มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) หรือที่เขียนย่อๆว่า ICH เช่น ภาษา , ภูมิปัญญาพื้นบ้าน , พิธีกรรม , ดนตรี ฯลฯ เป็นวัฒนธรรมที่อยู่รอบตัวเราในแต่ละวัน โดยที่เรารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง
เมื่อใดที่เราเห็นวัฒนธรรมที่จับต้องได้ เช่น พระพุทธรูป อาหาร โบราณสถาน ขอให้ระลึกว่าในสิ่งที่จับต้องได้นั้น มีวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ซ่อนอยู่ข้างในเสมอ
เห็นพระพุทธรูป แล้วเราเห็นความศรัทธาไหม เห็นเครื่องจักสาน เราเห็นจิตวิญญาณและองค์ความรุ้ที่บรรพชนถ่ายทอดลงมาไหม
รูปธรรมเป็นเปลือกร่างย่อมเสื่อมสลายได้เร็ว แต่นามธรรมคือพลังงานประกอบสร้าง แม้ร่างจะสลายแต่พลังงาน จิตวิญญาณสามารถนำไปสู่การสร้าง/พัฒนาร่างหรือรูปธรรมใหม่ๆสืบต่อไป
การรู้จักวัฒนธรรมจึงไม่ใช่หลงไปกับรูปแบบพิธีการอันเป็นเปลือก แต่ต้องฝึกจับความหมายลึกๆของวัฒนธรรมนั้นๆ นั่นคือ ต้องมองทะลุถึงระดับนามธรรมให้ได้
เห็นรูปทั่วไปคือปุถุชน
เห็นรูปแล้วเห็นนาม จึงจะนับเป็นปัญญาชน
จะเห็นนามได้ ฝึกจับความหมายลึกๆของวัฒนธรรมนั้นๆได้ ต้องฝึกใจให้มี “จิตนุ่มนวล ควรแก่งาน” เป็นพื้นฐานสำคัญ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
คนแรกที่อ่านสิ่งที่เราเขียน ได้ยินเสียงที่เราพูดในหัว เห็นสิ่งที่เราอยากแสดง ก็คือตัวเราเอง เรากำลังสอนตัวเองเสมอและทำซ้ำโดยอัตโนมัติ
การจัดการชุมชน การจัดการวัฒนธรรมภายนอก อีกด้านก็คือการจัดการตัวเราเอง
พิถีพิถันใส่ใจในการจัดการดูแลชุมชนและวัฒนธรรมให้มาก
เพราะนั่นคือสิ่งที่เรากำลังให้คุณค่ากับชีวิตตัวเราเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------
วัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม (ICH)นี้ มีโครงสร้าง รูปแบบอันซับซ้อน ละเอียดอ่อน มีความเป็นพลวัตสูง (dynamic) ถ้าจะเปรียบวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ก็เป็นเหมือนก๊าซ ในขณะที่โครงสร้างของวัฒนธรรมที่จับต้องได้เป็นเหมือนไม้
โครงสร้างวัฒนธรรมสองรูปแบบนี้ไม่เหมือนกัน จึงใช้เครื่องมือในการจัดการดูแลที่ต่างกัน
เราอาจใช้ ฆ้อน สิ่ว ตะไบ ขวาน จัดการไม้ แต่กับก๊าซเราต้องใช้กระแสลมและระบบนิเวศ
ทำไมเราไม่ใช่คำว่า “จัดการพระรัตนตรัย” แต่เราใช้ “อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย”
ปัญญาชนพึงเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม
แม้กระทั่งภาษาที่เราใช้กับวัฒนธรรมใดๆ เรายังต้องพิถีพิถันใส่ใจ
ทั้งหมดนี้มาจาก mindset ที่น้อมเข้าไปหาวัฒนธรรมอย่างมีสัมมาคารวะ มีเมตตาและยินดีรับใช้ ไม่ใช่การเข้าไปจัดการแยกส่วนแบบอุตสาหกรรม
รวมถึงต้องหมั่นพัฒนาสภาวะ “จิตนุ่มนวล ควรแก่งาน” เพื่อให้สามารถผ่านมิติเข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เหล่านั้น ตรงนี้เรียกว่า มองด้วยตาใน
เป็นตาที่มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมที่เราศึกษา กับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเรา คนรัก ครอบครัว สรรพชีวิตรอบข้าง ทั้งยังรู้สึกสงบ วางใจกลางๆ ปฏิบัติพัฒนากลางๆเหมือนดั่งมีพรหมวิหารธรรม
นี่เป็นการจัดการวัฒนธรรมโดยใช้ “ปัญญา” อันลึกซึ้ง แยบคาย พร้อมทั้งความดีและความงาม
“ความรู้” ทำให้คนอหังการ์
“ปัญญา” ทำให้คนอ่อนน้อม
น้อมเข้าไปหาศิลปะวัฒนธรรมที่เราจะศึกษาและพัฒนา
น้อมไปหาประชาชนผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมนั้นๆให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมส่องทางสว่างร่วมกันกับเรา
--------------------------------------------------------------------------------------------
#สรุปคำบรรยายสำคัญๆของผมในวิชา “การพัฒนาชุมชนกับจัดการทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” สอนออนไลน์ให้กับนักศึกษา สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.บูรพา เมื่อ 4 ม.ค.64 ที่ผ่านมา
เผื่อ นักศึกษาไว้ทบทวน และผู้ที่สนใจนำไปเรียนรู้ต่อๆกันนะครับ
ไม่มีความเห็น