อีกตัวอย่างคือ ถ้าคุณมาริโกะ สาวน้อยออฟฟิศ กำลังพยายามเปลี่ยนหมึกปริ๊นเตอร์ และเธอกำลังไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือเปล่า คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่แถวนั้น หรือเดินผ่านมาพอดี คุณอาจได้ยินเธอรำพึงเบา ๆ เสียงงุ้งงิ้งน่ารักว่า "..อืมม..เปลี่ยนหมึกปริ๊นเตอร์อย่างนี้ถูกหรือเปล่าน้า..." ก็จงทราบเถอะค่ะว่า เธอพูดกับคุณ ฮิ ๆ
ภาพ ผักคะน้าน้ำมันหอย สั่งทานครั้งต่อไป ลองนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่ญี่ปุ่นและไทยต่างก็มีอยู่ในใจด้วยกันสิ่งนี้ ที่มาภาพ: http://farm1.static.flickr.com/59/185558555_932d506a1e.jpg
ท่านชอบทาน "ผักคะน้า" กันไหมคะ?
ผู้เขียนบล๊อกชอบมากค่ะ
วันนี้ชื่อเรื่องและภาพอาจจะทำให้ท่านไขว้เขวบ้างเล็กน้อย
แต่มันเป็นสิ่งที่แว่บขึ้นมาอยู่ในหัวเสมอค่ะ เวลาอยู่ในแวดวง
การสนทนากับชาวญี่ปุ่น และได้ยินคำลงท้ายประโยคว่า
"...คะน้า....คะน้า..."
อยู่ร่ำไป
ถ้าว่ากันตามไวยากรณ์แล้ว
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ชวนมึนหัวที่สุดภาษาหนึ่งเลยล่ะค่ะ
คือความยากนั้น หลายท่านอาจบอกว่าภาษาต่างด้าวภาษาไหนก็ยาก
แต่ของญี่ปุ่นนั้น เพิ่มความยากด้านวัฒนธรรมเข้าไปด้วยอีกเยอะน่ะซี่คะ
ในที่นี้ พี่ยุ่นของเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ขี้เกรงใจพอ ๆ กับพี่ไทยน่ะค่ะ
ครูสอนภาษาญี่ปุ่น เคยสอนถึงระดับความไม่แน่ใจ,
ความน่าจะเป็น และคำที่คนญี่ปุ่นใช้ไว้มากมาย
ถึงขั้นแบ่งเป็นระดับเปอร์เซ็นต์แน่ะค่ะ คือกะคร่าว ๆ น่ะนะคะ
เช่น พูดอย่างนี้แปลว่ามั่นใจประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เท่าไหร่
สำหรับเด็กศิลป์ภาษา ผู้ซึ่งกลัวเลขมาก ก็กลุ้มใจไปตามระเบียบค่ะ
เพราะต้องคอยจัดลำดับความน่าจะเป็นในหัวเป็นเปอร์เซ็นต์ก่อนพูด
นอกจากนี้ คนญี่ปุ่นยังมีพฤติกรรมชอบพูดกับตัวเองอีกด้วยค่ะ แหะ ๆ
คือไม่ใช่เขาเพี้ยน ๆ น่ะนะคะ แต่ว่า เป็นการแสดงให้สังคมและ
คนรอบข้างรู้ว่า เขากำลังลังเล สงสัย ไม่แน่ใจอะไรสักอย่างอยู่น่ะค่ะ
และส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่เขาลังเล สงสัย อยู่นั้น เขาก็อาจจะอยากให้
คนรอบข้าง (แปลว่าเรา ผู้ซึ่งอยู่ตรงนั้น) ได้รับทราบด้วย
เผื่อจะได้ตอบคำถาม หรือช่วยแก้ไขได้
แล้วทำไมไม่ถามเราตรง ๆ เลยเล่า ง่ายกว่าไหม ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัย
ก็อาจจะง่ายกว่าจริงน่ะนะคะ
แต่มันอาจจะทำลายสิ่งที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญที่สุดอย่างยิ่งยวดลงไปด้วย
นั่นก็คือ การทำลาย Wa หรือสภาพสมดุลย์ของธรรมชาติ
อย่างที่มันเป็น ในขณะนั้นน่ะค่ะ
พูดง่าย ๆ เขาอาจจะไม่อยากถามเราตรง ๆ
เพราะกลัวว่าคำถามนั้นอาจก่อให้เกิดความอึดอัดใจ ไม่สบายใจ ให้กับผู้ตอบได้นั่นเองค่ะ
สิ่งหนึ่งที่เขาพอจะทำได้ และเชื่อว่าจะให้ประโชน์กับทั้งสองฝ่าย ก็คือ
การรำพึงรำพันกับตัวคนเดียว
แล้วก็หวังว่าคนรอบข้างนั้นจะไวพอที่จะได้ยินได้ฟังอย่างใจที่เป็นกลางน่ะค่ะ
แล้วจะได้ช่วยตอบให้ได้
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง
ที่เขาพูดรำพึงกับตัวเองคนเดียวเบา ๆ
แล้วลงท้ายว่า "..คะน้า....คะน้า..." นี่น่ะ
ก็เพราะเขา "เกรงใจ" เรานั่นเองค่ะ
เช่น
ถ้าคุณเป็นคุณสมชาย และ เพื่อนญี่ปุ่นจะเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นคุณ
เขาอาจรำพึงคนเดียวว่า
"...เอ..คุณสมชายจะทานปลาดิบได้ไหมน้า...."
ความนัยคือ เขาเกรงใจที่จะถามคุณตรง ๆ
เพราะการถามตรง ๆ นั้น มันมีนัยยะว่าไม่ค่อยสุภาพแฝงอยู่
และอาจทำให้คุณเสียหน้า หรือ ลำบากใจได้ ถ้าต้องปฏิเสธน่ะค่ะ
ดังนั้น การที่เขาพูดคนเดียวเบา ๆ จึงเป็นการรักษาหน้าให้คุณค่ะ
ตามมารยาทแล้ว ถ้าคุณทานได้ ก็ต้องแสดงความกระตือรือล้น
รีบตอบเลยค่ะว่า ทานได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง
แต่ถ้าทานไม่ได้ ก็ต้องแสดงสีหน้าลำบากใจ แล้วก็ขอโทษเบา ๆ
บอกว่า เกรงใจจังเลย แต่ว่า ปลาดิบน่ะ....เอ่อ.....
คือพูดค้างไว้แค่นี้น่ะค่ะ ไม่ต้องพูดจนจบอ้างวารสารทางการแพทย์
ว่าทานปลาดิบแล้วอาจเจอพยาธิอะไรอย่างนั้น
คนญี่ปุ่นจะมีประโยคลักษณะที่พูดค้าง ๆ ไว้เยอะค่ะ
ทิ้งไว้ให้เติมคำในช่องว่างเอง
เพราะถือว่า ถ้าพูดจนจบประโยค
อาจทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก เสียใจ เสียหน้าได้
เห็นไหมคะ ขี้เกรงใจเสียไม่มี
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ
ถ้าคุณ มาริโกะ สาวน้อยออฟฟิศ กำลังพยายามเปลี่ยนหมึกปริ๊นเตอร์
และเธอกำลังไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือเปล่า
คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่แถวนั้น หรือ เดินผ่านมาพอดี
คุณอาจได้ยินเธอรำพึงเบา ๆ เสียงงุ้งงิ้งน่ารักว่า
"....อืมม...เปลี่ยนหมึกปริ๊นเตอร์อย่างนี้ถูกหรือเปล่าน้า..."
ก็จงทราบเถอะค่ะว่า เธอพูดกับคุณ ฮิ ๆ
และถ้าคุณเป็นสุภาพบุรุษ หรือ สุภาพสตรี ผู้มีน้ำใจ
ไม่ว่าคุณจะรู้วิธีเปลี่ยนหรือเปล่าน่ะนะคะ
ก็ทำท่ากุลีกุจอเข้าไปช่วยเธอดูหน่อยเถอะค่ะ
เพราะถ้าลองเธอรำพึง "...คะน้า...คะน้า..." มาแล้ว
แสดงว่าเธอคงจะต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะค่ะ
แต่ว่าเกรงใจ
และพอคุณเข้าไปช่วยเธอดูจริง ๆ
เธอก็จะขอโทษขอโพยคุณเป็นการใหญ่
ราวกับว่าเธอทำผิดอะไรมา
ซึ่งในความรู้สึกเธอนั้น
เธอคิดว่าเธอผิดจริง ๆ ค่ะ
คือทำให้คุณเสียเวลา และลำบากที่ต้องมาช่วยเธอ
เธอจะใช้สำนวนว่า "...แย่จริงเชียว..."
หรือภาษาญี่ปุ่นคือ "Warui desu kedo...." น่ะค่ะ
ฟังดูเหมือนสิ่งที่เธอรบกวนคุณเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก
แต่เขาพูดกันอย่างนี้จริง ๆ นะคะในชีวิตประจำวัน
ถึงบอกไงคะว่าคนญี่ปุ่นนี่ขี้เกรงใจสูสีกับคนไทย
เผลอ ๆ อาจจะมากกว่า
เพราะเขามีบทสนทนา สำนวนเฉพาะ สำหรับทั้งสองฝ่าย
ที่จะต้องใช้กันเป็นบทมาตรฐานเลย
สำหรับหลาย ๆ สถานการณ์ด้วยกัน
เตรียมไว้ให้แล้ว
ดังนั้น
ไปอยู่ญี่ปุ่น
วัน ๆ ท่านจะได้ยินแต่เสียงพูดว่า
"คือว่า.....เกรงใจคุณจังเลยน่ะค่ะ...แต่ว่า..."
"...ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ แต่จริง ๆ แล้วนี่ ดิฉันมีเรื่องใคร่ขอรบกวนคุณสักอย่างหนึ่งน่ะค่ะ..."
"....ผมแย่จริงเชียวครับ รบกวนคุณอยู่เรื่อย ทำให้คุณลำบากแย่เลย...."
หรือแม้แต่เจอหน้าทักทายกันนะคะ เขาก็จะไม่ใช้คำว่า สวัสดี สบายดีหรือ หรอกค่ะ
ทายซิคะ เขามักทักทายกันว่าอะไร โดยเฉพาะถ้าติดต่อธุรกิจ ยิ่งต้องใช้ประโยคนี้เป็นมาตรฐาน
".....วันก่อน...ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้....คงต้องลำบากแย่...."
"...วันก่อน ต้องขอบคุณมาก ๆ เลยครับ สำหรับเรื่องนั้น...."
ที่เขาขอบคุณกันนั้น ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า
นอกจากเขารู้และระลึกถึงบุญคุณเสมอแล้ว
ยังรู้สึกเกรงใจที่อีกฝ่ายต้องลำบากทำอะไรให้เขาด้วย
ดังนั้น สิ่งที่จะพูดเป็นสิ่งแรก ในการเจอหน้ากันครั้งต่อไป ก็คือ
การแสดงความขอบคุณสำหรับเรื่องหนที่แล้ว และขอโทษด้วยถ้าทำให้ลำบากเดือดร้อนนั่นเองค่ะ
เป็นไงคะ ขี้เกรงใจสุด ๆ เลยดีไหม
พี่ไทยเราล่ะคะ?
มี "..คะน้า...คะน้า..." กันบ้างไหม ในชีวิตประจำวัน?
สวัสดีค่ะ.....คะน้า?
(ถ้าแปลตามไวยากรณ์ญี่ปุ่น น่าจะแปลว่า เราลากันตรงนี้เลยดีไหมน้า...?)
"...Ne-chan..Ookii no doo ka naa...?"
" 。。姉ちゃん。。大きいのどうかなあ。。"
(พี่จ๋า...ชิ้นใหญ่ชิ้นนั้นเป็นไงน้า....? --- แปลว่าน้องสาวตัวกลมอยากทานเค้กชิ้นใหญ่ค่ะ แต่ว่าเกรงใจพี่สาว เลยถามอ้อม ๆ ว่าพี่คิดว่าเป็นยังไง...คะน้า?)
ที่มาภาพ: http://www.flickr.com/photos/jam_session/33395301/