เป็นอีกวันหยุดที่รู้สึกมีคุณค่าและความหมายอย่างมหาศาล เพราะเป็นวันหยุดที่ชีวิตของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะเด็กๆ และเยาวชนในหมู่บ้านได้ใช้เวลาว่างมาเรียนรู้ร่วมกัน
วันนี้ (อาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2565) เด็กบ้านหลังเรียน (บ้านหนองบัว ตำบลดอนกอก อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์) ยังคงตื่นตัวที่จะรวมกลุ่มทำกิจกรรมสร้างสรรค์ในแบบฉบับของตนเอง ตามครรลอง “บันเทิงเริงปัญญา”
วันนี้ – ก่อนเข้าเวทีตามกำหนดการที่ถูกออกแบบไว้ ทีมงานได้รับแจ้งจากเด็กๆ ว่า “มีการบ้านจากโรงเรียน”
คำว่า “มีการบ้านจากโรงเรียน” ในที่นี้หมายถึง หลายต่อหลายคนต้องประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้ไปส่งครูที่โรงเรียน ซึ่ง ณ วินาทีนั้น “ทุกคนยังไม่ทำ”
แท้ที่จริงแล้ว วันนี้เราออกแบบกิจกรรมไว้คือการ “เพาะต้นไม้” เพื่อให้เด็กๆ นำไปเพาะเลี้ยงไว้ที่บ้านของตนเอง เพื่อเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียนรู้ร่วมกัน และผูกโยงเชิงปรัชญาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเติบโตของตนเองผ่านกระบวนการเติบโตของต้นไม้
ครั้นได้ฟัง “การบ้าน” ของเด็กๆ แล้ว ทั้งผมและทีมงาน ก็ปรับเปลี่ยนกิจกรรมตรงนั้นเลย – เรียกได้ว่า “ปรับหน้างาน” ด้วยการให้ทุกคนช่วยกันคิดว่า “จะทำอะไรดี”
คำตอบที่ได้ก็คือ “นำขวดพลาสติกมาทำเป็นกระถางต้นไม้และกล่องใส่ปากกา-ดินสอ-ไม้บรรทัด”
เมื่อได้คำตอบ/มติอันเป็นเอกฉันท์ เด็กๆ ก็ออกเดินเท้าเก็บขวดพลาสติกในพื้นที่ใกล้ๆ ตัวเพื่อนำมา “รีไซเคิล” - ตอนนั้นคิดในใจแบบง่ายๆ ว่า “ดีเหมือนกัน เป็นการเก็บขยะในหมู่บ้านไปในตัว” ซึ่งยึดโยงกับเรื่อง “จิตอาสาและสิ่งแวดล้อมในชุมชน” ไปพร้อมๆ กัน
การประดิษฐ์สิ่งของเหลือใช้เช่นนี้ เราให้ทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน มิใช่ให้ทำแต่เฉพาะคนที่ได้รับใบงาน-การบ้านมาจากโรงเรียน เป็นการย้ำเน้นถึงแนวคิดการเรียนรู้ความเป็นทีม การอยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง และเน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดเป็น "ทักษะ"
พอเสร็จสิ้นกิจกรรมข้างต้น ก็ถึงคิวกิจกรรม “เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน”
กิจกรรมเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน เป็นกิจกรรมที่เด็กๆ เรียกร้องต่อเนื่องมาสองสัปดาห์ แต่เรายังไม่สบโอกาสพาเด็กๆ เดินเที่ยวท่องเข้าไปในหมู่บ้าน เพราะคิดว่ายังอยากบ่มเพาะหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างให้มากกว่านี้สักหน่อย
ถ้าจำกันได้ในบันทุกก่อนหน้านี้ ผมและทีมงานออกแบบกระบวนการล่วงหน้าเพื่อเชื่อมโยง-ยึดโยงสู่กระบวนการ “เดินเท้าเข้าหมู่บ้าน” มาเป็นระยะๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ กระบวนการเรียนรู้จึงเริ่มต้นจากการ “เปิดวงโสเหล่” ว่า “(เรา)จะไปที่ไหนดี” โดยให้เด็กๆ ร่วมคิดและทบทวนไปยังกระบวนการที่ผ่านมา แล้วให้เด็กๆ ตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งคำตอบที่ได้มาก็คือ “สวนหลังบ้านของเพื่อนในกลุ่ม”
จะว่าไปแล้ว ถ้าจำกันได้ สถานที่จะไปนั้นมิใช่ข้อมูลใหม่ที่ผุดโผล่ขึ้นมาสดๆ ในวันนี้ แต่ปรากฏชัดเจนในเวทีแรกเริ่มที่สมาชิกในกลุ่มได้เปิดเปลือยถึง “พื้นที่ที่เขาหลงรัก” และนั่นก็มีน้ำเสียงที่ชัดแจ้งในการเชื้อเชิญเพื่อนๆ เข้าไปท่องเล่นด้วยกัน
ด้วยความที่ไม่ได้กำหนดพื้นที่ของการเข้าเรียนรู้ล่วงหน้า เราจึงไม่ได้ประสานผู้ปกครอง หรือเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวไว้ล่วงหน้า อาศัยว่า “คิดตรงนั้น-ตัดสินใจตรงนั้น” และเจ้าตัว อันหมายถึงเด็กในกลุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านยินดีปรีดาที่จะให้เพื่อนๆ ไปเยี่ยมเยียน –
เรากำหนดกติกาง่ายๆ (กติกาแบบหลวมๆ) ประมาณว่า ระหว่างที่เดินเท้าเข้าไปนั้น ให้สังเกตเรื่องราวระหว่างทางและจดบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ตามอัธยาศัย - เน้นการจดบันทึกลงในสมุดของแต่ละคน โดยแต่ละคนสามารถตั้งคำถามแล้วตอบเองก็ได้ จะตั้งคำถามไว้ก่อนโดยไม่ต้องรีบหาคำตอบก็ไม่ว่ากัน รวมถึงตั้งคำถามแล้วซักถามผู้ที่เกี่ยวข้องในระหว่างทาง ก็ย่อมสามารถกระทำได้
เรียกได้ว่า เปิดกว้างให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในแบบฉบับที่เขาถนัด !
การเปิดกว้างเช่นนี้ ไม่ใช่การไม่ให้ค่าความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กๆ หรอกนะครับ แต่เราต้องการให้เด็กๆ ไม่เคร่งเครียดกับการเรียนรู้ อยากให้พวกเขาเรียนรู้อย่างเพลิดเพลินและมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ด้วยวิธีการของเขาเอง ซึ่งวิธีการ หรือกระบวนการที่ว่านั้น จะเป็นไปในเชิงปัจเจกบุคคล หรือพวกเขาร่วมกันออกแบบ ก็ได้
ทั้งผมและทีมงาน แอบมีความหวังแบบลึกเร้นเงียบๆ ในใจว่า การเดินเท้าเข้าหมู่บ้านครั้งนี้จะช่วยจุดประกายและนำไปสู่การเกิดกระบวนการบางอย่างในตัวตนของเด็กๆ เสมือนการหว่านเพาะเมล็ดบางอย่างลงในตัวตนของเด็กๆ อาทิเช่น ทักษะการสังเกต การจดจำ การบันทึก การขบคิด ฯลฯ
หรือแม้แต่การยกระดับขึ้นมาที่หมายถึง เด็กๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า...
และที่สำคัญ สถานที่ตรงนั้น พร้อมที่จะเป็น “ห้องเรียนชีวิต” ให้เด็กๆ ได้ย่างกรายเข้าไปเรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมด้วยหรือไม่
ถ้าได้รับการอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ นั่นหมายความว่า ได้เวลาที่กระบวนการ “ข้าวสุก-ปลาตาย” ต้องกรีดกรายออกมาสบตากับเด็กๆ เสียแล้ว
ครับ – ถ้าเกิดขึ้นจริง มันคงวิเศษมากๆ
เขียน : 1 กรกฎาคม 2565
ภาพ : ธัญวรัตม์ มีชาติ
ไม่มีความเห็น