ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนท์ เกตุทัต
เนื่องจากได้รับอนุญาตให้นำเรื่องราวของคนดี ...ผู้ที่มีคุณูปการแก่แผ่นดิน ที่ถึงแม้ท่านจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้วมาเล่าได้ จึงขอเล่าประสบการณ์ ที่มีโอกาสร่วมทำงานกับท่านอาจารย์ สิปปนท์ เกตุทัต และเล่าสิ่งที่ได้อ่านจากหนังสือ ท่านที่ได้เขียนในโอกาสที่ท่านอายุครบ 72 ปี “อนาคตเริ่มตั้งแต่วันวาน” ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้อย่างยิ่ง ดังที่ ดร.รุ่ง แก้วแดง กล่าวไว้ว่า การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกับได้ศึกษาจากตำราเป็นร้อยเล่ม
(ส่วนประวัติและผลงาน ของท่านสามารถอ่านได้ที่ http://th.wikipedia.org/สิปปนนท์_เกตุทัต และ http://gotoknow.org/blog/thaikm/47178)
“ไม่ว่าด้วยศาสตร์ใด และวิธีการใด
อนาคต...ไม่ใช่เพียงพรุ่งนี้หรือเรื่องข้างหน้าเท่านั้น
แต่....อนาคตเริ่มตั้งแต่วันวาน”
อาจารย์ท่านเล่าไว้ว่า “บทเรียนที่ได้รับตั้งแต่เด็กมาคือ จะต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง จะต้องเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ และจะต้องนำความรู้สู่การปฏิบัติ เพื่อแสวงหาคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต”
การเรียนรู้ของอาจารย์เริ่มจากครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ การถูกสอนให้โยงกันได้ระหว่างหนังสือกับของจริง เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยที่ไม่ต้องท่องจำใดๆ ทั้งสิ้น ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อการเรียนรู้ของอาจารย์แต่อย่างใด
ผู้คนจำนวนมากอยากรู้ว่า ทำไมอาจารย์ศึกษามาทางฟิสิกส์จนจบ Ph.D. จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้วมาทำงานด้านการศึกษา
ท่านตอบสรุปได้สั้นๆ 2 ประการคือ
“ผมเรียนรู้การศึกษาด้วยการปฏิบัติ มีนักการศึกษาหลายคนว่าผมเป็นข้าวนอกนา ไม่รู้เรื่องการศึกษา ไม่เคยเรียนเรื่องการศึกษาสักเรื่อง ซึ่งก็จริง..ผมเรียนรู้จากการปฏิบัติ
และอีกประการคือ เพราะผมได้เจอผู้ใหญ่ในวงการให้โอกาสเราทำงาน ถ้าเผื่อโอกาสนั้นไม่เปิด เราคงทำอะไรไม่ได้มาก”
“เกือบทุกคนมีทางเลือกในการดำเนินวิถีชีวิต
ทุกครั้งที่มีโอกาสเราต้องเลือกเดินในทางเลือกที่ดี
เมื่อเลือกทางเลือกแล้วต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีทางเลือกด้วย
ทางเลือกที่ดีที่สุดก็การเรียนรู้
การเรียนรู้ตลอดชีวิต…”
ท่านย้ำเรื่องการเรียนรู้อีกครั้งว่า “ถ้าจะถามว่าการศึกษาคือการนำความรู้สู่การปฏิบัติ เรียนจากผู้มีประสบการณ์ เรียนจากการทำเอง พอเราไปอ่านหนังสือ Management เราร้องอ้อ ถ้าเราไปอ่านหนังสือพวกนี้ก่อนมีประสบการณ์ก็เป็นสูญ ไม่เข้าใจ ประสบการณ์เป็นหัวใจ ถ้าไม่มีประสบการณ์ไม่มีทาง ไม่มีประสบการณ์ เราไปสอนหนัง เราก็ยกตัวอย่างไม่ได้ ต้องเอาประสบการณ์ของเราเอง”
ท่านเชื่อว่าโลกในอนาคต เป็นโลกของความรู้และต้องเรียนรู้จากสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ ความจริง ความเป็นธรรม และความงาม อันเป็นฐานเสาเข็มของการเรียนรู้ตลอดชีวิต จากความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และจากความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เราจึงจะสร้างความรู้ ช่วยในการตัดสินใจ อันเป็นแนวทางสร้างเสริมสังคมที่มีสันติ คนที่มีสันติกับตนเอง กับชุมชน กับสังคม กับเพื่อนร่วมโลก กับธรรมชาติ
รู้สึกว่าจะเริ่มเป็น บันทึกที่ยาวแล้ว ไว้ต่อตอน2 นะคะ
แอนน์/สคส.
ไม่มีความเห็น