สวัสดีค่ะ คุณดอกแก้ว,
ขอบคุณอีกครั้งค่ะสำหรับเรื่องเล่าดี ๆ อ่านแล้วเห็นภาพตามเป็นช้อท ๆ ชนิดนำไปเขียนสคริปต์สร้างหนังเลยค่ะ เป็นเรื่องที่ซาบซึ้งมาก และคุณดอกแก้วก็เล่าได้ดีมากด้วย
ฟังแล้วนึกภาพลักษณะนิสัยคนญี่ปุ่น typical สมัยก่อนออกเลยนะคะ สมัยก่อนนั้นฟังดูว่าจะมีลักษณะประจำชาติร่วมกัน คือสมถะ ประหยัด เรียบง่าย จริงจัง ตั้งใจ รักธรรมชาติ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมและไม่นึกถึงตัวเอง
ฟังแล้วนึกถึงหลักบูชิโดของซามูไรเปี๊ยบเลยค่ะ คุณดอกแก้ว ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลย เพราะจากที่พอทำทบทวนวรรณกรรมในวิทยานิพนธ์แล้วพบว่ามันมีอิทธิพลเข้าไปในทุกชนชั้นของญี่ปุ่นจริง ๆ ค่ะ ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นซามูไร และแม้นแต่จะยกเลิกการปกครองโดยชนชั้นซามูไรไปแล้ว
โดยเฉพาะการท่องมาอย่างโดดเดี่ยวเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนเล็ก ๆ อย่างนี้น่ะค่ะ ฟังแล้วมูซาชี้ มูซาชิ
งานของคุณดอกแก้วนั้นดีจังเลยนะคะ ทำให้ได้สัมผัสกับคนที่มีจิตใจงดงามอยูบ่อย ๆ
ทำให้รู้สึกนึกอนุโมทนาไปด้วยอยู่ทุกทีที่ได้อ่านเรื่องราว ดีจังค่ะ
อ้อ, วันนี้มีเรื่องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณดอกแก้วด้วยล่ะค่ะ ดีใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เสียที หลังจากที่ได้แค่ตามอ่าน ตามชื่นชมอยู่อย่างเดียว
คือแนวคิดเรื่องเขียนชื่อผู้ทำไปบนอิฐนี่น่ะค่ะ บังเอิญเพิ่งทราบที่มาที่ไปมาหมาด ๆ เลยล่ะค่ะนี่
มันมีที่มามาตั้งแต่สมัยยุคโตกุกาว่าแล้วล่ะค่ะ อย่างน้อยนะคะ นั่นก็คือ เมื่อราว ๆ ๔๐๐ ปีที่แล้ว
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว ระหว่างช่วงที่ยังรับทุนวิจัยอยู่ญี่ปุ่น ได้มีโอกาสไปเดินโต๋เต๋อยู่หลายปราสาท หลายเมืองค่ะ
แหม....ก็ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับซามูไรนี่คะ ฮิ ๆ ก็ต้องเอาเงินทุนไปเที่ยว เอ๊ย ไปเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์บ้างเป็นธรรมดา
ระหว่างเดิน ๆ ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่ฐานปราสาท นิโจ ของโชกุน โตกุกาว่า ที่เกียวโต นั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขีดเขียนเหมือนเป็นรอยสลักบ้าง รอยขีด ๆ บ้าง บนหินก้อนยักษ์ต่าง ๆ ที่เขานำมาก่อเป็นฐานปราสาท
หินแต่ละก้อนไม่ใช่เล็ก ๆ นะคะ โห....ใหญ่มากกกกก และสมัยก่อนก็ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทคด้วย ในการปราสาทยักษ์ขนาดนั้น (ขนาดกว้างขวางที่สุดในโลกสมัยนั้นแล้วมั้งคะ บรรดาปราสาทต่าง ๆ ของอิเอยาสุน่ะค่ะ โดยเฉพาะที่เอโด) เห็นแล้วก็ยังนึกว่าเขาลากกันไปยังไงเนี่ย แล้วไปเรียงกันเรียบร้อยสวยงามเป็นทรงปิรามิดขึ้นไปเป็นฐานปราสาทอีก
สักพักคุณไกด์ของรัฐบาลญี่ปุ่นก็โฉบมาอธิบายเรื่องรอยสลักบนหินยักษ์เหล่านั้นค่ะ โดยบอกว่า สมัยก่อน เนื่องจากระบบโชกุนนั้น ใช้เจ้าแคว้นแต่ละแคว้นให้ช่วยกันขนหินมาใช้ในการก่อสร้างปราสาทส่วนกลางของโชกุน เหมือน ๆ กับเป็นการแสดงความสวามิภักดิ์ และการส่งส่วยกลาย ๆ ด้วย.....
ดังนั้น ใครส่งหินใดเข้ามา มาร่วมก่อสร้างมากน้อยแค่ไหน หินดีหรือไม่ ใครเป็นคนรับผิดชอบ จึงมีการสลักชื่อเจ้าแคว้นนั้น ๆ ลงไปบนหินเหล่านั้นไงคะ
อุ๊ย...เมื่อกี๊มือไปโดนปุ่มกดส่งออกไป แหะ ๆ ยังพิมพ์ไม่เสร็จเลย
อ้าว เลยลืมไปเลยว่าจะพิมพ์อะไร ฮิ ๆ สงสัยจะแก่แล้วเรา
คุณ เซนเซ ท่านนี้น่ารักมากนะคะ ตรงที่เจอแมลงก็ไม่ฆ่าด้วย แต่ค่อย ๆ หยิบออก
แถมทานข้าวมื้อเดียวอีกต่างหาก โห....ฟังแล้วเหมือนพระป่า พระปฏิบัติเลยค่ะ สมถะจริง ๆ
อ้อ, นึกออกแล้ว จะบอกว่า คนญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้จำกัดคำว่า เซนเซ เฉพาะไว้เรียกครูบาอาจารย์เท่านั้นน่ะค่ะ คุณดอกแก้ว
เอาไว้เรียกใครที่เราเคารพด้วยก็ได้ในเชิงความรู้กึ่ง ๆ วิชาอาชีพ เช่น ไว้เรียกเวลาคุยกับคุณหมอก็ได้ค่ะ ก็เรียกว่าเซนเซเหมือนกัน
หรือถ้าดูจากรากศัพท์ ก็จะยิ่งเข้าใจและ appreciate การที่คนจีนและญี่ปุ่นเลือกคำ ๆ นี้มาใช้เรียกคนกลุ่มนี้ที่เขาเคารพนับถือ ไม่ว่าจะด้วยความเป็นครูบาอาจารย์ ที่ "สอน" เราในชีวิตจริง ไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ หรือว่าผู้ที่มีบุญคุณกับเรา
เพราะตัวอักษรนั้น ให้เกียรติกับ "ผู้ที่มาก่อน" หรือ "ผู้ที่ใช้ชีวิตมาก่อน" เรานั่นเองค่ะ อารมณ์ประมาณคนไทยเรียกว่า "อาบน้ำร้อนมาก่อน" นั่นเอง
เซน แปลว่า ก่อนหน้า เซ หมายถึงชีวิต
ชีวิตของคุณเซกิกาว่าท่านนี้ เป็นคนรุ่นก่อนหน้า ที่เราคนรุ่นหลังน่าศึกษาและให้เกียรติเสมือนท่านเป็นอาจารย์เราคนหนึ่งจริง ๆ ค่ะ
คนสุรินทร์เรียกท่านอย่างนั้นน่ะถูกแล้ว....
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
มีค่ะมี มีทุกปราสาทเลยด้วย ที่ปราสาทนาโงย่าก็มีค่ะ คิดว่ามีถ่ายรูปไว้ไม่ทราบที่ไหนบ้าง ยังรื้อข้าวของไม่หมดเลยค่ะ จากญี่ปุ่น หาเจอเมื่อไหร่ (ว่าเซฟไว้ที่ไหนแหะ ๆ ) จะอัพโหลดรูปรอยสลักบนก้อนหินใหญ่ที่รากฐานปราสาทให้ดูนะคะ
คือไม่ได้สวยงามนะคะ เป็นเหมือนรอยขูดขีดข่วนซะละมากกว่า แต่อาจจะเป็นเพราะคนงานขนอิฐน่ะค่ะใช้เครื่องมือแถวนั้นทำเอาลวกๆ ไม่ใช่งานช่างฝีมือเขาแล้วเวลามันผ่านมานานหลายร้อยปีแล้ว
ใช่ค่ะ เซกิกาว่า เซนเซ ท่านอยู่แบบซามูไรสมัยก่อนจริง ๆ ด้วยนิ (ว่าแล้วอยากโค้งให้หนึ่งทีด้วยความเคารพ)
ณัชร
โถ...ชอบไหว้พระอาทิตย์ด้วยหรือคะ...อย่าพูดซิคะเดี๋ยวร้องไห้ด้วยคน เพราะกำลังจะมาเฉลยอีกแล้วว่าทำไมเขาถึงไหว้พระอาทิตย์...โถ...คุณตาเซกิกาว่า เป็นซามูไรจริง ๆ ด้วย ฮือ ๆ
เพิ่งกลับมาจากเรียนดาบคาบยาวเลยค่ะ สองคลาส สองวิชาดาบ กับเซนเซ แล้วก็คลาสหลังมีเรียนกับเด็กอนุบาลญี่ปุ่นตัวจิ๋ว ๆ ด้วย ฮิ ๆ น่ารักมาก ตอนนี้เลยเหนื่อยจัดจะเป็นลมแล้ว (ด้วยความหิว) เดี๋ยวจะมาคุยด้วยใหม่นะคะ คุณดอกแก้ว
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ มีรูปเซนเซ มั๊ยคะน้องปัถย์อยากเห็นจังค่ะ
ด้วยรักและชื่นชม
จากน้องปัถย์