อาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2549:
อาจาย์สาเรนกับสามเณรจะไปวัดพร้อมรถกระบะ เนื่องจากขนของมามากเกินที่รถวัดจะรับไหว
ทางเข้าวัดเป็นถนนลูกรังขนาด 2 เลน... ก่อนถึงวัดมีการก่อสร้างถนนใหญ่ขนาดประมาณ 4-6 เลน
วัดเวฬุวันเป็นวัดชานเมืองพนมเปญ ห่างตัวเมืองประมาณ 16 กิโลเมตร มีพระภิกษุสามเณรศึกษาเล่าเรียนบาลีประมาณ 70 รูป และมีโยมเป็นแม่ชีบ้างอุบาสกบ้างอยู่ในวัดรวมกันประมาณ 40 กว่าคน
ภาพที่ 1: กุฏิในวัด
ภาพที่ 2:สามเณรในวัดเดินไปเรียน โปรดสังเกตว่า ที่นี่ใช้จีวรสีกลักเหลืองเป็นส่วนใหญ่
ภาพที่ 3: พระเจดีย์ในวัด กลางคืนแขวนไฟกระพริบเป็นสีๆ ทำให้นึกถึงสีของพระฉัพพันนรังสีที่แผ่ซ่านจากพระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ภาพที่ 4: โบสถ์ที่ชาวเขมรช่วยกันพลิกฟื้นคืนแผ่นดิน... สร้างขึ้นมาใหม่หลังจากรบราฆ่าฟันกันเอง ผู้เขียนชอบรูปดอกบัวตูมสีแดงที่ประดับไว้รอบโบสถ์ และชอบมากที่มีเสียงท่องตำราทั่วไปในวัด
ภาพที่ 5: ป้ายอนุโมทนาที่โบสถ์ โปรดสังเกตจะเห็นยอดเงินบริจาคเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ จากชาวเขมรอพยพไกลบ้านไกลเมือง ท่านเหล่านี้มีส่วนช่วยพลิกฟื้นแผ่นดินเขมร... สาธุ สาธุ สาธุ
ภาพที่ 6: อาคารห้องสมุด ท่านพระสา แอมกล่าวว่า ที่นี่มีหนังสือภาษาไทย เช่น ตำราพระอภิธรรม พระไตรปิฎก อรรถกถา ฯลฯ เพราะภาษาใกล้เคียงกัน พระภิกษุ สามเณร แม่ชีที่อ่านไทย พูดไทยได้ก็มี
ภาพที่ 7: ป้ายอนุโมทนาที่อาคารห้องสมุด โปรดสังเกตธงพระฉัพพันนรังสีด้านบน
เดือนนี้พระ เณรไม่ออกบิณฑบาต เพราะมีเจ้าภาพมาถวายภัตตาหารไว้ทั้งเดือน ทุกรูปมีปิ่นโตพร้อม
พระภิกษุที่นั่นสละกุฏิชั่วคราวให้แม่ชี 2 ท่าน 1 หลัง และสละให้ผู้เขียน 1 หลัง ทราบมาว่า ที่นั่นยังไม่มีไฟฟ้าเข้า
ภาพที่ 8: รอบๆ วัดเป็นนา มีต้นตาลปลูกไว้ทั่วไป ถูกใจผู้เขียนซึ่งชอบต้นตาลมากเป็นพิเศษ
ภาพที่ 9: ซุ้มประตูวัด โปรดสังเกตดินที่มีหน้าดิน(ดินดำ)บางมาก ลักษณะพื้นที่ที่มีหน้าดินบางคล้ายที่พบมากทางอีสานเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภาวะดินเสื่อมโทรม และอาจเกิดทะเลทรายได้ในอนาคต...
ภาพที่ 10: กุฏิที่ผู้เขียนมีโอกาสไปพัก อาจารย์แม่ชีมาลีกล่าวว่า "กุฏิที่นี่สบายอย่างกับเป็นแดนสวรรค์" ท่านว่าอย่างนั้น
ภาพที่ 11: ด้านในกุฏิมีรูปอาจารย์บุด สาวงสมัยที่บวชเป็นพระแขวนไว้ด้วยความเคารพ เข้าใจว่า ท่านสึกไปรักษาโรคหลายอย่างหลังยุคเขมรแดง โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบซีทำให้ท่านเป็นตับอักเสบเรื้อรัง เป็นลมไปหลายครั้งทีเดียว
ภาพที่ 12: หิ่งห้อยในห้องพัก บินไปบินมา เลยตกน้ำในห้องน้ำ โปรดสังเกตแบบเรืองแสงด้านท้อง (สีเขียวเหลือง)
ภาพที่ 13: อาจารย์สาเรนกรุณาทำอาหารเช้าง่ายๆ แบบเขมร เป็นปลาร้าผัดหมู มีแตงกวาเป็นผักเคียง มีน้ำส้มสายชูใส่พริกหน่อยหนึ่ง อาจารย์สาเรนบอกว่า คนเขมรทำอะไรก็ใส่ปลาร้าไปหน่อย ใส่พริกไม่มากหรอก คุณแม่ท่านทำแกง 1 หม้อใช้พริก 1 เม็ด...
ภาพที่ 14: มื้อนี้มีผลไม้เป็นส้ม.... คุณแม่ชีมาลีบอกว่า พลิกไปมา พบว่า ส้มมาจากไทย ส่วนพลับมาจากจีน มีทั้งแบบสดและแห้ง เสียดายที่ไม่มีผลไม้จากกัมพูชา
เชิญอ่านตอนต่อไป:
แหล่งที่มา:
เชิญอ่าน:
-จุมเรียบซัว ครับ ท่านอาจารย์หมอวัลลภ
-ตัวผมเองยังไม่เคยไปกัมพูชาเลยสักครั้ง ไม่ใช่ไม่อยากไป ไม่อยากใคร่รู้นะครับ โอกาสต่าง ๆ มันคลาดไปทุกที คิดว่าสักวันคงได้มีโอกาสดีเข่นนี้บ้าง
- ตอนนี้ขอตามอาจารย์หมอไปโดยการอ่านบันทึกชุดนี้ไปก่อน จะได้ไปจริง ๆ แล้ว จะกลับมาศึกษาให้ละเอียดอีกครั้งก่อนไป
-บันทึกชุดนี้น่าติดตามและมีประโยชน์มากครับ ขอขอบคุณอย่างยิ่งครับที่กรุณาบันทึกอย่างดี มีภาพประกอบและคำอธิบายภาพอย่างดี มาฝากเรา
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์วิบูลย์ และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ผมเชื่อว่า...
ขอขอบพระคุณอาจารย์ และท่านผู้อ่านที่กรุณาให้เกียรติอ่าน และแวะมาเยี่ยมเยียนครับ...
ถ้าคนขแมรร่วมมือกันรักชาติอีกไม่กี่ปี คนไทยก็ไม่กล้าดูถูกขแมรอีกแล้ว สิ่งที่คนไทยดูถูกขแมรไม่ได้เลยตอนนี้คือศิลปะวัฒนธรรม ภาษา แต่ที่ดูถูกได้คือ ความยากจน ประเทศล้าหลัง
คนขแมรอีสานไต้ ก็โดนดูถูกไปด้วย แต่มีสิ่งเดียวที่เชิดชูคอได้ที่สุดก็คือ วัฒนธรรม ภาษาขแมร ที่พวกผมรักนักรักหนา
กันตรึม เจรียง เบริณ อาไย ฯลฯ รวมทั้งภาษาขแมร ที่ทำให้พวกผมอยู่ในสังคมชาวสยามได้อย่างไม่อายใคร
ขอขอบคุณอาจารย์ "ขแมร" และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ผู้เขียนเห็นคนเขมรเก่งๆ มาก เช่น
ความจริง... [เรื่องดูถูก]
การที่กัมพูชายากจน...
คนอีสานใต้...
ตำรา มสธ. กล่าวว่า
ขอขอบคุณ...
ข้อมูลเยอะ น่าเชื่อถือครับ ออร กุณ
ขอขอบคุณอาจารย์ขแมร และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ขอขอบคุณครับ...