ก่อนวันสิ้นปีจะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ มีนิสิตรุ่นน้องที่เรียนจบไปแล้วโทรศัพท์มาปลุกผมตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีอะไรสำคัญนักนอกจากการโทรมาสวัสดีปีใหม่ตามประสาคนคุ้นเคยในวิถีกิจกรรม... แต่ผมก็ไม่ลืมแซวกลับไปว่า "ยังไม่สิ้นปีเลย นะ"
เขากำลังเริ่มทำงานในองค์กร NGO ที่ไหนสักแห่งซึ่งผมเองก็จำไม่ได้ เขาบอกว่ายังจดจำเรื่องราวและเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ผมเคยแลกเปลี่ยนกับเขาเมื่อครั้งสมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ซ้ำยังนำไปใช้เป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตและการทำงานได้เป็นอย่างดียิ่ง
นอกจากนั้น...เขายังเล่าให้ฟังว่าไม่นานมานี้มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตคนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาพูดถึงเรื่อง "อุดมคติของคนหนุ่มสาว" แต่มีนักศึกษาทักและแย้งว่า "อุดมคติ" เพื่อคนยากไร้ ไม่น่าจะสำคัญและจำเป็นกับคนในยุคสมัยนี้ เพราะไม่ว่าใครก็เดือดร้อนกันทั้งนั้น ! ขอให้ "เอาตัวให้รอด" โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นก็ถือว่าดีถมไปแล้วมิใช่หรือ ? !!
หรืออาจจะเป็นเพราะคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยผูกติดกับความสะดวกสบายมากเกินไป เสี้ยวหนึ่งของ "ความเป็นคน" ก็เลยหล่นหายไปบ้าง (ก็อาจเป็นไปได้) และแน่นอน,การเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ดี แต่จะมีค่าแค่ไหน มันน่าจะขึ้นอยู่กับว่า เรียนเพื่ออะไรเป็นสำคัญ ? (ผมรำพึงรำพันกับตนเองโดยไม่ให้เขาได้ยิน..)
นอกจากนี้, ผมให้กำลังใจเขาว่า "คนเราน้อยนักที่จะเห็นความทุกข์ยากของคนอื่นเป็นเสมือนความทุกข์ยากของตนเอง" โลกของการเรียนและการทำงานย่อมมีทฤษฎีที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่ควรตระหนักเสมอว่า "คนเราต้องมีอุดมคติ" ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ผันผวนไปอย่างไร เราก็ต้องมีอุดมคติในการใช้ชีวิต...โดยเฉพาะที่ขาดไม่ได้ก็คืออุดมคติแห่งการ "แบ่งปัน"
ที่สำคัญคือการกล่าวย้ำอีกครั้งว่า, คนเราจำเป็นต้องมีอะไรเป็นสิ่งยึดมั่นให้กับตนเองและอุดมคตินั่นแหละคือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์
ผมรู้ดีว่าเขากำลังถูกทดสอบจากสังคม ยิ่งเขาเป็นนักกิจกรรมที่เสียสละตนเองเพื่อคนอื่นเสมอมา เมื่อได้ฟังถ้อยคำของหนุ่มสาวเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บร้าวและผิดหวังอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังปลอบประโลมกับเขาว่า "ความเจ็บปวดนั่นแหละที่จะช่วยให้เขารู้สึกตัวว่ายังมีชีวิตอยู่และมีลมหายใจที่จะก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง" และขอให้เขาดุ่มเดินต่อไปอย่างช้า ๆ แต่อย่าถอยหลัง และต้องไม่ลืมหยุดพักเพื่อเติมแรงใจให้กับตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องไม่ลืมว่า หากต้องเผชิญกับความหม่นเศร้า ก็ให้บอกกับตัวเองเสมอว่า เรื่องดี ๆ จะยังมีเข้ามาเสมอ เพียงแต่ต้องกล้าหาญที่จะรอคอย
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แล้วที่ผมมักให้ของขวัญแก่น้อง ๆ และสิ่งเดียวที่ผมให้กับพวกเขาก็คือ "หนังสือ" จนเป็นที่รู้กันว่า "หนังสือ" เป็นสื่อสะท้อนความรักที่ผมมีให้กับผู้คน ซึ่งผมก็ไม่เคยให้ของขวัญกับผู้ซึ่งผมเรียกพวกเขาทั้งหลายว่า "คนของความรัก" เป็นอื่นใดนอกจากหนังสือ
ผมบอกเขาว่า ถ้ามีเวลาหลังปีใหม่ให้แวะมาหาผมบ้าง จะได้ให้" หนังสือ" ไปอ่านสักเล่ม ซึ่งเขาก็ตกปากรับคำว่า "มาแน่..." แต่ขอเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาหรืออุดมคติอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับคนหนุ่มสาว
ผมบอกกับเขาว่า "แม่จันสายน้ำที่ผันเปลี่ยน" คือหนังสือที่ผมจะมอบให้กับเขา ...เขาร้องเสียงหลงดังผ่านโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น เพราะหนังสือเล่มนี้บ่อยครั้งเหลือเกินที่รบเร้า วิงวอนขอไปจากผม กระนั้นผมก็ยังไม่ได้มอบให้กับเขา เพราะมีอยู่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณสัก 5 ปีที่แล้ว ผมซื้อมาแจกผู้นำนิสิตมากกว่า 10 เล่มเลยด้วยซ้ำไป
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยอดีตสมาชิกวุฒิสภา "เตือนใจ ดีเทศน์" ที่ครั้งหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาวจากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผันชีวิตจากนิสิตธรรมดาไปสู่ถนนสายกิจกรรมและเคยออกค่ายอาสาพัฒนาไปช่วยเหลือ "ชาวเขา" ในภาคเหนือของไทย ต่อมาก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบัณฑิตอาสาทั้งในบทบาทของนิสิตอาสา จนท้ายที่สุดหลังจบการศึกษาก็พาตัวเองไป "ฝังตัว" อุทิศตนช่วยเหลือชาวเขาหลากเผ่าท่ามกลาง ขุนเขา หมอกหนาว สายน้ำ ต้นไม้ และสวนผักบนดอย อันเป็นหมู่บ้านที่เรียบง่าย สมถะและอบอวลด้วยไมตรีจิต
อันที่จริง, ผมก็ใจหายอยู่มิใช่น้อยที่ "แม่จันสายน้ำที่ผันเปลี่ยน" ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเล่มเดียวที่มีอยู่กำลังจะถูกมอบให้คนอื่นไป
มันเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวอุดมคติของคนหนุ่มสาวในยุคหนึ่งที่ยังทรงพลังอยู่อย่างไม่รู้จบ
แต่ก็ช่างเถอะ...ผมคงสามารถซื้อหาใหม่ได้ในไม่ช้า
และการให้หนังสือแก่น้องท่านนี้ เป็นการให้แก่ "คนของความรัก" ที่เราเคยร่วมชะตากรรมบนถนนสายกิจกรรม
หากจะไม่สามารถหาซื้อได้อีก ก็ไม่น่าจะเสียดายหรือเสียใจ เพราะเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วย "เติมไฟฝัน" มิให้มอดไหม้ไปจาก "อุดมคติ" ของเขา เพราะถ้าขืนยังเก็บไว้กับตัวเอง บางทีไฟฝันอุดมคติในตัวของเขาอาจมอดดับไปในไม่ช้าก็เป็นได้....
และอาจต้องเตรียมหนังสืออีกหลายเล่มไว้กำนัลเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้มาเยือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ก็เป็นได้ !
ผมอ่านบันทึกนี้ ทำให้ผมคิดถึงหนังสือของผม ที่ผมเคยมี
"แม่จัน สายน้ำที่ผันเปลี่ยน" เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมอ่านบนดอย ชีวิตคุณเตือนใจ ดีเทศน์ ช่างเหมือนชีวิตของผมตอนทำงานกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์เสียจริงๆ
ผมไม่เคยลืมวันเวลาที่ผมเคยทำงาน เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับพี่น้องบนดอยสูง อุดมการณ์ที่แรงกล้าคราเมื่อทำงานใหม่ ไม่เคยรู้สึกเหนื่อย
ที่นึกถึงหนังสือเล่มนี้เพราะ ผมได้มอบให้ ทหารคนหนึ่ง มิตรแท้ที่รู้จักบนดอย เพื่อให้เขาอ่านและเขาชอบ ถือโอกาสมอบให้เลย...
วันนี้ผมยังจำทุกบททุกตอนในหนังสือเล่มนั้น
แม้ยุคสมัย เปลี่ยนไปและเปลี่ยนแปลง
หนังสือดีๆเล่มเล็กๆก็ยังทรงคุณค่าเสมอ
ผมได้หนังสือดีมาเล่มหนึ่ง อ่านยังไม่จบ
คุณแผ่นดิน มีหรือยัง
หนังสือ ชื่อว่า โม
ตอนนี้ผมเขียนหนังสือ อยู่เล่มหนึ่ง ขนาดพ็อคเก็ตบุ๊ค ต้นฉบับเสร็จแล้ว กำลังอยู่ในช่วงทำอาร์ทเวิร์กและบรูฟ
ตัวอย่าง คำเปิดเล่ม หนังสือ "ทางไกล เส้นทางสีขาว"
คาดว่าอีกไม่นานเกินรอครับ คงจะคลอดออกมาเสร็จสมบูรณ์ แล้วผมจะส่งให้คุณแผ่นดินนะครับ
เห็นชอบ...มอบหนังสือ...ค่ะ
หนังสือทุกเล่มเมื่อเราอ่านจบ เราจะพบว่าแต่ละเล่มมีคุณค่าแตกต่างกัน เฉกเช่นเดียวกับการอ่านนิสัยใจคอคน เมื่ออ่านให้ซึ้งอ่านให้ดีก็พบว่าทุกคนมีดีมีคุณค่าอยู่ในตัวตน แต่เรามักอ่านใจคนไม่เคยจบ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือ นี่คือความต่างในความเหมือน
มอบหนังสือที่ดีที่สุด...มีคุณค่าที่สุด ให้กับคนที่เรารัก หนังสือเล่มนั้นคือ "หนังสือ...น้ำใจ"
คุณ จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร และ Vij
มีบทกวีที่ไพวรินทร์ ขาวงาม เขียนไว้และมีวรรคหนึ่งที่เกี่ยวกับหนังสือ รวมถึง การกล่าวในทำนองการร่วมแบ่งปันเรียนรู้ในวิถีโลกและชีวิต ก็เลยเก็บมาฝาก
"มีหนังสือบางเล่มให้เราอ่าน
มีนิทานบางเรื่องให้เราฝัน
มีบทเพลงบางเพลงรำพึงรำพัน
เข้าใจกันได้บ้างบางเรื่องราว
เราเป็นเพียงผู้เดินทาง
พบกันได้ในระหว่างทางเหน็บหนาว
ร่วมสุมฟืนก่อไฟใต้แสงดาว
เล่านิยายยืดยาวสู่กันฟัง"
จาก..หนังสือรวมบทกวี ฤดีกาล
หนังสือชื่อ โม
ผู้แต่ง ลารา ริโอส
ผู้แปล รัศมี กฤษณมิษ
พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2549