สถานการณ์ในภาคใต้ตอนนี้ไม่ต่างจากกองไฟที่กำลังใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีการสาดน้ำมันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงที่ฝ่ายรัฐได้ใช้ทั้งโดยเปิดเผยและปิดลับ โดยเฉพาะในกรณีกรือเซะ ตากใบ และการอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร ได้ทำให้สถานการณ์ในภาคใต้เลวร้ายลงเป็นลำดับ ผู้ไม่หวังดีเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงพยายามทุกอย่างเพื่อยั่วยุให้ เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรง เพราะจะยิ่งทำให้รัฐบาลมีศัตรูและถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ใช้ความรุนแรงอย่างแพร่หลาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ยิ่งจะได้รับเคราะห์ และถึงแม้จะกระทำถูกตัว แต่หากทำเกินเลยไป (ซึ่งมักเกิดขึ้นเสมอ) ก็ย่อมได้รับความโกรธแค้นชิงชังและถูกต่อต้านจากมหาชน ดังกรณีผู้ชุมนุมที่ตากใบซึ่งมีความผิดอย่างมากก็แค่ถูกจับกุม ไม่ถึงกับต้องตายอย่างน่าอเนจอนาถ
ความรุนแรงนั้นขจัดได้แค่ตัวบุคคล แต่ไม่สามารถขจัดรากเหง้าของปัญหาได้ แม้“ผู้ร้าย” จะตายไป แต่ถ้ารากเหง้าของปัญหายังคงอยู่ ก็จะมีผู้ร้ายอีกหลายคนเกิดขึ้นตามมา แต่ปัญหาหรือข้อจำกัดของวิธีรุนแรงมิใช่มีแค่นั้น ที่ร้ายกว่านั้นก็คือในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ยังไม่รู้ว่า ใครบ้างที่เป็นผู้ร้าย แม้แต่จะจำแนกว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเป็นฝีมือของผู้ต้องการแบ่งแยกดินแดน หรือผู้มีอิทธิพล หรือผู้ค้ายาเสพติด หรืออาชญากรธรรมดา (หรือคนในเครื่องแบบ) กันแน่ ก็ยังยากที่จะทำได้ รัฐบาลเองก็ยอมรับว่ากำลังสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็นตัว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จะใช้ความรุนแรงให้ได้ผลได้อย่างไร ยิ่งใช้ก็ยิ่งเกิดผลเสียสะท้อนกลับมา เพราะมีโอกาสที่จะพลาดมากกว่าทำถูก และเมื่อพลาดแล้วก็ไม่อาจแก้ไขได้เพราะชีวิตที่ตกล่วงไปแล้วย่อมไม่สามารถ เอากลับคืนมาได้
เมื่อปีที่แล้วได้เกิดเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดกลางเมืองยะลา ปรากฏว่ามีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ คาดว่าโจรใต้เป็นผู้ก่อเหตุ ทหารพรานพร้อมอาวุธครบมือซึ่งลาดตระเวนอยู่ใกล้ ๆ ได้รุดไปยังที่เกิดเหตุทันที และพบชายสองคนวิ่งผ่านมาโดยคนหนึ่งถือปืน ทหารพรานได้ยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัดพร้อมกับสั่งให้หยุดวิ่ง ทั้งสองคนจึงหยุดวิ่งและนั่งลงกับพื้น เมื่อทหารพรานมาถึงได้สั่งให้ทั้งสองหมอบลงพื้น พร้อมกับยิงหนึ่งในสองคนนั้นตายคาที่ แต่ไม่นานความจริงก็ได้เปิดเผยว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุร้ายแต่ อย่างใด แต่ที่วิ่งผ่านมาก็เนื่องจากได้ทะเลาะกับชายคนหนึ่งและถูกชายคนนั้นชักปืน ไล่ยิง หนึ่งในสองคนนั้นจึงชักปืนพกเพื่อป้องกันตัวหากถูกชายคนนั้นวิ่งตามมายิงซ้ำ บังเอิญทหารพรานผ่านมา ทั้งสองจึงรับเคราะห์ไป กรณีนี้ทหารพรานสังหารคนกลางวันแสก ๆ เพราะมั่นใจว่าเป็นคนร้ายแน่ แต่กลายเป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์ หากทหารพรานใช้วิธีที่ละมุนละม่อม ไม่ใช้อาวุธสถานเดียว เรื่องก็คงจบลงด้วยดี ที่น่าคิดก็คือนี้คงไม่ใช่ความผิดพลาดกรณีเดียวที่เกิดขึ้น และทั้ง ๆ ที่เห็นกับตากลางวันแสก ๆ ก็ยังทำผิดพลาดได้ถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การ “อุ้ม” ผู้คนจำนวนนับสิบนับร้อยเพียงเพราะได้รับการแจ้งจากสายข่าวตลอดหลายปีที่ ผ่านมาน่าจะกวาดเอาผู้บริสุทธิ์ติดร่างแหไปด้วยเป็นจำนวนไม่น้อย จึงไม่แปลกอะไรที่ผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นอย่างมาก
ถึงที่สุดแล้วกรณีความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำถามว่า “ใครทำ ?” สำคัญน้อยกว่าคำถามว่า “ทำไมเขาถึงทำ?” และ “อะไรเป็นเงื่อนไขให้เขาทำได้?” ตรงนี้ทำให้สันติวิธีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน& ; ; nbsp; เพราะในขณะที่ความรุนแรงจะใช้ได้ต่อเมื่อรู้ว่าใครเป็นผู้ร้าย (ซึ่งรัฐเองยังมืดแปดด้าน) แต่สันติวิธีนั้นมุ่งที่การขจัดเงื่อนไขแห่งความรุนแรงยิ่งกว่าการขจัดตัว บุคคล ดังนั้นถึงแม้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ก็มีช่องทางอีกมากที่จะเปลี่ยนสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดีได้หากรู้ว่า ทำไมเขาถึงก่อความไม่สงบ และอะไรที่เป็นเงื่อนไขให้กระทำการดังกล่าวได้
ความไม่สงบในภาคใต้นั้นมีรากเหง้าความเป็นมาจากอดีตที่สั่งสมสืบทอด กันมานับศตวรรษ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความทุกข์ยากและความ อึดอัดคับข้องใจด้วยสาเหตุทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา อำนาจรัฐที่รวมศูนย์และไม่สามารถให้ความยุติธรรมตลอดจนสวัสดิภาพแก่ประชาชน ก็ดี วัฒนธรรมจากส่วนกลางที่นิยามความเป็นไทยอย่างคับแคบจนปฏิเสธวัฒนธรรมท้อง ถิ่นก็ดี กลุ่มทุนและธุรกิจอิทธิพลที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการแย่งชิงทรัพยากรของชุม ชนท้องถิ่นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขให้หน่วยงานรัฐสูญเสียความสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันก็ขยายแนวร่วมให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้น พร้อมกันนั้นอำนาจรัฐที่ถดถอยก็เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลสามารถ เคลื่อนไหวและสร้างสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้อาศัยสภาพการณ์ดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการ สร้างความรุนแรงทั่วทุกหัวระแหง ทั้งนี้โดยมีปัจจัยอีก ๓ ประการเป็นเครื่องสนับสนุนได้แก่
๑. อุดมการณ์ ได้แก่อุดมการณ์ชาตินิยมควบคู่กับหลักความเชื่อทางศาสนาอิสลาม
ที่ตีความมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐ
๒. ยุทธปัจจัย ได้แก่อาวุธ เงิน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ก่อความไม่สงบ รวมไปถึงสถานที่ในการฝึกอาวุธ
๓. แนวร่วม ได้แก่ประชาชนที่มีความคับแค้นใจและต่อต้านอำนาจรัฐ อาจรวมไปถึงผู้มีอิทธิพลที่ค้าของเถื่อน ยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย