"จิตใจที่ท้อแท้..มีทางใดช่วยฟื้นฟู"


 

 

....ท่ามกลางสับสนของชีวิตในโลกทุกวันนี้ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง สำหรับบางคนก็ยังมีปัญหาส่วนตัวอีก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ความรู้สึกเหล่านั้น จะโยงไปมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของใครต่อใครในที่ทำงานด้วย...

 

แล้วยิ่งการทำงานในปัจจุบัน ไม่สามารถทำแบบเช้าชามเย็นชามดั่งเช่นแต่ก่อน  ทุกหน่วยงานและตัวคน ต้องมีการพัฒนาไปสู่คุณภาพ ต้องถีบตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย   ให้บรรลุตามเกณฑ์   กระนั้น.การทำอะไรให้บรรลุตามเกณฑ์ ก็เป็นเพียงแค่บอกว่าคุณผ่านไม่ผ่าน ถ้าหากจะให้ดีกว่านั้น จะต้องไปเทียบเคียงกับคนอื่น นั่นคือ ต้องได้คะแนนที่สูงกว่าคนอื่น  หรืออย่างน้อย..ก็ไม่ใช่ต่ำเป็นที่โหล่

กระบวนการเหล่านี้ จึงหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้น  ต่อให้ไม่ได้แข่งเพื่อเป็นที่หนึ่ง แต่แข่งเพื่อไม่ให้เป็นที่สุดท้าย.. มันก็ต้องถีบตัวเอง เพื่อให้ชนะอยู่ดี

การทำงาน..ด้วยความสุข ด้วยความรัก ที่มาจากหัวใจ มักจะทำให้เราทำสิ่งๆนั้นออกมาได้ดี แต่ในปัจจุบันนี้ แค่นั้นบางครั้งก็ไม่เพียงพอแล้ว เพราะต้องเหลียวมองคนรอบข้าง หรือหน่วยงานรอบข้าง ที่เขามีผลงานออกมามากกว่า มีคะแนนประเมินออกมาเยอะกว่า ..หรือไม่ก็.. การแข่งขันกับตัวเอง กับเป้าที่ต้องตั้งให้สูงขึ้นกว่าเดิม

 

 

 

บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า

 " จะว่าไปพวกเราก็เหมือนม้าแข่งนะ   ตอนแรกเราซ้อมเราวิ่ง เราย่อมสามารถเพิ่มความเร็วในได้ช่วงแรก ช่วงที่ทำความเร็วเพิ่มขึ้นได้ เรามีกำลังใจ รู้สึกฮึดสู้ แต่ฝีเท้าม้าแต่ละตัวมันก็ย่อมมีจำกัด อย่างว่าแต่ม้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อ  หากมีแต่ให้เร่งฝีเท้า โดยไม่ยอมให้ชะลอความเร็วลงพัก  สักวันก็คงกระอักเลือดหมดแรงตายอยู่กลางสนาม..

การทำงานที่พยายามให้ถึงเป้านั้น ย่อมเป็นเรื่องสมควร แต่ก็ต้องยอมรับบ้างว่า เพราะคนทำนั้นก็มีชีวิตและเลือดเนื้อ ไม่ใช่เครื่องจักร  มันจึงอาจจะมีบางช่วงที่เกิดการชะลอ หรือถอยหลัง เพื่อตั้งหลักแล้วค่อยพุ่งไปข้างหน้าใหม่  เพียงแต่หลายครั้งที่พอเกิดการชะลอ คนควบม้าก็ยิ่งหวดแส้แรงเพื่อเร่งม้า  ถ้าม้าบางตัวพอมีแรงก็จะถีบตัววิ่งต่อ แต่สำหรับม้าที่มันล้าสุดๆ และมีฝีเท้าจำกัดล่ะ.. มิล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นหรือ ? "

 

จึงมีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกเหมือนม้าที่กำลังจะขาดใจ  มิใช่เราไม่พยายามจะทำงานให้ออกมาดีๆ เพียงแต่หลายต่อหลายครั้ง ที่เรารู้สึกว่าเราวิ่งไม่ทันแล้ว เราเหนื่อยมากๆ ขอหยุดพักแล้วค่อยวิ่งใหม่ได้ไหม

คำว่าหยุดพัก  ไม่ใช่การพักร้อน  หรือหยุดพักผ่อน 

เพราะการพัฒนาคุณภาพ ไม่มีคำว่าการหยุด หรือชะลอ  เพราะเพียงแค่การไม่เดินหน้า มันคือการอยู่กับที่  ไม่ใช่ความหมายของคำว่า "พัฒนา" ที่หมายถึงการทำให้ไปข้างหน้า

 

 

และเพราะสาเหตุหลายอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเอง  .. จึงนำมาซึ่งความรู้สึกเหนื่อยหน่าย อ่อนล้า  ท้อแท้  ทำให้ในหน่วยงานจึงเกิดคนทำงานที่ยังฮึดวิ่งไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีคนที่เหนื่อยและขอชะลอ  กับคนที่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขอนอนแล้ว และเมื่อทีมไม่ไปด้วยกัน สิ่งที่เกิดตามมา คือความไม่ร่วมมือร่วมใจ

แล้วเมื่อขาดความร่วมมือร่วมใจ  งานที่ต้องทำด้วย team work จึงมีเพียงแต่คนกลุ่มเล็กๆที่ยังมีแรงฮึด ฉุดไปเพียงลำพัง

แต่แรงฮึดของคน.. จะมีได้นานสักแค่ไหน สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ต้องหมดแรง แล้วพังพาบไปเหมือนคนอื่นๆเช่นกัน

 เมื่อเหนื่อย เมื่อล้า เมื่อท้อแท้ เมื่อไม่มีคนลุกขึ้นสู้  .. เมื่อกำลังกายเหือดแห้ง กำลังใจก็พลอยแห้งขอดตาม

วิกฤติจึงปรากฏให้เห็นลางๆ... แล้วจะมีทางใดเล่า ? ที่จะมาแก้ไขเหตุการณ์เหล่านี้ได้ 

 

 

 

มีหลายครั้งที่เห็นว่า ..ผู้บริหารใช้วิธีการเพิ่มรางวัล  อาจจะเป็นการเพิ่มเงินค่าตอบแทน  มีการตั้งรางวัลเพื่อกระตุ้นแรงใจ

แต่สิ่งที่ฉันพบ..และฉันเห็นจากคนที่ทำงานอยู่รอบข้าง (บางครั้งก็อาจจะมีฉันเองที่พ่วงติดไปด้วย)  ถ้าเมื่อใดที่จิตใจอ่อนล้าและท้อแท้แล้ว   รางวัลล่อใจก็ไร้ความหมาย  ส่วนการลงโทษก็เหมือนแส้ที่ลงหวดให้ม้าวิ่ง  หากม้าตัวนั้นมันเหนื่อยล้าจริงๆ ยิ่งหวดแส้ก็เหมือนยิ่งเร่งความตายให้มัน

สำหรับเงินค่าตอบแทน ที่ระดมให้เพื่อเป็นกำลังใจ  จริงอยู่ที่หลายคนชอบ แต่ว่ามันเหมือนยาที่ให้ไม่ถูกโรค รักษาไม่ตรงอาการ  เหมือนกับคนป่วยที่ปวดท้อง จากมีก้อนหรือมีการอักเสบในช่องท้อง  การให้ยาแก้ปวดมอร์ฟีน แค่ช่วยระงับปวด บรรเทาที่ปลายเหตุเท่านั้น  ตราบใดที่สาเหตุของโรคไม่ได้รับการแก้ไข  คนป่วยก็จะปวดอยู่อย่างนั้น แล้วอาจจะปวดขึ้นเรื่อยๆ  ต้องการมอร์ฟีนฉีดถี่ขึ้นจนรู้สึกไม่พอ สุดท้ายก็ติดมอร์ฟีนไปในที่สุด

 

 

ฉันคงไม่สามารถไปวินิจฉัยคนอื่น และรักษาคนอื่นได้  แต่ตอนนี้ฉันกำลังวินิจฉัยตัวเอง และอยากจะรักษาตัวเอง  ว่าที่แท้อาการปวดของฉันในเวลานี้ มันมีสาเหตุจากอะไรกันแน่  ฉันไม่ต้องการมอร์ฟีนอีกแล้ว เพราะฉันรู้ว่าหมอคงมีลิมิตในการให้ หากเมื่อใดที่ฉันเกิดอยากได้ยามากกว่าลิมิตที่หมอกำหนดไว้  ฉันคงต้องทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน

 

 "จิตใจที่ท้อแท้..มีทางใดช่วยฟื้นฟู"

คนที่ไม่เคยท้อแท้ ย่อมไม่เข้าใจว่าอะไรคือความท้อแท้  เปรียบเหมือนกับคนที่ไม่เคยปวด ย่อมไม่เข้าใจว่า ความปวดเป็นอย่างไร    ..การนำเอาสิ่งที่เคยอ่าน นำเอาทฤษฎีหรือหลักธรรมะ มาตอบ อาจสามารถช่วยชี้ทางแก้ไขได้  แต่ย่อมไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่มาจากประสบการณ์จริง ที่จะชวนให้ยิ่งน่าเชื่อถือมากกว่า

เหมือนกับการที่คนป่วยซึ่งเคยป่วยจริงๆแล้วได้รับการรักษาหายแล้ว มาคุยเล่าการปฏิบัติตัวของตนเองว่าหายจากโรคนั้นได้อย่างไร นั่นจะทำให้คนที่กำลังป่วยด้วยโรคนั้น รู้สึกเชื่อถือและอยากปฏิบัติตามมากกว่า 

จึงอยากขอเชิญร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ที่เคยมีประสบการณ์จริงๆมาก่อน ว่าท่านทำอย่างไรกันบ้างหนอ ?

 

ขอบคุณค่ะ..

^___^

 

 

หมายเลขบันทึก: 79651เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2007 13:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)
  • สวัสดีค่ะ
  • เล่าอีกครั้งนะคะ เมื่อดิฉันทำงานที่ coca-cola กว่า 10 ปีนั้น เริ่มจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์ ตำแหน่งธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่งานที่ดิฉันค่อยๆ ได้รับจากหัวหน้างาน มันมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบแบกไม่ไหว (ความรู้สึกในขณะนั้น)  และคิดมากว่า ทำไมเค้าให้แต่เรานะ งานที่มันยากๆ หินๆ น่ะ  เค้าไม่ยุติธรรมเลยนะ เอหรือเค้าแกล้งเรา (คิดแบบเด็กๆ )  แต่จริงๆ แล้วเค้ามองเห็นศักยภาพของเรา จึงให้หัดแบกของหนัก เค้าหวังดีค่ะ
  • เงินเดือนก้อไม่มาก แต่ภาระที่แบก งานแข่งกับเวลา ต้องสปีดเร็วกว่านรกทุกวัน จน.... ดิฉันทำงานได้ดี ได้เร็วขึ้น ผิดพลาดน้อยลง ดิฉันมีหน้าที่พิเศษมากมาย เช่น จดบันทึกการประชุมของฝ่ายขายและการตลาด ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจ และรู้เท่าทันที่ทุกคนพูด จึงสรุปบันทึกออกมาได้คมชัดลึก และเป็นกลางที่สุด กับบริษัทฯ ที่ใหญ่ขนาดนั้น ดิฉันได้ฝึกเขี้ยวเล็บทุกวัน จากประสบการณ์ตรง ..... ทำให้ดิฉันก้าวกระโดดออกมาบริหารแบรนด์สินค้าอื่นๆ ได้ ในตำแหน่ง Sales & Marketing Manager /// โก่งค่าตัวได้อีกต่างหากค่ะ
  • ดิฉันมองว่าบางครั้งมันเหมือนวิกฤตนะ ที่ต้องเหนือยเหลือเกิน แต่มันเป็นโอกาสที่เราเก็บเกี่ยวได้ด้วยตัวเอง ใครมายัดเยียดให้แต่ถ้าเราไม่รับ เราก็ไม่ได้ค่ะ
  • งานสร้างคุณค่าให้กับตัวเราค่ะ เราต้องให้กำลังใจตัวเองค่ะ ในขณะเดียวกันก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ให้ชัดเจนด้วยค่ะ
  • ดิฉันพูดในประสบการณ์ที่เป็นงานเอกชนนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ

 

การที่บอกว่าตนเอง  เหนื่อย   มันจะยิ่งทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น...

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเหนื่อยได้ทั้งนั้นคะ...แต่เราจะกลับมาลุกขึ้นมาและบอกว่า  หายเหนื่อย   ได้เมื่อไหร่  น่าจะมีความสุขกับเส้นทางนี้คะ

เป็นกำลังใจให้ทุก  ๆคนนะคะ...สำหรับนิวเอง  ยอมรับว่าเหนื่อยเหมือนกัน  และรู้สึกเช่นเดียวกับบันทึกนี้  และอยากได้คำตอบเหมือนกันคะ..ว่าทำอย่างไรดี  ถึงจะหายเหนื่อยให้เร็วที่สุด ...

"กำลังใจ  "  เป็นสิ่งที่นิวคิดได้สำหรับตอนนี้   เพราะกำลังใจ  ทำให้เรารู้สึกว่า  เราทำได้  เราต้องทำได้

กำลังใจอาจได้มาจากคนที่เรารู้สึกดี ๆ ด้วย  รู้สึกไว้วางใจ  และรุ้สึกหวังดีกับเราจริง ๆ

นิวขอเป็นกำลังใจให้ทุก  ๆคนที่ท้อกับการเหนื่อยล้ากับการทำงานหรือเรื่องอื่นๆ  นะคะ

ขอบคุณบันทึกดี ๆ นี้คะ

อ่านบันทึกนี้ของพี่จูนแล้ว สะกิดใจตัวเองจังเลยค่ะ

หนูตั้งหน้าตั้งตาอยากจะพัฒนางานของตัวเองให้ดีขึ้น แต่บางทีปัจจัยแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยในการปรับเปลี่ยนอย่างใจเราคิด  บางครั้งก็คิดว่าท้อใจเหมือนกัน 

หนูเพิ่งจบมา ได้ 2 ปี การเรียนกับการทำงานนั้นต่างกันมาก ตอนเรียนต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ มันมีอิสระในการคิดและการลงมือทำเยอะมาก แต่เมื่อมาทำงานจริง ๆ มันคนละสภาพแวดล้อมกันค่ะ ขอบอกว่ามีอิสระในการคิด แต่การลงมือทำบางมันก็ติดปัญหา  ก็ต้องทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยน พร้อมกันยอมรับมัน

แต่ชีวิตการทำงานก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปค่ะ

 

สวัสดีค่ะคุณ Som_O WAY

  • ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายค่ะ
  • ภาพ bg เหล่านี้ เป็นภาพที่เอามาใช้ photoshop ดัดแปลงเอาอีกทีค่ะ เลยออกมาเป็นวอลเปเปอร์หวานขนาดนี้ ^__^
ความรัก  ชัยชนะ และความสำเร็จที่ผ่านมา  จะเป็นแรงผลักดันจิตใจที่ท้อแท้ให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

 

สวัสดีค่ะ คุณ Bright Lily

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ที่นำมา ลปรร ค่ะ

ความรู้สึกที่ดีๆ จะนำมาซึ่งกำลังใจแก่คนที่กำลังอ่อนล้ามากเลยค่ะ

แต่ว่าไปแล้ว ความเหนื่อย โดยที่เต็มใจและยังสนุกอยู่กับงานนั้น (แม้จะมีความคลางแคลงนิดๆอยู่บ้างก็ตาม) มันก็คล้ายกับม้าที่กำลังวิ่งไปข้างหน้า โดยยังสามารถเร่งความเร็วได้ มันยังคึกและยังไม่หมดแรง ดังนั้นจึงเข้าสู่เส้นชัยอย่างปลาบปลื้มยินดี

k-jira เคยได้รับมอบหมายงานชิ้นหนึ่งมาทำค่ะ ทำโดยใช้วันหยุดของตัวเองทำ (หมายถึงอยู่ในช่วงลาพักร้อน ที่สมควรจะได้กลับบ้านไปเที่ยว ไปพักผ่อน เพราะขอลา vacation ไว้ แต่เมื่อมีงาน เลยบอกที่บ้านว่ากลับไม่ได้)  งานนี้จะว่าไป ก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของ k-jira เลย ปกติจะจ้างให้คนอื่นไปทำได้ค่ะ แต่เขาให้ k-jira ทำเพราะเห็นว่าพอมีความรู้ที่จะทำได้ และนอกจากประหยัดแล้วยังสะดวกกว่าจ้างคนอื่นทำ ซึ่งเขาเป็นคนนอกอาจจะไม่ค่อยเข้าใจในส่วนของ content อาจจะทำให้เสียเวลาในการต้องจัดหาเนื้อหาให้เขา แล้วเอาไปแก้ไขไปมาหลายรอบ

จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนทำฟรีนะคะ เวลาก็เป็นเวลาส่วนตัว ค่าใช้จ่าบค่าไฟฟ้า ค่าเวลาอินเตอร์เนตอะไรต่างๆก็ต้องจ่ายเอง และเพราะเป็นงานพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในเนื้องานของวอร์ด ก็เลยไม่มีผลต่อความดีความชอบอะไร

แต่เพราะเป็นงานที่เรากำลังชอบ และยังรู้สึกสนุกที่จะทำ (ในตอนนั้น) เพราะยิ่งทำ ก็ยิ่งเกิดประสบการณ์ ได้เรียนรู้มากขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเสียต้นทุนหลายอย่าง ( เวลาส่วนตัว ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ) แต่เพื่อแลกกับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ก็รู้สึกว่ามันคุ้ม เวลาทำก็ไม่รู้สึกเหนื่อยนะคะ   งานนี้ต้องทำติดต่อ ลุกไปไหนไม่ได้ เพราะสมาธิและอารมณ์อาจจะขาดตอน บางวันนั่งทำหน้าคอมตั้งแต่เช้า ลุกแค่ไปหยิบของกินในตู้เย็นกับเข้าห้องน้ำ  จากฟ้าสว่างจนฟ้ามืด  จนกระทั่งรู้สึกเพลีย และเหมือนกับจะง่วง แต่ใจก็บอกว่า เดี๋ยวน่า จะเสร็จแล้วน่า

แปลกนะคะ ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยเลย  ทั้งๆที่รู้ว่าร่างกายมันล้ามากๆ

จากประสบการณ์นี้จึงพบว่า งานนั้น..ถ้าใจเรารัก และเราชอบที่จะทำมัน มีความสนุกที่จะทำมัน แม้ว่าร่างกายเราจะล้าแค่ไหนก็ตาม แต่เราก็ยังรู้สึกฮึดสู้ ไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อยล้าเลยค่ะ

แต่เมื่อใดที่ตาม ที่ใจเราอ่อนล้า .. ต่อให้เรายังทำมันไปเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เหนื่อยแรงอะไร แต่ร่างกายก็จะอ่อนล้าตามอย่างรวดเร็วมากจริงๆ

ขอบคุณค่ะ ^____^

 

สวัสดีค่ะ คุณ Nongnew

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ^__^

จะว่าไปแล้ว ปัญหาต่างๆที่มาจากตัวเราเองนั้น มันแก้ไขได้ไม่ค่อยยากค่ะ  แต่ปัญหาที่มันเป็นปัญหานั้น ส่วนมากจะพบว่า มันเป็นผลกระทบมาจากคนอื่น ซึ่งเราไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร

สิ่งที่ทำได้คือการทำใจ

เพียงแต่ การที่ต้องทำใจ ก้มหน้าทำต่อไป หากำลังใจใส่ตัว ฮึดสู้มองโลกอย่างยิ้มแย้มหรือ ?  ในบางครั้ง การทำแบบนั้นก็เหมือนกับเรากำลังฝังปัญหาเข้าไปข้างในอก เหมือนกับการรับยาประทังอาการ แต่ไม่แก้ไขสาเหตุของโรค

มีคำกล่าวว่า คนมักทำตามคนส่วนใหญ่  เหมือนอย่างเช่นถ้ามีคนนั่งอยู่ในห้องประชุม หากมีคนแถวหน้าลุกขึ้นยืน คนข้างหลังก็จะทะยอยกันลุกขึ้นยืนตาม

วิทยากรมักยกปรากฏการนี้มาพูด เพื่อเปรียบเทียบการชักชวนคนในกลุ่มให้ทำงานพัฒนา เพราะหากคนในหน่วยงานมีสักกลุ่มที่ กระตือรือร้น คนอื่นๆก็มักจะเฉยอยู่กันไม่ได้ สักพักก็ต้องทำตามด้วย

แต่ในทางย้อนกลับ หากคนหลายคนที่กำลังยืนอยู่ แต่ละคนล้วนเหนื่อยล้ากัน ถ้าหากอยู่ๆมีคนสักส่วนหนึ่งนั่งลง แล้วเห็นมีคนนั่งตาม เชื่อเถอะว่า สักพักคนอื่นๆก็จะพากันนั่งตามด้วย แล้วตัวเราเองล่ะ.. ต่อให้รู้ว่านั่งไม่ได้ แต่เรายังจะยืนโด่อยู่คนเดียวต่อไปอย่างนั้นหรือ

บางท่านอาจจะแย้งว่า ..ก็ยืนต่อไปสิ ด้วยปณิธานอันเด็ดเดี่ยว ทำไมต้องตามเพื่อนด้วย

แต่นั่นคงเป็นแค่การคิดการพูด.. เชื่อเถอะว่าในทางปฏิบัติแล้ว จะมีสักกี่คนที่ทำ

บางที k-jira ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นตัว k-jira เองล่ะ ..อืม... ก็สารภาพอย่างตรงไปตรงมาไม่อายเลยล่ะค่ะว่า.. คงขอนั่งตามคนอื่นด้วยเหมือนกัน  แหะๆ

 

น้อง มะปรางเปรี้ยว 

ใช่แล้วจ้า ชีวิตยังมีอีกยาวไกล  ยังต้องเรียนรู้กันอีกนาน

ชีวิตในมหา'ลัย สอนเราได้แค่ทฤษฏี โลกภายนอก มีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย

แล้วเราจะพบว่า ชีวิตสมัยเรียน ที่เราว่ามันช่างยากลำบากนั้น ว่าไปแล้ว มันขาวบริสุทธิ์และสุกใสแวววาวเหลือเกิน 

จนบางครั้งพี่เองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า การที่ชีวิตเราได้เจอแต่เรื่องดีๆ มาจากครอบครัวที่ทะนุถนอม กล่อมเกลาให้คิดและรู้จักแต่สิ่งดีๆ  บางทีก็เป็นผลเสียแก่เราเหมือนกัน  เพราะมันทำให้เราไร้เดียงสาเกินไป

พอมาเจอกับเรื่องบางอย่าง ความคิดบางอย่างของคนอื่น บางทีก็ทำให้เรานึกไม่ถึงว่าจะมีคนคิดแบบนั้น จะมีคนทำแบบนั้น ..แต่สุดท้าย ก็อาจกลายเป็นตัวเรานั่นแหล่ะที่ผิดปกติ คือมีความคิดไร้เดียงสา มองโลกในแง่ดีเกินไป จนผิดปกติในสายตาของคนอื่น

ดังนั้นการเรียนรู้ในโลกนี้ จึงไม่มีวันจบสิ้นค่ะ คนเราต้องทำดี ต้องปฏิบัติดี แต่ขณะเดียวกัน เราต้องรู้จักและรู้ทันสิ่งทีไม่ดีด้วย เพื่อที่เราจะสามารถหลบหลีกหนีจากมันได้ไงคะ

^___^

 

 

สวัสดีค่ะ คุณ ต้นกล้า จามจุรี

ขอบคุณสำหรับคำคมดีๆ ^__^

แล้วมีตัวอย่างประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาของคุณ ซึ่งช่วยพิสูจน์คำพูดเหล่านั้นบ้างไหมคะ

อยากฟัง (อ่าน) คุณเล่าให้หน่อยนะคะ

คิดว่าต้องเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจแน่เลย

ขอบคุณค่า

^_________^

  • ก๊อก ก๊อก
  • พี่กำลังดื่มน้ำใบเตย (ไม่ใส่น้ำตาล) ดื่มแล้วสดชื่น หอมชื่นใจ
  • เก็บความรู้สึกนี้ forward ไปให้คุณด้วยค่ะ ... คิดถึงนะคะ ขอให้มีพลัง .... cheers up ka

ความสำเร็จที่แท้จริงคือ..สถาบันครอบครัว..คือคนที่อยู่เบื้องหลังของเรา(ถ้าเหนื่อยหนัก  ก็พักเอาแรง..ลุกขึ้นสู้)

..ให้คิดทุกวินาที่..วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

การผ่อนคลาย

  • เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายให้เต็มที่
  • อาบน้ำอุ่น ๆ  -  ฟังเพลงที่เราชอบ
  • สวดมมต์ไหว้พระ - นั่งสมาธิ
  • นอนหงายใช้ผ้าอุ่น ๆ วางทับที่ดวงตา 

 

 

  • สวัสดีค่ะน้อง มะปรางเปรี้ยว
  • ไม่เจอแค่ 2 วัน รู้สึกเหมือนห่างหายไปเป็นปีเลย
  • ^____^
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท