ช่วงความเชื่อมั่นคืออะไร ทำไมต้องใช้ช่วงความเชื่อมั่นที่ 95%


ช่วงความเชื่อมั่น

สมมุติว่าเรากำลังทำแบบสำรวจเพื่อหาความสูงเฉลี่ยของนักเรียนมัธยมปลายในหาดใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะวัดส่วนสูงของนักเรียนทุกคน ดังนั้นเราจึงสุ่มตัวอย่างนักเรียนและคำนวณความสูงเฉลี่ยของนักเรียน ความสูงเฉลี่ยนี้เป็นค่าประมาณของความสูงเฉลี่ยที่แท้จริงของนักเรียนมัธยมปลายทุกคนในหาดใหญ่ 

ช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Interval) คือช่วงของค่าที่เราค่อนข้างมั่นใจว่ามีค่าจริงอยู่ ตัวอย่างเช่น หากเราคำนวณช่วงความเชื่อมั่น 95% สำหรับความสูงเฉลี่ย อาจมีลักษณะดังนี้คือ "เรามั่นใจ 95% ว่าความสูงเฉลี่ยของนักเรียนมัธยมในหาดใหญ่อยู่ระหว่าง 155-160 ซม." ซึ่งหมายความว่า หากเราสุ่มหยิบตัวอย่างมาหลายๆ ครั้ง และคำนวณความสูงเฉลี่ยในแต่ละครั้ง ใน 95 ครั้งจาก 100 ครั้ง ความสูงเฉลี่ยของนักเรียนมัธยมในหาดใหญ่จะอยู่ระหว่าง 155-160 ซม.

ช่วงความเชื่อมั่น 95% มักใช้ในงานวิจัยด้วยเหตุผลหลายประการ:

1. มาตรฐาน: ช่วงความเชื่อมั่น 95% เป็นมาตรฐานจึงได้รับการยอมรับและเข้าใจอย่างกว้างขวาง

2. การปรับสมดุลข้อผิดพลาด Type I และ Type II: ช่วงความเชื่อมั่น 95% แสดงถึงความสมดุลระหว่างความเสี่ยงของข้อผิดพลาด Type I และข้อผิดพลาด Type II 

ระดับความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น เช่น 99% จะลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด Type I แต่เพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด Type II ในทางกลับกัน ระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่า เช่น 90% จะลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาด Type II แต่เพิ่มความเป็นไปได้ของข้อผิดพลาด Type I 

ระดับความเชื่อมั่น 95% มักถูกมองว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมระหว่างข้อผิดพลาดทั้งสองประเภทนี้

3. แปลผลได้ง่าย: ด้วยระดับความเชื่อมั่น 95% นักวิจัยสามารถตีความผลลัพธ์ได้อย่างตรงไปตรงมา เพียงพอสำหรับวัตถุประสงค์ในการวิจัยส่วนใหญ่

4. กฎทั่วไปเกี่ยวกับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสองค่า: ในการแจกแจงแบบปกติ ข้อมูลประมาณ 95% อยู่ในค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสองค่าของค่าเฉลี่ย กฎนี้ทำให้ระดับความเชื่อมั่น 95% ง่ายต่อการเข้าใจและนำไปใช้ในทางปฏิบัติ

หมายเลขบันทึก: 712747เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2023 22:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2023 15:54 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่นชมอาจารย์มากที่เขียนอธิบายวิธีการทางสถิติได้อย่างกระชับ และน่าจะเข้าใจง่ายสำหรับคนทั่วไป พร้อมทั้งคิดถึงนักศึกษาที่ได้เรียนสถิติกับอาจารย์ คงได้เรียนรู้ คอนเซ็ปต์ ที่สำคัญ รวมทั้งการแปลความหมายที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ดิฉันคิดว่าผู้อ่านต้องมีความรู้ inferential statistics ทางทฤษฎีมากพอจึงเข้าใจสิ่งทีอาจารย์กล่าวถึงบางอย่าง ดังในบทความนี้ เช่น ข้อ 2 และ 4 ส่วนใหญ่ คง งงตาแตกเลย เพราะเป็นสิ่งที่ตำราส่วนใหญ่ไม่กล่าวถึง ไม่ให้ความสำคัญกับสองเรื่องนี้ อย่าว่าแต่การสอนในห้องเรียนที่ต้องแข่งกับเวลา ชอบคุณสำหรับบทึชความดี ๆมีคุณค่าที่อาจารย์นำมาให้อ่านกันเสมอ ๆ ค่ะ

ขอบคุณอาจารย์มากเลยค่ะ

หากคนที่กำลังทำวิจัย ต้องแปลผล ก็ต้องมีความรู้ระดับหนึ่ง

อ่านแล้วนำไปใช้แปลผลงานวิจัยได้ค่ะ

“ความง่าย” ทำให้ความรู้กระจายไปสู่คนทุกชนชั้นครับ ;)…

จะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายๆ ค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท