พึ่งเข้า blog มาได้ 1 อาทิตย์ "ได้" อะไรๆมากพอดู (เหนือกว่าที่คิด) จดบันทึกไว้ก่อนตอน 1 อาทิตย์ เดี๋ยวดูซิว่า ตอน 1 เดือน 1 ปี จะรู้สึกอย่างไร
อันดับแรก Blog มีไว้อ่านพอๆกับมีไว้เขียน ตอนแรกผมเคยเขียนกระดานข่าวมาเยอะมาก (มาประมาณเกือบสิบปี) ก็จะมี theme หลัก theme รอง และแลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆงอกจากประเด็นนั้นๆที่สนใจ ส่วนใหญ่จะสั้นๆ ไม่ยาวมาก และ (ใน board ที่เคยเล่น) ก็จะมีความสัมพันธ์หลวมๆ แต่พอมาเล่น blog นี่ ปรากฏว่าเผลอๆ อาจจะไม่ต้องซื้อหนังสืออีกนาน (ซึ่งน่าจะดี เพราะเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ก้ไม่แน่ใจว่าจนตายจะอ่านหมดหรือไม่)
อันดับสอง Blog มีไว้สังคม อันนี้ที่จริง message board ก็พอมีบ้าง แต่การที่ blog มี profile ที่ละเอียดกว่า profile ในพวกกระดานข่าวเยอะมาก ผมคิดว่า Blog มีความชัดเจนเรื่องการสร้างชุมชนเครือข่ายและสังคมเด่นชัดกว่ากระดานข่าวหลายเท่า ไม่ใช่เครือข่ายทาง physical ก็จริง แต่เป็นเครือข่ายด้านความคิด ความเห็น บางทีแบบนี้ยิ่งเหนียวแน่นกว่า physical network เสียอีก คนรอบข้างเราที่ทำงานด้วยแต่คุยน้อยกว่า รู้จักความคิดของเขา เขารู้จักของเราน้อยกว่า ซึ่งการได้ รู้จักความรู้สึกนึกคิด จึงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ความสนิทสนม" ได้ลึกซึ้งแท้จริงกว่าเพื่อนดูหนัง เพื่อนกินข้าว ซะอีก
อันดับสาม Blog มีไว้ archieve ตัวตนเรา เนื่องจากระบบการเก็บข้อมูล ข็อเขียนที่ดี โอกาสที่เรากัลบมาย้อนดูตัวตนเราทุกบ่อยๆ หรือนานๆที มีประโยชน์อย่างยิ่ง บางทีก็ช่วยเตือนเราว่าที่เราไม่ชอบตอนนี้ ดุด่า ว่ากล่าวตอนนี้ เมื่อไม่นานมานี้เองที่เราเคยเห็นด้วยสุดตัว อ่านแล้วจะได้ติเบรคความคิด หน่วงตัวเองให้ช้าลง และเพลิดเพลินกับการเติบโตของตนเอง อ่านประวัติศาสตร์ส่วนตัวของตนเอง
อันดับสี่ Blog เป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจ รวมทั้งสร้างอะไรดีๆอีกเยอะ เช่น research questions หรือ อะไรก้ได้ที่เกี่ยวข้องกับการหมุน แปล ปรับ สร้าง จำแนก เรียนรู้ จาก องค์ความรู้
ต้องถือโอกาสขอบคุณพี่เต็มศักดิ์ทีได้แนะนำมาครับ จริงๆพี่เต็มรับหน้าที่ introduce อะไรต่อมิอะไรให้ผมมาหหลายอย่างแล้ว แต่ละอย่างก็เด็ดๆทั้งนั้น ไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นอย่างต่อไปนะครับ (ตุ๊มๆต่อมๆ)
ดีครับ เห็นด้วย มีความรู้ทางโลกตะวันออก(หากเปรียบเทียบโดยเฉลี่ย) และในท้องถิ่นไทยเรา ที่สูญหายไปเลย ไม่มีใครต่อยอดได้ หรือพัฒนาต่อได้ ก็เพราะขาดวิญญาณของการบันทึก คงมีพวกครู อาจารย์ หรือเป็นหน้าที่ที่จะต้องบันทึกเท่านั้นที่บันทึก และชนรุ่นหลังก็ไม่มีนิสัยไปเสาะหาที่บันทึกไว้ที่มีบ้างนั้นมาต่อยอด ผมว่าเครือข่ายเช่นนี้ดีมากๆครับ
มาแลกเปลี่ยนด้วยบันทึกนี้ค่ะ ความจริงมีอีกหลายบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งตัวเองและผู้อื่นจากการเขียนใน GotoKnow มาเป็นเวลา ปีกว่าๆ จึงเป็นเหตุให้ปาวารณาตัวเป็นวิทยากรให้ทุกที่ที่ขอมาเลยค่ะ อยากให้คนอื่นๆได้รู้ว่าการพัฒนาตัวเองด้วยการเขียนนั้นมีประโยชน์มากจริงๆ และเชื่อว่าทุกคนเขียนได้ ขอให้เริ่มต้นเท่านั้นเอง ยิ่งคนคิดเก่งๆยิ่งน่าจะเขียนความคิดตัวเอง มีคนที่เขียนไม่ได้จริงๆน้อยมากนะคะ เชื่อเช่นนั้น และไม่เคยหยุดเผยแพร่ให้คนเข้ามาเขียน พยายามให้กำลังใจและชักชวนทุกคน โดยเฉพาะคนที่เห็นแววค่ะ
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่า ดีใจเมื่อได้เห็นนามแฝง Phoenix จากเว็บบอร์ดคณะแพทย์ที่นี่ในวันแรกที่เห็นค่ะ เพราะเชื่อว่าอาจารย์จะเป็น"แรงพลัง"จุดประกายอะไรๆได้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่นี่ค่ะ
สวัสดีครับคุณ niran คุณโอ๋ แล้วก็คุณขจิต
ก็นึกถึงคำ สุ จิ ปุ ลิ ที่ homepage Gotoknow คำ "ลิขิต" นี่มีความสำคัญไม่น้อยจริงๆ แต่ยิ่งมานึกถึงสถิติที่มีคนบอกว่าเด็กไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 5 บรรทัด หรืออะไรทำนองนี้รู้สึกหนาวมากเลย (รีบกลับไปอ่านเพิ่ม อาจจะช่วยสถิติให้ดีขึ้น)
ผมเคยเล่น video game อยู่พักใหญ่ตอนเป็นแพทย์ใช้ทุน ทราบดีถึงอำนาจการ distraction และ addiction และขโมยเวลาของเด็กๆไปได้เหมือนฝัน ถึงแม้ว่าบางประเด็น videogame หรือ computergame ก็มีประโยชน์ของมันอยู่ แต่ศักยภาพของการเกิดโทษนั้นสูงมาก ยกตัวอย่างที่ชัดเจนคือการ "ผลาญเวลา" ถ้าเด็กถูก hooked และลดความสามารถบริหารเวลาลงไปเรื่อยๆ จะมีผลต่อการศึกษา การดำรงชีวิต และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่าง dramatic ตอนนี้ที่บ้านผมทั้งพ่อทั้งแม่ช่วยกันอ่านหนังสือก่อนนอนกับลูกทั้งสองคนทุกคืน ทุกมุมบ้านกองหนังสือไว้เป็นตั้งๆ (เป็นกับดัก เน้น สิบเบี้ยใกล้มือ)
ผมเห็น blog ที่ใช้ในการเรียนการสอนของอาจารย์จันทวรรณ ก็คิดว่าเป็นอุบายที่ดี เชิญเขามาเที่ยวหน้าร้านก่อน เอาขนมล่อให้เดินเข้าร้าน เอากาแฟวางให้มานั่งที่เก้าอี้ มีหนังสือวางข้างๆโซฟา ผมว่าร้อยทั้งร้อยหยิบมาอ่าน ในที่สุดก็จะเจอที่ชอบสักเล่มนึงจนได้
แต่เราต้องรู้เขารู้เรา ต้องทราบว่าทำไม videogame computergame จึงทำให้คนชอบได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่เราจะได้ทำสินค้าเราให้ขายได้ แข่งได้ ความสนุกในการเล่น แสงสี media ที่ใช้ทุกประสาทสัมผัสทำให้อารมณ์เกิดคล้อยตามและชักจูงได้ การเรียนการสอนใน รร. เดี๋ยวนี้บางทีก็ยังล้าหลังมากๆ วิชาที่ลูกผมไม่ชอบมากที่สุดคือวิชา "ศิลปะ" !! เหตุผลคือครูดุที่สุด ผมฟังลงฉงนฉงายเป็นอย่างยิ่ง วิชาศิลปะเป็นวิชาสร้างสรรค์จินตนาการและสุนทรียภาพ เน้นอิสระในการคิด การฝัน โดยปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึก ปรากฏว่าครูเอากฏ ระเบียบ เอาทุกอย่างที่เป็นกรอบมาครอบในวิชานี้ เด็กวาดรูปก็ให้คะแนน 3-4 คะแนนจาก 10 !! โดยใช้ "เกณฑ์" อะไรก็ไม่ทราบมาจับ
มีลูกอาจารย์ที่ทำงานเล่าให้ฟัง เขาชอบไปเล่นคอมพิวเตอร์ที่ห้องสมุดโรงเรียน search นู่น search นี่ มี librarian เดินเข้ามาบอกว่าหมดเวลาแล้ว ปิดเครื่องได้ ไม่ให้ใช้ เด็กก็เข้า start, programme, shutdown แล้วก็นั่งรอให้เครื่องปิด ครูเดินมาดูอีกครั้งดูเด็กว่า "ดูซิ บอกให้ปิดๆเครื่อง ยังมาเล่นโน่นเล่นนี่อยู่อีก ไม่กดปุ่มปิดสวิทซ์ซะทีซิยะ" คือแกหารู้ไม่ว่าคอมพิวเตอร์มันไม่ควรจะปิดเอาดื้อๆแบบปิดไฟ ปิดพัดลม!!
สรุปแล้วการศึกษาคงต้องเร่งทั้งระบบ ทุกเพศ ทุกวัย มีบันทึกอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหาวิธีทำให้มันจ๊าบ มันดึงดูด และน่าใช้ด้วย ตรงนี้ต้องขอให้สายศิลป์มาช่วยหน่อย พวกสายวิทย์มันจะตันเอาง่ายๆ ไม่รู้เป็นยังไงเหมือนกัน
ได้ยินชื่อเสียงอาจารย์สกลมานานแล้วใน webboard คณะฯ แต่ไม่ได้เข้าไปอ่านเพราะไม่ค่อยชอบบรรยากาศ และ การไม่เปิดเผยตัวตน คิดอยู่ตลอดว่า หาก อ.สกลมาเขียน blog จะเป็นประโยชน์มากกว่า
ตัวเองขายไอเดียเรื่อง blog G2K ให้คณะฯ ฟังมานานแล้ว และบ่อยๆ โดยเฉพาะในกรรมการ KM ของคณะฯ เอง แต่รู้สึกไม่ได้ผล คงเพราะบอกประเด็นประโยชน์ได้ไม่เท่าอาจารย์
ได้อ.สกล และ อ.เต็มศักดิ์ มาใช้ blog ความหวังที่จะให้มีการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่าน blog ในคณะแพทย์มากขึ้น เริ่มเห็นเค้าลางบ้างแล้ว ขอบคุณมากๆ ค่ะ