0 4.3 ไปสู่เรื่องอนาคต (Relearning ) กระบวนการเรียนรู้ เป็นต้นกำเนิดแห่งประสบการณ์ และทักษะ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคนเราหรือทีมงานของเรา ต้องไปกระทำกิจกรรมหรือเผชิญเหตุการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็จะได้รับข้อมูลนานาประเภท ผ่านทาง ตา หู จมูกและประสาทสัมผัสอื่น ๆ จากนั้นจึงเกิดการคิด ทบทวนข้อมูลทั้งหมดในสมอง และประมวลเข้ากับประสบการณ์เดิม ๆ ที่มี แล้วจึงประเมินสถานการณ์ เพื่อทำการติดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้น ๆ และประการที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การได้รับประสบการณ์ใหม่ไปในทางเดียวกัน กระบวนการเรียนรู้เพื่อไปสู่อนาคตนี้เอง ที่ควรมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ โดยการเน้นไปสู่ทั้งกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และกระบวนการเปลี่ยนแปลง ลงสู่การทำงานให้ดีที่สุด ด้วยการลงไม้ลงมืออย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลที่ว่า "การเห็นและการได้ยิน ก็จะทำให้เกิดความสังวรต่อพฤติกรรมใหม่ ๆ" และ "การเกิดของพฤติกรรมใหม่ ๆ นั้นจะเป็นไปได้ ก็จะต้องลงมือทำแต่เพียงอย่างเดียว" ซึ่งเป็นการเน้นถึงคุณค่า ที่ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่า คุณค่าของคนคือตัวเราเอง และการลงมือทำให้เกิดกิจกรรมคุณค่า ให้เกิดเป็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์นี้เอง ก็จะเป็นหนทางในการเดินไปสู่อนาคต โดยมีกระบวนการเรียนรู้ที่วนเวียน (ดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้) ไปอย่างเป็นวัฏจักร ที่ไม่รู้จบ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นวงจรของการเรียนรู้คู่ประสบการณ์(Experiential Learning Cycle) 5. การวัดผลการเรียนรู้ 0000การวัดผลการพัฒนาการเรียนรู้แบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ดังนี้ - การวัดผลเป็นรายบุคคล โดยเน้นไปที่ทักษะในการติดต่อสื่อความ เช่นการฉลาดคิด ฉลาดอ่าน ฉลาดเขียน และฟัง รวมทั้งทักษะในการทำงาน และทักษะในการเป็นผู้นำ - การวัดผลตามกิจกรรม โดยเน้นที่ความสำเร็จตามเป้าหมายของแต่ละกิจกรรมอาทิ 00001. การลดรอบเวลา ในกระบวนงานต่าง ๆ เช่น รอบเวลาในการสั่งซื้อและการนำส่งสินค้า 00002. การลดปริมาณสิ้นค้าเสียหาย - สิ้นค้าคืน 00003. การเสริมสร้างสัมพันธภาพและความพึงพอใจแก่ลูกค้า - การวัดผลจากตัวระบบ ซึ่งเป็นวัดผลเชิงพัฒนาการของตัวระบบการบริหารต่าง ๆ ที่องค์กรได้นำเข้ามาใช้ปฏิบัติ เช่น 00001. แบบทดสอบ วิธีวัดค่าองค์กรอัจฉริยะ 00002. แบบทดสอบ วิธีวัดค่าเชาว์อารมณ์ 00003. แบบทดสอบ วิธีวัดค่าการบริหารเชิงคุณภาพรวม 0000ในการวัดผลการเรียนรู้นี้จำเป็นต้องทำเป็นระยะ ๆ ให้ต่อเนื่อง เพื่อจะได้ทราบแนวโน้มของพัฒนาการที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้น ช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนกลวิธี และขั้นตอนการพัฒนาภูมิปัญญา ด้วยกิจกรรมคุณค่าต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
จะเริ่มอย่างไร ? ผศ.ดร.ผสุ เดชะรินทร์ กล่าวไว้ดังนี้ 00001. เริ่มจากการกำหนดกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กร (Strategic Objectives ) 00002. กำหนดวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กร ให้ชัดเจน 00003. กำหนดความรู้ที่สำคัญที่จะต้องใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ 00004. จัดทำแนวทางที่จะได้ข้อมูล 00005. ดำเนินการจัดเก็บ
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวไว้ดังนี้ 00001. ตั้งเป้าพัฒนางาน 00002. ร่วมกันดำเนินการ (หาวิธีให้ได้มาซึ่งความรู้เช่น ฝึกอบรม ,ช่วยกันคิดหรือเรียนจากผู้อื่น) 00003. พัฒนาคุณภาพความรู้ และเก็บรวบรวม 00004. ดำเนินการจัดการความรู้
ปัญหาที่สำคัญของการ บริหารความรู้ ( Knowledge Management ) อาทิเช่น - การเริ่มต้นกันใหม่ที่จะพัฒนาภูมิปัญญา เนื่องจากขาดข้อมูลที่จะสะท้อนถึงสถานภาพที่เป็นจริง ในปัจจุบันทำให้ไม่มีโอกาสได้ทราบว่า ภูมิปัญญาใหม่ ๆ ที่เหมาะสม ตลอดจนแหล่งของวิทยาการและภูมิปัญญาทั้งปวง - การจัดเก็บภูมิปัญญา อย่างเป็นระบบและครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งยังควรจะต้องทำให้ง่ายและสะดวกต่อการนำกลับมาใช้ในเวลาที่ต้องการ - การเชื่อมต่อและการกระจายภูมิปัญญา ทั่วทั้งองค์กร ให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานประจำวันได้อย่างแท้จริง - การให้ความร่วมมือ สนับสนุน จากสมาชิกทุกคนในองค์กร ซึ่งควรเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยจะมีผลในเชิงบูรณาการต่อตัวบุคคลและองค์กร
คำนิยาม 00001. ข้อมูล คือ ชุดของข้อเท็จจริงเชิงวัตถุสามารถมองเห็นได้ เมื่อใช้กับบริบทของบริษัท คำว่าข้อมูล หมายถึงบันทึกกิจกรรมทางธุรกรรมของบริษัทนั้น เวลาลูกค้าสักคนหนึ่งขับรถแวะเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันกิจกรรมที่เกิดขึ้นสามารถอธิบายเป็นข้อมูลได้ นั่นคือ มันจะบอกเราได้ว่าลูกค้ารายนั้นเข้ามาซื้อนำมันเมื่อไหร่
00002. สารสนเทศ คือ สาส์น ชนิดหนึ่ง เป็นสาส์นในรูปของเอกสารหรือสื่อด้านโสตทัศน์ และวิดีทัศน์ขึ้นชื่อว่าสาส์นก็ต้องมีทั้งผู้รับกับผู้ส่งเป็นของคู่กัน สารสนเทศมีเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับรู้บางสิ่งบางอย่างของผู้รับ หมายความว่ามันมีผลต่อการตัดสินใจของผู้รับ เพราะความหมายของสารสนเทศก็คือมันต้องบอกให้รู้ อันที่จริงมันก็คือข้อมูลที่มีความสำคัญนั่นเอง เราสามารถเปลี่ยนข้อมูลเป็นสารสนเทศได้ด้วยการเติมคุณค่า ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ 1. ทำให้มีบริบท หมายถึง เรารู้ว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลไว้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร 2. ทำให้มีพวกย่อย หมายถึง เรารู้หน่วยแยกย่อยที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของข้อมูลนั้นได้ 3. ทำให้เป็นตัวเลข หมายถึง ข้อมูลดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ตามหลักคณิตศาสตร์หรือสถิติ 4. ทำให้ถูกต้อง หมายถึงต้องขจัดความผดพลาดออกจากข้อมูลได้ 5. ทำให้มีความกระชับ หมายถึง สามารถสรุปข้อมูลให้ย่อลงได้
00003. ความรู้ คือ กรอบของการประสมประสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง เป็นการประสมประสานที่ให้กรอบสำหรับการประเมินค่า และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน
ความรู้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 00001. ความรู้ที่เรียกว่า Explicit Knowledge ที่เป็นความรู้ที่สามารถเขียนหรืออธิบายออกมาเป็นตัวอักษร ฟังก์ชั่นหรือสมการได้ (อยู่ในตำรา เอกสาร วารสาร คู่มือ คำอธิบาย วีซีดี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ฐานข้อมูล) 00002. ความรู้ที่เรียกว่า Tacit Knowledge เป็นความรู้ที่ไม่สามารถเขียนหรืออธิบายได้ การถ่ายโอนความรู้ประเภทนี้ทำได้ยาก จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้จากการกระทำ ฝึกฝน (อยู่ในสมองคน เชื่อมโยงกับประสบการณ์ ความเชื่อ ค่านิยม ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด) * แต่ยังมีความรู้อีกประเภทหนึ่งที่สำคัญ เรียกว่าความรู้ประเภทที่ 3 เป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในวิธีปฏิบัติงาน วัฒนธรรม ข้อตกลง กฎกติกา คู่มือ ขององค์กร ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ทั้งสองในรูปแบบของการเปลี่ยนรูปแบบเป็น 4 ส่วน คือ externalization, internalization, socialization ,และ combination เรียกว่าเกลียวความรู้ SECI ประกอบด้วย |