ผมดูหนัง Minamata ทาง Netflix ด้วยเพราะจอนนี่ เดปป์แสดงนำ น่าสนใจหนังเรื่องนี้เป็นแนวสารคดี พูดถึงเหตุการณ์ที่มาจองโรคมินามาตะ ที่สมัยผมเด็กได้เรียนในโรงเรียน เป็นโรคที่น่ากลัว ประมาณสมองพิการ สาเหตุเกิดจากการปล่อยของเสียของโรงงานผลิตสารเคมี ที่ชาวบ้านและรัฐบาลเองในช่วงแรกดีใจมากๆ ที่โรงงานมาตั้งที่นี้ แต่สักพักหายนะก็คืบคลานมา เด็กเกิดใหม่กลายเป็นเด็กพิการทางสมอง จำนวนมีมากขึ้นเป็นร้อยๆ คน
คนท้องถิ่นที่เจอผลกระทบในครอบครัว เช่นมีลูกที่มีความพิการทางสมอง ก็เริ่มออกมาเรียกร้องแต่ก็ถูกปิดปากด้วยอิทธิพลของเจ้าของโรงงาน และข้าราชการ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ และที่สุดหนังก็เริ่มพูดถึงสุภาพสตรีลึกลับที่พยามไปโน้มน้าวช่างภาพระดับโลกคุณยูจีน จากนิตยสาร Life Magazine ที่มีอิทธิพลระดับโลก ให้ช่วยมาดูหน่อย ยูจีนก็ไม่สน แต่สักพักก็อ้าว ลองไปดูหน่อย เมื่อไปเจอของจริง เด็กสมองพิการเต็มหมู่บ้าน ยูจีนเลยเริ่มทำการขุดคุ้ย ร่วมกับแนวร่วมในท้องถิ่น ตัวเองต้องบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย
ที่สุด ก็เริ่มมีการบุกเข้าไปหาหลักฐานเอามาเปิดเผย ภาพถ่ายเริ่มจุดประกายบรรณาธิการของนิตยสาร ยูจีนได้รับการอนุมิตให้ลงไปขุดคุ้ย จนเริ่มมีการเผยแพร่ภาพที่น่าเวทนาของเด็กๆ และผู้คนที่ได้รับผลกระทบจนทำมาสู่การเปลี่ยนแปลงจุดประกายรัฐบาลและ สาธารณชน ที่สุดนำมาสู่การชดเชยและเปลี่ยนกฏหมายในญี่ปุ่น
ถามว่าผมได้อะไรจากเรื่องนี้ได้สองสามประเด็นครับ
อิคิไก อันแรกเลยถ้าตามนิยามของคำว่ารักเก่ง โลกต้องการ เป็นอาชีพนี่ใช่ครับ ผมตัดภาพไปที่เจ้าของโรงงานที่ยูจีนทัวร์โรงงานสารเคมี เขาบอกว่าเขากำลังทำอะไรที่ดีงามโรงงานเขาเก่งเรื่องสารเคมีสำหรับทำปุ๋ย ชาวบ้านในญี่ปุ่น และทั่วโลกกำลังต้องการสารเคมีจากเขาเพื่อทำให้การเกษตรดีงามขึ้น แถมบอกว่าชาวบ้านที่นี่ก็ได้ประโยชน์ด้วยเพราะทำให้พวกเขามีงานทำ จะว่าไปถ้าเอานิยามนี้จากหนังสือของทิม ทามาชิโร่ นี่ก็ดูใช่ครับ ดูด้วยนิยามไหนก็เรียกว่าอิคิไก แต่กาลเวลาผ่านไปเกิดสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้น โรงงานปล่อยสารปรอท ทำร้ายคนจนพิการหลายร้อยคน นี่เริ่มไม่ใช่อิคิไกแล้วครับ มีคนจำนวนมากที่เริ่มไม่ต้องการโรงงานนี้ นี่เริ่มไม่ใช่อิคิไกแล้ว กลายเป็นเป้าหมายเพื่อการรักษาสถานภาพและความมั่นคงธุรกิจ นี่เรียกว่าอยู่ด้วยความโลภ โกรธ หลงล้วนๆ ไม่รับผิดชอบ แต่โรงงานก็ยังอยู่ต่อไป เพราะมีคนไม่รู้จำนวนมหาศาล ก็ยังต้องการที่นี่อยู่ เห็นไม่ครับไม่มีอิคิไกก็อยู่ได้ แต่ไม่ยั่งยืนซะแล้ว เพราะชาวบ้าน เริ่มต่อต้านขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ต้องการอาชีพ หรือใครก็ตามที่ทำให้ลูกหลานเขาพิการ เขาไม่มีความสุขสักนิดกับการทำงานให้โรงงานปีศาจแห่งนี้
และนี่จึงกลายการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าโคโคโระซาชิขึ้นมา (ตัวนี้ฝรั่งเรียกว่า Purpose หรือคนไทยเรียกว่าปณิธาน) ชาวบ้านเจอผลกระทบทางลบที่รุนแรงมาก จึงอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกขึ้น พวกเขาเลยทุ่มเทชีวิตเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อสังคมนั้น นี่เรียกว่าโคโคโระซาชิ จะมองว่าเป็นอิคิไกก็ได้ แต่เป็นอิคิไกระดับปณิธาน
เพราะฉะนั้นโรงงานก็ทุมเททำต่อไปอย่างมีอิคิไก ชาวบ้านก็ทุ่มเทพยายามเปลี่ยนแปลงไม่ให้โรงงานอยู่ที่นี่ออกต่อไป ชาวบ้านเป็นฝ่ายแพ้ครับ โรงงานแน่กว่าล้ำ กว่า รวยกว่า การเมืองหนุนหลังด้วย ขาวบ้านนอกจากยากจนแล้ว ยังมีภาระต้องเลี้ยงลูกพิการ บางครอบครัวหลายคนเลย การเมืองก็ไม่เข้าข้าง
แล้วทำไงล่ะ ฉลาดมากครับสุภาพสตรีลึกลับท่านนั้นที่ไปหายูจีนถึงอเมริกา จนเชิญชวนช่วงภาพที่ดังที่สุดในโลกมาลงพื้นที่ได้ ทั้งสองร่วมต่อสู้กับชาวบ้านจนสำเร็จและก็แต่งงานกันไปในที่สุด
เรื่องนี้อธิบายได้ด้วยอะไรครับ
จะว่าไปสุภาพสตรีคนนี้ก็มีโคโคโระซาชิ และสามารถจูงใจให้ยูจีนช่างภาพที่ทำงานให้นิตยสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเล่มหนึ่งให้มามีโคโคโระซาชิได้ นี่ไม่ธรรมดา บังเอิญผมไปอ่านหนังสือเรื่อง Career Resilence ของ Harvard นี่อธิบายได้เลยครับ
อธิบายได้ว่าสุภาพสตรีท่านนี้และชาวบ้านรู้จักยืดหยุ่น (Resilience) ซึ่งแปลว่าเห็นชัดว่าสู้ไม่ได้ แพ้ก็ลุกขึ้นยืนใหม่ สู้อีก ก็ไม่ถอยทำเองไม่ได้ ก็หาคนช่วย แล้วเขาหาใครช่วย เล่มนี้บอกว่าการที่คุณจะยืดหยุ่นล้มแล้วลุกได้ ดีที่สุดคุณต้องมี Network หรือเครือข่ายช่วยคุณครับ เครือข่ายมีสามประเภท
1.เครือข่ายงานประจำ (Operational Network) เครือข่ายที่ทำให้งานประจำวันของคุณราบรื่นขึ้น
2.เครือข่ายมืออาชีพ (Professional Network) เครือข่ายที่ทำให้คุณล้ำขึ้นเป็นมืออาชีพขึ้น
3. เครือข่ายเชิงกลยุทธฺ์ (Strategic Network) กลุ่มคนที่ทำให้คุณบรรลุฝันที่ยิ่งใหญ่ เกินตัวตนเอง
คุณจะเห็นว่าชาวบ้านก็พยายามสู้กันเองแต่ส่วนใหญ่ก็ช่วยกัน แต่สู้ไม่ได้ เพราะโรงงานก็มีเครือข่ายเช่นกัน มีทั้ง Operational Network เช่นรปภ ที่เก่งกาจ Professional Network มืออาชีพนักเคมี นักอุตสาหกรรมที่คอยสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ และ Strategic Network ที่คอยสนับสนุนปิดข่าว หรือบิดเบือนความจริง ในขณะที่ชาวบ้านช่วงแรกสู้ด้วยมือเปล่าดูเหมือนมีแค่
ชาวบ้านที่คอยส่งข้าวน้ำให้กัน (Operational Network) ไม่มีเครือข่ายมืออาชีพ และเครือข่ายกลยุทธ์มาสนับสนุนเลย
แต่ที่สุดก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเริ่มมองหาคนนอกพื้นที่ และก็ได้ยูจีนช่างภาพจอมแฉระดับโลกมาลงพื้นที่ นี่เลยได้ Strategic Network การปรากฏตัวของยูจีน ยังนำเครือข่ายมืออาชีพ ตามหลังมาเป็นพรวนตั้งแต่บรรณาธิการ เพื่อนนักข่าว
การประสานงานในกลุ่มแข็งแกร่งมากขึ้น จนเจาะเข้าไปในค้นหาความลับในโรงงานได้ ที่สุดเรื่องราวถูกเผยแพร่และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตลอดกาล นี่ไงครับความสามารถในการยืดหยุ่นที่ผมพูดถึงอย่ายอมแพ้ครับ ล้มแล้วลุก แต่ต้องหาคนช่วย
เอาเป็นว่ามีอิคิไก หรือโคโคโระซาชิกอาจไม่พอ นอกจากที่จะต้องมีศีลธรรมคุณธรรมแล้ว
ถ้าอยากทำงานได้เร็วขึ้น ก็ต้อง Operational Network อยากทำงานได้แตกต่างมีชื่อเสียงในอาชีพต้อง Professional Network แต่อยากทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วยกำลังของคุณเอง ชนิดล้ำไปกว่าคู่แข่งที่มีพลังอำนาจทางเศรฐกิจ และการเมืองหลายปีแสง คุณต้องการ Strategic Network ครับ สำหรับวันนี้พอเท่านี้ครับ ขอบคุณหนัง Minamata ที่เปิดโอกาสให้พวกเราได้เรียนรู้เรื่องอิคิไก โคโคโระซาชิ ไปจนถึงเรื่องความยืดหยุ่นและเครือข่ายครับ
บทความโดยดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์ IKIGAI School
หมายเหตุ: ท่านที่สนใจหลักสูตร IKIGAI@Work อิคิไกสำหรับสร้าง Employee Engagement เป็นหลักสูตร In-house ติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/IkigaiSchool1/
ไม่มีความเห็น