เรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรมมิ่งแบบนามธรรม (ตอบ: วิถีการเรียนรู้ ครูเม็กดำ1)


เรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรมมิ่งแบบนามธรรมไปสักสองปีก็ไม่เก่งหรอกครับ ต้องเรียนแบบ "นำมาทำ"

หลังจากได้อ่านข้อเขียนของครูศักดิ์พงศ์เรื่อง วิถีการเรียนรู้ (link ) ซึ่งผมคิดว่าเป็นการนำเสนอความคิดของการเรียนการสอนในระดับประถมถึงมัธยม ท่านได้ฟันธงลงไปว่า “วิถีการเรียนรู้ของแต่ละคน จะมีลักษณะเน้นไปในด้านรูปธรรมมากกว่าด้านนามธรรม” ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ และคิดว่าการสรุปแบบนี้นั้นไม่ธรรมดา

ทำไมถึงไม่ธรรมดา?
ก็เพราะเมื่อคิดถึงห้องเรียนที่ผมเคยเรียน และเคยสอน ส่วนใหญ่กิจกรรมก็คือการให้เล่าให้นักเรียนฟัง เล่าดีก็สนุก เล่าไม่ดีก็น่าเบื่อ ชวนหลับ ยิ่งผมเป็นประเภทเสียงระนาบเดียว (เฉพาะ) เวลาสอน (เพราะเวลาร้องเพลงก็พอฟังได้ มีเสียงสูงต่ำ และไม่ผิดคีย์)

ว่าถึงการเรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรมมิ่ง ผมเคยภูมิใจว่าผมเป็นพวกเรียนด้วยตัวเอง (self-taught) เรียนคอมพิวเตอร์ในห้องทีไร ไม่เคยได้ผลสักที ยิ่งไปเรียนตามโรงเรียนคอมพิวเตอร์ด้วยแล้วยิ่งรู้สึกเสียเวลา เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีการวัดพื้นฐานความรู้ บางคนมาเรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรม แต่ยังไม่เคยเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เลย (ผมไม่ได้หมายความว่าผมรำคาญ หรือไม่ชอบคนที่มีทักษะคอมพิวเตอร์น้อยนะครับ ผมรู้สึกว่าโรงเรียนคอมพิวเตอร์ต่างหากที่ผมไม่ชอบ เพราะทำแบบนี้มันเอาเปรียบกันชัดๆ) เมื่อหลายเดือนก่อนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนในชั้น เกี่ยวกับเรื่องโปรแกรมเมอร์ ผมก็บอกเขาไปว่า ผมจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ ปริญญาโทคอมพิวเตอร์ แต่โปรแกรมที่ใช้ถนัดนั้นไม่ได้เรียนจากชั้นเรียน มาเรียนเอาเองทีหลัง (รู้สึกภูมิใจที่บอกเขาไป) เขาตอบผมสั้นๆ ว่า “ผมยังไม่เคยเห็นโปรแกรมเมอร์คนไหน ไม่เรียนเองเลย”
ประโยคนี้ทำเอาผมคิดหนักไปหลายวัน นึกทบทวนดูแล้วก็พบว่าจริงอย่างที่เขาพูด คนที่เป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ร้อยทั้งร้อย เรียนด้วยตัวเองครับ ผมฟันธงแบบนี้ก็เพราะว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะประสบการณ์ และความคุ้นเคยกับภาษาที่ตัวเองใช้งาน พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะภาษาคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ กว่าจะเก่งได้ก็ใช้เวลาหลายปี

เทียบกันการเรียนในชั้นเรียน หนึ่งเทอมเรียน อาทิตย์ละสามชั่วโมง สี่เดือน สามคูณสี่คูณสี่ก็เป็นสี่สิบแปด นับเวลาเป็นชั่วโมงก็แค่สองวันเองครับ ถ้านักเรียนไม่ค่อยทำแบบฝึกหัด หรือไม่สนใจเรียน ก็ไม่ได้อะไร ส่วนนักเรียนที่สนใจเรียนในห้อง ก็ได้ครับ แต่ไม่มาก เพราะยังต้องเรียนวิชาอื่นในเทอมเดียวกัน ถ้าครูสอนไม่ดี ให้แบบฝึกหัดน้อยไป (หรือเยอะไป) ก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถของนักเรียนมากนัก ผมเชื่อว่าคนเราจะเก่งแบบก้าวกระโดดได้ต้องมีครูดีครับ การเรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรมมิ่ง จะให้ยืนสอนปาวๆ หน้าชั้นก็ตลก จะให้อาจารย์ลองเขียนโปรแกรมให้ดู แล้วให้เด็กๆ จดตาม ถึงจะเข้าใจว่าทำไม แต่เดี๋ยวไม่กี่วันก็ลืมครับ เพราะไม่ได้ทำเอง
เรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรมมิ่งแบบนามธรรมไปสักสองปีก็ไม่เก่งหรอกครับ ต้องเรียนแบบนำมาทำ คือลงมือปฏิบัติ เขียนเอง ได้เห็นความผิดพลาดเอง ผิดเองจะได้จำครับ 

ที่เล่าๆ มา ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ เทียบกันกับเพื่อนอาจารย์ในภาควิชา ผมก็แค่เด็กๆ และผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนวิธีการสอนแบบรื้อโครงสร้างทั้งระบบหรืออะไร แค่อยากให้เปลี่ยนวิธีการมองการเรียนการสอน และความคาดหวังจากหลักสูตรกันมากกว่า

หมายเลขบันทึก: 77286เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2007 22:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน 2013 19:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

"ผมยังไม่เคยเห็นโปรแกรมเมอร์คนไหน ไม่เรียนเองเลย"

ถูกต้องเลยครับ 

ผมเองก็โตมาจากที่เรียนด้วยตัวเอง วิชาชีิพทุกวันนี้ก็ได้มาจากการเรียนด้วยตัวเอง 80% 

ผมเองชอบศึกษาจาก workshop เพราะได้ทำตามไปก่อน แล้วทักษะการเรียนรู้จะตามมาเอง ถ้าสมมติว่าได้เป็นอาจารย์ ผมจะใส่ workshop ก่อนอธิบายครับ

สำหรับเรื่องการเรียนการสอน ผมว่าต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วนครับ เพราะจากที่เจอมา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือคนที่ผมรู้จักที่อยู่ในสายงานคอมพิวเตอร์ ทุกคนเวลาที่เจอปัญหา ก็อ้างว่า อาจารย์ไม่ได้สอน =='  ถ้าไม่มีอาจารย์ คนพวกนี้คงไม่มีความรู้อะไรเลยแน่่นอน

ต้องปลูกฝังตั้งแต่แนวคิด แนวปฏิบัติ รวมถึงการเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่นักเรียนหรือนักศึกษาทำตาม ถ้าสังคมส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ส่วนน้อยมันคงจะปรับตัวเองครับ

ขอสนับสนุนความคิดของคุณแว้บเต็มที่ครับ

 

 

 

ประเด็นที่คุณปั้นเหน่งพูดมานั้น โดนกลางเป้าเลยครับ ทั้งเรื่องการอ้างว่า "อาจารย์ไม่ได้สอน" เป็นเรื่องที่อาจารย์เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สรุปว่าต้องสอนกันทุกอย่างเลยเหรอ?

ผมไม่ค่อยมั่นใจว่าจะผ่าตัดกันได้ครับ ไม่ใช่ว่ผมมองโลกในแง่ร้าย แต่ผมเห็นว่ามีวาระแห่งชาติกันทีไรเป็นล้มทุกที สู้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่านะครับ ผมว่า

ครับคุณแว้บ(ชื่อเท่มากครับ ชอบๆ)

เรื่องผ่าตัดผมก็บอกตามที่คิดหนะครับ แต่จะทำได้หรือเปล่านั้้น อันนี้ก็ต้องช่วยๆ กันแก้ไขกันไปเพราะของแบบนี้มันต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ตบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดัง

เรื่องปัญหานี้ ผมว่าทางท่านอาจารย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง คงจะรับรู้เป้นอย่างดี แต่แนวทางแก้ปัญหานั้น ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คุณแว้บว่าไว้ คือมี แต่ล้มทุกที

ผมเองก็คิดวิธีแก้ปัญหาไปเรื่อย แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าถ้าหากผมเป็นผู้ที่มีอำนาจในการสั่งการ จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือเปล่า คงต้องให้เวลามันผ่านไปและให้ปัญหามันหนักกว่านี้อีก  คนในวงการนี้ ถึงจะมาตระหนักถึงปัญหาอย่างจริงๆ ที่ผมบอกอย่างนี้ ไม่ใช่จะละเลยปัญหา แต่ในเมื่อ(ผม และคนอื่นๆ)แก้ไขไม่ได้ในตอนนี้ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปแบบนี้แหละครับ

ผมว่าทุกฝ่ายที่คุณปั้นเหน่งหมายถึง สำหรับในห้องเรียนนั้น น่าจะมีแค่ครูกับนักเรียน นะครับ ผมหวังว่าการเปลี่ยนแปลงของครู น่าจะช่วยให้ีมีการเปลี่ยนแปลงกับนักเรียนได้บ้าง แต่ลึกๆ แล้วผมก็เชื่อว่าทุกอย่างเริ่มที่บ้าน และครอบครัวนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท