วันนี้มีโอกาสได้อ่านรายงานวิจัย เรื่องการศึกษากระบวนการพัฒนาชมรมสร้างสุขภาพ จังหวัดพัทลุง ซึ่งดำเนินการโดยสมเกียรติยศ วรเดช, อำพล แก้วเกื้อ, กิตติพงษ์ กาญจนูปถัมภ์, ประพันธ์ มณีนิล และสุดสวาท อมฤตกุล (2548) เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากอำเภอป่าพะยอม และอำเภอบางแก้ว ปฏิบัติงาน ณ สถานีอนามัย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และโรงพยาบาล ดูจากรายงานฉบับย่อ (ยังไม่น่าจะเรียกว่าบทคัดย่อครับ) ดังนี้
การวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษากระบวนการพัฒนาชมรมสร้างสุขภาพจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ในลักษณะการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ของชมรม สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชมรม และเพื่อศึกษาเงื่อนไขและองค์ประกอบในการพัฒนาชมรมให้เข้มแข็งและมีความยั่งยืน พื้นที่วิจัยคือ ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอม และชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพล ขั้นตอนการศึกษาวิจัยประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียมการ เป็นการเตรียมทีมวิจัยและเตรียมพื้นที่ เริ่มต้นจากการแต่งตั้งทีมวิจัยและส่งเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบแนวทางการทำวิจัยจากศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา 2) ขั้นปฏิบัติการ ใช้เครื่องมือในการศึกษาที่หลากหลาย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์สมาชิกชมรมทุกคน การศึกษาข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่จากหน่วยงานราชการ การทำสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กรรมการชมรมและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้รับผิดชอบชมรมฯ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-dept Interview) ประธานชมรม กรรมการชมรมและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้รับผิดชอบชมรม การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้เทคนิค AIC เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชมรม 3) ขั้นสรุปผลการศึกษา เมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานก็มีการประชุมถอดบทเรียนร่วมกัน ระหว่างทีมนักวิจัยและสมาชิกชมรมสร้างสุขภาพ และสุดท้ายก็มีการจัดประชุมทีมวิจัยและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปผลการศึกษาและร่วมกันอภิปรายผล
สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
1.
สถานการณ์ของชมรมฯ พบว่า
1.1 การก่อตั้ง
เป็นการก่อตั้งขึ้นโดยวิธีการจัดตั้งของหน่วยงานภาครัฐทั้ง
2 ชมรม แต่มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
คือ ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอม
จัดตั้งขึ้นจากกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ทำให้มีการดำเนินงานและมีกิจกรรมที่หลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพล
จัดตั้งและรวบรวมสมาชิกขึ้นมาใหม่โดยเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยบ้านหาดไข่เต่า
และมีเพียงกิจกรรมการออกกำลังกายด้วยการรำไทเก๊ก
และการตรวจสุขภาพเท่านั้น
1.2 สมาชิกชมรม ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอมมีสมาชิกในขณะเริ่มก่อตั้งชมรม ประมาณ 75 คน และมีการรับสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 257 คน ในขณะที่ชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพลมีสมาชิกเริ่มต้นจำนวน 30 คนจนถึงปัจจุบัน
1.3 คณะกรรมการชมรม มีจำนวนที่ไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างชมรมทั้ง 2 แห่ง โดยเริ่มต้นชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอมมีกรรมการ จำนวน 5 คน จนกระทั้งปัจจุบันมีการเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็น 15 คน
1.4 กิจกรรมหลักและกิจกรรมเสริม ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอมมีกิจกรรมหลายอย่างและหลากหลายมาก เช่น การออกกำลังกายแยกแต่ละหมู่บ้านในทุกๆวัน และออกกำลังกายร่วมกันทั้งชมรมฯ ทุกวันศุกร์ที่ 3 ของเดือน การตรวจสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเดือนละ 1 ครั้ง การประชุมให้ความรู้ทางด้านสุขภาพเดือนละ 1 ครั้ง การประชุมสมาชิกชมรมฯ ทุก 3 เดือน การทัศนศึกษาต่างจังหวัดทุกปี การสวดมนต์สัญจร การเยี่ยมไข้สมาชิกที่ไม่สบายทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล ฯลฯ โดยกิจกรรมส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยสมาชิกชมรมฯ และใช้งบประมาณของชมรมฯ มีเพียงบางกิจกรรมที่ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรจากหน่วยงานราชการ ในขณะชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพล มีเพียงกิจกรรมการออกกำลังกายด้วยการรำไทเก๊กและการตรวจสุขภาพ
1.5 การเงินและรายได้ของชมรม ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอมมีการระดมทุนจากสมาชิกชมรมฯ ทุกคน โดยการระดมทุนเข้าชมรมผู้สูงอายุระดับอำเภอ ปัจจุบันมีเงินทุนเกือบ 3 แสนบาท ทำให้ชมรมฯ สามารถพึ่งตนเองได้และมีความเข้มแข็งและยั่งยืน มีกิจกรรมตามที่สมาชิกชมรมฯ ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพลไม่มีกองทุน จึงต้องคอยขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกไม่สามารถพึ่งตนเองได้ทั้งหมด
1.6 ด้านสังคม วัฒนธรรมและสวัสดิการ ชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอมมีสวัสดิการให้กับสมาชิกชมรมฯ เช่น การช่วยเหลือทางการเงินให้กับสมาชิกที่ไม่สบาย การจ่ายค่าสวัสดิการให้กับครอบครัวของสมาชิกที่เสียชีวิต ฯลฯ ช่วยทำให้ประชาชนอยากเข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น และสมาชิกชมรมรู้สึกพึงพอใจต่อชมรมมากขึ้น และการรวมกลุ่มในการจัดกิจกรรมตามประเพณี เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก และระหว่างสมาชิกกับชุมชน เป็นอย่างดี
1.7 ลักษณะผู้นำชมรม แกนนำของชมรมทั้ง 2 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้นำแบบเป็นทางการมาก่อน เช่น เป็นข้าราชการบำนาญ เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผ่านกระบวนการพัฒนาทั้งจากภาครัฐและเอกชนค่อนข้างมาก ทำให้ประชาชนและสมาชิกยอมรับนับถือให้เป็นผู้นำกลุ่ม
1.8 องค์กรหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน ชมรมสร้างสุขภาพทั้ง 2 แห่ง ได้รับการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมจากสถานบริการสาธารณสุข และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
1.9 การสื่อสาร ชมรมสร้างสุขภาพทั้ง 2 แห่งมีรูปแบบและช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นการสื่อสารตามวิถีชาวบ้านที่ใช้กันตามปกติ และระบบการสื่อสารที่หน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ จัดตั้งขึ้น
1.10 ทุนทางสังคมอื่นๆ ทุนทางสังคมที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในชมรมเป็นระบบเครือญาติ ภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและหลากหลาย
2. การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการและการใช้เทคนิค AIC พบว่า การมีส่วนร่วมของสมาชิกชมรมมี 3 รูปแบบ คือ
2.1 ร่วมคิด ซึ่งพบเห็นได้อย่างชัดเจนในชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอม เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมทุกอย่างต้องผ่านที่ประชุมของสมาชิกทุกคนก่อนเสมอ ทำให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสคิดและเสนอความคิดเห็นต่อการดำเนินงานทั้งก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ในขณะที่ชมรมสร้างสุขภาพบ้านปากพลส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะเป็นผู้คิดร่วมกับกรรมการชมรม
2.2 ร่วมทำ กิจกรรมทุกอย่างของชมรมฯ ทั้ง 2 แห่ง จะดำเนินการโดยสมาชิกชมรมเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นกิจกรรมบางอย่างเช่น การตรวจสุขภาพ การให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ ที่จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการให้
2.3 ร่วมรับประโยชน์ ซึ่งสมาชิกชมรมทั้ง 2 แห่งได้มีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากกิจกรรมที่ทางชมรมจัดขึ้น เช่น ได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายทำให้สุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดี มีเพื่อนคุย และรวมทั้งผลประโยชน์ในด้านการเงินด้วยในกรณีที่ไม่สบาย ซึ่งชมรมผู้สูงอายุตำบลป่าพะยอม ได้จัดสวัสดิการให้กับสมาชิกตลอดมา
3. เงื่อนไขหรือองค์ประกอบในการพัฒนาชมรมให้เข้มแข็งและยั่งยืน พบว่ามี 3 อย่าง คือ
3.1 บริบททางสังคม ประเพณีวัฒนธรรม และความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในชมรม
3.2 ปัจจัยภายในชมรม เช่น ลักษณะของผู้นำชมรม กิจกรรมของชมรม การเงินและรายได้ของชมรม และการสื่อสารของชมรมฯ
3.3 ปัจจัยภายนอกชมรม ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐและการสนับสนุนจากภายในชุมชนที่ชมรมตั้งอยู่
ข้อเสนอแนะจากการศึกษา
1. ในการจัดตั้งชมรมสร้างสุขภาพ ควรจัดตั้งจากกลุ่มต่างๆ ที่มีการดำเนินกิจกรรมอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากง่ายต่อการจัดตั้งกลุ่ม และเป็นการรวมกลุ่มโดยสมัครใจ จะทำให้สามารถดำเนินงานชมรมฯ ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าการจัดตั้งชมรมขึ้นมาใหม่
2. ชมรมฯ ควรจัดให้มีการระดมทุนจากสมาชิกชมรมและจากหน่วยงานภายนอก เพื่อนำมาเป็นกองทุนของชมรม ซึ่งจะทำให้ชมรมฯ สามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ตามความต้องการของสมาชิกชมรมฯ และทำให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินกิจกรรม รวมทั้งทำให้เกิดความยั่งยืนของชมรม
3. ควรสนับสนุนให้มีการจัดทำแผนงานของชมรม โดยให้สมาชิกชมรมฯ ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนงาน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจของสมาชิกชมรมฯ และเกิดการมีส่วนร่วมจากสมาชิกทุกคน
4. ควรสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับสมาชิกชมรม เพื่อให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของชมรมฯ
5. หน่วยงานภาครัฐต้องพัฒนาบุคลากรของรัฐให้มีความรู้ในการสร้างกระบวนการพัฒนาชมรม