเหตุผลคุยกันว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น ฯลฯ เพราะพื้นที่ใน GotoKnow เป็นของทุกคน ทุกคนมีอิสระที่จะพุด จะทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ควรมีใครมาเที่ยวตัดสินกะเกณฑ์ว่า ไร้สาระหรือไม่

    ขอเรียนตรงนี้ว่า คงไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกแล้ว และยอมรับในบุคลิกของดร.แสวง ชอบความคิดความเห็น แต่คงยังรับไม่ได้กับการแสดงออกบางอย่าง แต่ก็เห็นว่าเราทุกคนควรพิสูจน์ตนเองด้วยกาลเวลา

    อ้อ นึกขึ้นมาได้อีกอย่างว่า เขียนว่า

    ดิฉันศรัทธาคนที่ตั้งใจดี มีคุณธรรม และเคารพผู้อื่น น่าเสียดายที่ดร.แสวงมีทั้ง 2 ข้อแรกอย่างเต็มเปี่ยม แต่ขาดข้อ 3 เป็นอย่างมาก

    (ประมาณนี้แหละค่ะ เสียดายความเห็นนั้นมากๆ ที่โดนลบ เพราะคิดแล้วเขียนทันที)

    ขอความกรุณาดร.แสวงว่า โปรดเก็บความเห็นนี้ไว้ ให้ชาวบล็อกเกอร์ท่านอื่นได้แลกเปลี่ยนความคิดกันนะคะ เพราะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการวิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมา

        ดีครับดี  พูดให้หมดจด ไม่ต้องคาใจ  มีเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องช่วยกันทำเพื่อบ้านเมืองอีกมาก 
        ผมเห็นพลังอันยิ่งใหญ่นั้นชัดมากขึ้นก็ผ่านชุมชน GotoKnow นี่แหละครับ  ผมภูมิใจ  อิ่มใจ ที่ได้ร่วมเป็นเครือข่ายกับคนที่ผมมั่นใจแล้วว่าล้วน คิดดี ทำดี และ เห็นแก่ตัวน้อย  ไม่รู้สึกเงียบเหงาวังเวงอย่างที่เคยเป็นมา 
        ผมจะอยู่ที่นี่และขอมีส่วนร่วมทำบ้านนี้ให้น่าอยู่ต่อไป  และมั่นใจว่า จะไม่มีญาติคนไหนทำให้ผมผิดหวังครับ  ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ 
        

    ขอบคุณ คุณ Handy ค่ะ เห็นว่าการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ ไม่ใช่การทะเลาะกันโดยไม่มีเหตุผล เราทุกคนควรมีโอกาสอธิบายว่าตนเองคิดอย่างไร แล้วก็ต้องรับฟังว่าคนอื่นคิดอย่างไรเช่นกันค่ะ เรายอมรับกันได้ และเราต่างมีบทบาทของตนเอง ที่สามารถทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองของเราได้ค่ะ เราส่งเสริมคนทำดีให้กำลังใจคนทำดีคิดดี แต่ก็ยังคงยืนยันว่าเราไม่มีสิทธิไปตัดสินใครว่าเขาคิดไม่ดี ทำไม่ดี ไร้สาระ หากอยากจะตัดสินก็ควรบอกเจ้าตัวเขาโดยตรง แล้วรับฟังความเห็นจากเขาว่า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น ไม่ไปกะเกณฑ์เปรียบเทียบเปรียบเปรยกระทบไปมา (แต่นี่ก็คือความเห็นของตัวเอง ที่ไม่ได้อยากจะบังคับให้ท่านเปลี่ยนตัวเอง เพียงแต่ระวังมากขึ้นเท่านั้นค่ะ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้มากระทบตนเองโดยตรงหรอกใช่ไหมคะ เป็นความเห็นเพื่อส่วนรวมเท่านั้นเอง) 

    นั่นคือสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารกับดร.แสวงด้วยความเคารพในตัวตนของท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ

    Soil22 CMU เมื่อ ศ. 23 ก.พ. 2550 @ 00:28 จาก 203.146.63.182 ลบ

    ต้องขอกราบอภัย อ.ดร.แสวง เป็นอย่างสูง เกิดการเข้าใจผิด ผมเข้าใจว่าอาจารย์เข้ามา แวะทักทายผม และฝากข้อความไว้ ดังข้อความด้านล่าง 

    ศิษย์ อ มัตติการุ่นปู่ แวะมาทักทาย

    ดีใจที่มีคนในแวดวงดินมาเจอกันในนี้นอกจากท่านดร.แหวง แห่งขอนแก่น ไว้มีโอกาสจะแลกเปลี่ยนสาระKMกันครับ

    ซึ่งผมเข้าใจว่า อาจารย์เป็นศิษย์เก่ารุ่นพี่ ที่ ม.เชียงใหม่ จึงได้ใช่ข้อความที่ไม่สุภาพดังกล่าว จึงขอกราบขอโทษ อาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

    เรียนอ.แสวง

        แต่ละคนก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน ยังจำที่ราณีเข้าไปแสดงความคิดเห็น  เรื่องนักวิชาการจะสู้วิชาเกินได้อย่างไร  อาจารย์ดูพร้อมกันกับหลายคน แต่อาจารย์บอกว่าแต่ละคนก็มีมุมมองไม่เหมือนกันอาจารย์ยังแนะให้ราณีลองเขียนดูเลยค่ะ   

    ลองเข้าไปดูที่ ต่างมุม ต่างมอง(ตามไปดู)ตอนที่ 1

    http://gotoknow.org/blog/Ranee/80092

    และ ต่างมุม ต่างมอง(ตามไปดู)ตอนที่ 2

    http://gotoknow.org/blog/Ranee/80094

     

    วันนี้ผมติดประชุมไม่มีเวลามากนักขอตอบรวมๆนะครับ

    • ผมคิดว่า (ก็คงต้องตามความคิดของผม) ทุกคนมีวิจารณญาณ และทุกคนก็มีเหตุผลในการทำและแสดงสิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุด (Abstract สุดๆ)
    • แต่ทำไมเราจึงคิดต่างกัน และทำต่างกัน ทั้งที่เราอยากเป็นคนดีเหมือนกัน (ผมกล้าพูดแบบฟันธงว่า ไม่มีใครต้องการเป็นคนไม่ดี)
    • ถ้าประเด็นที่ ๒ เป็นจริงทำไมจึงมีคนที่ทำตัวไม่เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นอยู่พอสมควรทีเดียว
    • ทีนี้ทำไมเราจึงยกย่องคนบางคนเท่านั้น มีเกณฑ์อะไร หรือใช้ ความรู้สึกเฉยๆ ที่ไม่น่าจะใช่
    • เกณฑ์ทุกอย่างมีที่มา และมักมาจากเป้าหมายของงานที่ผู้นั้นรับผิดชอบ และค่านิยมทางสังคม
    • หรือที่นิยมว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
    • แล้วทุกคนทำงานได้ดีทุกอย่างที่รับผิดชอบหรือไม่ ส่วนใหญ่ก็ไม่ แต่อาจทำดีในบางเรื่อง บางเรื่องก็พลาด ตามหลักการของ Pareto ที่ผมเคยเขียนไว้แล้ว
    • เราจึงนำหลักนี้มาพิจารณาว่าใครควรจะทำงานอะไร ตามความถนัด
    • แม้งานที่ตัวเองถนัดที่สุดแล้วก็อาจพลาด(บ้าง) เมื่อทำงานจริงๆ
    • คนที่พลาดก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ตั้งใจทำงาน แต่บางทีก็โดยบังเอิญ บางทีก็ความรู้ไม่พอ
    • ตรงนี้ถ้าเราไม่สะกิดช่วยกันปล่อยให้พลาดไป ใครเสียหาย
    • คนที่ทำงานพลาดเสียหายคนเดียวใช่ไหม ก็ไม่ใช่ เหมือนนักฟุ๖บอลที่พลาด อาจทำให้ทีมทั้งทีมแพ้ได้
    • พลาดไม่พลาดต้องดูที่เป้าหมาย
    • และคนที่ทำได้สอดคล้องกับเป้าหมายก็น่าจะได้รับการยกย่อง
    • ใครที่ดูเหมือนจะทำเบนออกจากเป้าหมายน่าจะได้รับการสะกิดเตือน ใช่ไหมครับ
    • นี่คือระบบสังคมที่ดีที่ผมรู้จัก
    • และ ถ้าใครเห็นว่าที่ตนทำให้คนอื่นมองว่าผิดพลาดนั้น ตนทำถูกแล้วก็อธิบายได้ ด้วยเหตุด้วยผล
    • ผมเคารพคนที่ความมีเหตุผล และมีผลงานที่เป็นจริง ไม่ใช่แค่นั่งทำงานหนักๆ จริง แต่ไม่เกิดผลลัพธ์อะไรให้กับสังคมครับ
    • แต่ผมจะไม่เคารพคนที่ไม่มีเหตุผล (แม้กับตัวเอง บางทีก็ยังอธิบายไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการอธิบายให้คนอื่นฟัง) และ/หรือไม่มีผลงานที่เป็นจริง ที่ (น่าจะ) สร้างสรรค์ได้อย่างแท้จริง
    • มือใหม่ที่ไม่มีผลงานก็ต้องมีทิศทางและเหตุผลชัดเจน
    • นี่คือสังคมที่ดีในความรู้สึกนึกคิดของผมครับ
    • คนที่ทำผิด พลาด และยอมรับผิด สมควรแก่การให้อภัย การให้อภัยต้องมีเงื่อนไขว่าต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
    • ถ้าไม่ปรับปรุงก็ไม่ควรให้อภัย แต่ควรได้รับการลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี
    • ผมจึงเลือเคารพคนที่มีเหตผล อธิบายให้ตนเองและผู้อื่นฟังได้ เป็นไปตามเป้าหมาย และพร้อมที่พัฒนาแก้ไขในสิ่งที่ตนเองทำไม่ถูกต้อง
    • ผมมีปณิธานตามเพลงความฝันอันสูงสุดว่า จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
    • สมัยก่อนผมแรงกว่านี้ด้วยความด้อยประสบการณ์ ใคร "ผิด" ฟันทันที
    • แต่ตอนนี้ผมปรับมาฟังเหตุผล ก่อนสะกิด
    • ถ้าไร้เหตุผล ผมไม่เคารพ และไม่นับถือครับ
    • ผมจึงยอมรับว่าผมเลือกนับถือคนบางคน ตามเหตุผลข้างต้น และไม่นับถือคนที่มีลักษณะตรงกันข้ามครับ
    • นี่คือ "ปรัชญาส่วนตัวที่ฝังลึก และเปลี่ยนยาก" ครับ
    • ผมจึงมีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อจริงๆ
    • และผมจะสนุกสนานกับการถกในประเด็นที่มีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ และมีเหตุผล แต่จะไม่สนุกกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับใครมากนัก ที่ผมจำแนกว่า "ไร้สาระ"ครับ
    • การเขียนครั้งนี้ก็เกืออบจะไร้สาระ แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องอธิบายว่า ผมเคารพคนบางคนเท่านั้นจริงๆ (บางคนผมไม่เคารพครับ)
    • แต่ผมยังเคารพ "ความเป็นคน" ของทุกๆคนนะครับ ไม่งั้นผมไม่มาทุ่มเททำงานกับคนตกทุกข์ได้ยากหรอกครับ
    • ผมกล้าพูดเลยว่า คนที่ทำงานกับคนระดับล่างของสังคมแบบที่ผมทำมีไม่เกิน ๕%
    • นักวิชาการจำนวนมาจะกร่าง และถือตัว รังเกียจชาวบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะทานน้ำและอาหารที่ชาวบ้านนำมาต้อนรับแบบตามมีตามเกิด หรือบางทีก็มองชาวบ้านเป็นตัวตลก
    • หรือมองชาวบ้านเป็นคนชั้นต่ำคบหาไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอาจารย์ หรือข้าราชการ ผมถือว่านั่นคือคนที่ไม่เคารพ "ความเป็นคน" ของคน ที่ไม่มีในตัวผมอย่างแน่นอน
    • ระบบการทำงานเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมแทบไม่ได้พักโรงแรมในการทำงาน ส่วนใหญ่จะกิน และนอนในบ้านชาวบ้านครับ
    • นี่คือความเป็นผมครับ
    • ใครไม่เข้าใจ คิดใหม่ ถามใหม่ได้ครับ
    • ขอบคุณครับ

     

     

    สวัสดีค่ะ ดร. แสวง รวยสูงเนิน

    อ่านบันทึกของท่านครั้งนี้ได้ข้อคิดอีกข้อนึงเลยค่ะว่า ในการเขียนบันทึกสิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างนึง ก็คือ การกล่าวพลาดพิงถึงบุคคลที่สามค่ะ ผู้อ่านอาจจะตีความผิด ไม่ตรงกับเจตนาของเรา อย่างที่ท่านกล่าวไว้บันทึกนี้ค่ะ

    ขอบคุณที่ท่าน ออกมาแสดงเจตนาที่แท้จริงนะคะ

    ขอบคุณค่ะ

    ขอบคุณครับ

    นี่ก็เป็นเสี้ยนตำนิ้วมือที่ทำให้เราทำงานอื่นๆไม่สะดวกครับ

    เราจำเป็นต้องมาเคลียร์ ทั้งๆที่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยๆ แบบเสี้ยนตำนิ้วนั่นแหละครับ

    บ่งออกแล่วแม้ไม่ใส่ยา หรือกินยาแก้อักเสบ ก็ถือว่าหมดเรื่อง หมดปํญหา เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆจริงครับ

    แต่ด้วยความนิ่ง มั่นคง และจริงใจ ทุกคนก็เข้าใจซึ่งกันและกัน และทำงานร่วมกันได้ดังเดิม

    ผมคิดว่าคงจะไม่มีอีกแล้วครับ

    ประเทศชาติกำลังรอเราอยู่ครับ

    ผมไม่อยากเสียเวลากับเรื่องแบบนี้อีกเลยครับ

    ขอขอบคุณทุกๆท่านค่ะ

    อาจารย์...เยี่ยมมากครับ แล้วจะเข้ามาบ่อยๆ

                               ณฐิโลเก

    • ดีใจที่ทุกท่านเข้าใจกันได้
    • นี่คือ gotoknow ของทุกๆท่าน
    • ในขณะที่อื่นๆ ไม่มีบรรยากาศแบบนี้ครับ
    • ขอบคุณทุกท่านมากครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ที่นี่มีกัลยาณมิตรมากๆๆ
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท