เมื่อวันก่อน ได้มีโอกาสฟังเพื่อนร่วมเดินทางแนะแนวหลานสาวที่กำลังจะสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยเริ่มจากการตั้งคำถามว่า "อยากเรียนอะไร? อยากทำงานอะไร? และอยากเป็นอะไร? ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือ "ไม่ทราบค่ะ" โดยใช้เวลาเกือบจะ 2 ชั่วโมง ก็ยังหาจุดจบไม่ได้
ฉะนั้น ดิฉันจึงร่วมวงเสวนาด้วย โดยการซักไซ้ไล่เรียงโดยยกกรณีตัวอย่างของคนที่หลานสาวรู้จักซึ่งเป็นคนที่รู้จักและอยู่ในครอบครัวเดียวกันจากคำถามที่ว่า "ลองดูซิว่า....จากที่เห็นการทำงานของป้า ของน้า ของลุง ของอา และของแม่ นั้น ตัวเราเองชอบใครมากที่สุด" คำตอบที่ได้คือ ชอบแบบน้า เลยถามต่อว่า "เพราะอะไร?" เขาก็เลยวิเคราะห์ตัวแบบทั้ง 5 ตัวว่า "ที่เขาไม่ชอบ 4 ตัวแบบเพราะแม่ต้องทำบัญชีเป็นเรื่องที่จุกจิก ส่วนอาต้องค้าขายเดินทางบ่อย และลุงต้องไปต่างจังหวัดบ่อย ทำงานไม่มีเวลาเลย ส่วนน้าสาวทำงานอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ ได้ดูแลคนไข้ และทำงานที่ให้บริการกับทุกคน และเป็นการทำบุญไปด้วยกบห้าที่งาน ที่ทำการวิเคราะห์ทีละตัวแบบ ๆ โดยดิฉันป้อนคำถามและหลานสาวเป็นคนตอบในลักษณะของการสนทนาร่วมกัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที เราก็สรุปบทเรียนได้
ส่วนข้อสรุปที่เกิดขึ้นคือ เขาเลือกตัวแบบของน้าสาวที่เรียนพยาบาลและมาทำงานที่สาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเขาชอบการทำงานและการใช้ชีวิจเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงเลือกตัวแบบนี้และเลือกเรียนเภสัชกร เพราะเป็นสายงานแบบเดียวกัน และมุ่งหวังที่จะให้บริการประชาชน
จากบทเรียนนี้จึงทำให้ดิฉันคิดถึงการเป็นครูแนะแนวว่า บางครั้งเด็กจะมีความสับสนในตนเองและมักจะตอบคนที่ถามว่า "เรียนอะไรก็ได้...หรือเรียนได้ทั้งนั้นแหละ" ซึ่งทำให้เราเกิดความงง ๆ ไปด้วยว่า "ตกลงแล้วจะเอาอะไรกันแน่" ก็เลยลองยกตัวอย่างที่เป็น"ตัวแบบ"ใกล้ตัวเขาเองเพื่อให้เขาวิเคราะห์ เลือก และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลด้วยตัวของเขาเอง.