ป้าเจี๊ยบอยู่ในวัยที่ได้รับการ์ดเชิญไปงานศพมากกว่างานมงคลสมรสค่ะ จึงดีใจเมื่อได้การ์ดแต่งงาน ซึ่งตอนนี้มักจะเป็นงานของลูกหลานและลูกศิษย์ เมื่อวันที่ 1 กพ. ก็ไปร่วมแสดงความยินดีในงานฉลองสมรสของลูกกับหลานเพื่อนร่วมงาน เจ้าบ่าวคือน้องป๊อบเป็นลูกเพื่อนค่ะ ส่วนเจ้าสาวคือน้องเอเป็นหลานเพื่อน งานนี้จัดได้พอเหมาะพอดีและประทับใจป้าเจี๊ยบมากกว่าหลายๆ งานที่เคยไปค่ะ
การ์ดเชิญ เป็นการ์ดที่เจ้าบ่าวออกแบบเองค่ะ สมกับที่เรียนจบทางสถาปัตย์ การ์ดมี 2 แบบค่ะ คือ สำหรับแขกผู้ใหญ่ แบบที่ป้าเจี๊ยบได้รับ มีการ์ตูนภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วย น่ารักมาก ส่วนการ์ดสำหรับแขกที่เป็นเพื่อนๆ สิคะ เก๋สุดๆ เป็นการนำเสนอข้อความเดียวกันกับการ์ดของผู้ใหญ่ แต่เขียนเป็นการ์ตูนเรื่อง ฝีมือของเจ้าบ่าวนั่นแหละ
บรรยากาศภายในงานสบายๆ เรียบง่าย เป็นกันเอง เจ้าบ่าวเจ้าสาวอารมณ์ดี ท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ ไม่วางท่าเกร็งๆ เป็นตุ๊กตาไขลานเหมือนรายอื่นๆ ที่ต้องยืนหน้างานเพื่อถ่ายรูปกับแขกที่มาตามธรรมเนียม แต่ใครไปใครมาบ้างก็ไม่รู้ งานนี้น้องเอและน้องป๊อบแสดงกิริยาท่าทางที่ทำให้ป้าเจี๊ยบรู้สึกได้ว่าทั้งคู่ดีใจที่เจี๊ยบมา ซึ่งแขกคนอื่นๆ ก็คงได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ส่วนพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็กลมกลืนกับแขกโดยไม่มีการแยกโต๊ะนั่งหรือจัดที่ให้ใครเป็นแขกพิเศษกว่าใคร
การนำเสนอภาพสไลด์แนะนำเรื่องราวของเจ้าบ่าวเจ้าสาว สั้น กระทัดรัด ได้ใจความจากภาพอย่างพอเหมาะ โดยทุกเฟรมนำเสนอข้อมูลของทั้งสองฝ่ายในประเด็นต่างๆ คู่กันไป แล้วสรุปจบด้วยการใช้คำว่า ME หมุนตีลังกากลับมาเป็น WE และภาพของเจ้าบ่าวเจ้าสาวในอิริยาบทเดียวกับการ์ตูนในการ์ด และจบลงด้วยภาพการ์ตูนนั้น ช่างคิดดีจัง
คอนเซป ME เปลี่ยนไปเป็น WE กับภาพการ์ตูนของทั้งสอง ใช้เป็นภาพที่ติดอยู่ที่ถ้วยกระเบื้องซึ่งเป็นของชำร่วยด้วยค่ะ พร้อมทั้งมีสมุดเล่มเล็กๆ เรื่อง “ธรรมสมรส” ให้สาระการครองชีวิตคู่ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเห็นว่าเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตคู่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับแขกที่มา โดยภาพประกอบในเล่มก็เป็นฝีมือเจ้าบ่าวเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เพลงประกอบที่ใช้ในงานซึ่งไพเราะมาก ก็ได้ทราบจากพิธีกรอีกว่าเป็นเพลงที่แต่งโดยเจ้าบ่าว ปลื้มใจแทนทั้งสองครอบครัวจริงๆค่ะ
ป้าเจี๊ยบติดใจมากที่สุดคือ คำกล่าวของประธานในพิธีค่ะ คุณโสภณ สุภาพงษ์ เธอให้ข้อคิดแก่บ่าวสาวประโยคหนึ่งที่พอได้ฟังปุ๊บ ป้าเจี๊ยบร้องเอ๊ะในใจเลย แบบว่าสมองสั่งการให้เถียง ทำตัวเป็นพวกน้ำล้นแก้วซะเอง พอนึกได้รีบปรับตัวตั้งใจฟังต่อ..
เธอว่าอย่างนี้ค่ะ “เวลาที่มีเรื่องที่ทำให้ต้องขัดแย้งกัน อย่าใช้เหตุผล” เธอย้ำประโยคนี้สองครั้ง แล้วหยุดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อว่า “ให้ใช้ความรักและหน้าที่” จากนั้นเธอก็อธิบายสั้นๆ ว่าการอยู่กันในครอบครัว ถ้าใช้เหตุผล ว่าฉันถูกเธอผิด ฉันเก่งฉันรู้ดีกว่าเธอ ก็จะเกิดการเอาชนะ ถกเถียง ทะเลาะกัน แต่ถ้าใช้ความรักและหน้าที่ ก็จะมีแต่ความราบรื่นและความสุข
โอ้โห ซึ้งเลยค่ะ จริงของเธอ เพราะครอบครัวของหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ต่างคนต่างเรียนมาสูงๆ อยู่กันไม่ค่อยยืดก็เพราะขยันใช้เหตุผลในเรื่องของครอบครัวนี่แหละ ในกรณีนี้เจ้าบ่าวจบปริญญาตรีสถาปัตย์ ส่วนเจ้าสาวจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ค่ะ
พอคิดต่ออีกนิด ก็ปิ๊งๆๆ รู้แล้วว่าที่ผ่านๆ มาครอบครัวขนาดใหญ่ของเราสุขสันต์ได้ก็เพราะใช้เราความรักมากกว่าเหตุผลนี่เอง ฮิๆๆ