บทวิจารณ์วรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นคืนปีเสือ : เมื่ออำนาจเข้าครอบครอง ความผยองจึงเริ่มขึ้นคืนปีเสือและเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ ผลงานเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ประจำปี 2563 สรรค์สร้างขึ้นจากปลายปากกาของ จเด็จ กำจรเดช ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านงานเขียน สามารถคว้ารางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนได้เป็นดับเบิ้ลซีไรต์ คนที่ 5 ของเมืองไทย เป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่ยอดเยี่ยมของวงการเรื่องสั้นเลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้จึงได้ก่อเกิดจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยเรื่องราวที่แปลกใหม่ น่าสัมผัสและชวนให้ติดตามเรื่องราวของผู้ใหญ่เหลาหู่ กับเสือในค่ำคืนสุดท้ายของปีเสือ ผู้ใหญ่บินไปฮานอย เพียงเพราะไม่อยากได้ยินเสียงประทัด ขณะที่สกายวอล์คแก้ว ชมทะเล มีผู้คนหนาแน่น ตัดภาพมาที่เรื่องราวของหนุ่ม สวนยางผู้สูญเสียภรรยา เพราะถูกเสือขย้ำจนสิ้นลมหายใจ ทุกฝ่ายพยายามหาทางกำจัดเสือตัวนั้นแต่ก็ไม่ เป็นผล ความแค้นของหนุ่มสวนยางกับการตายของภรรยาจึงไม่ได้รับการสะสางให้จบลงดังหวัง ฟาฮัดนักอนุรักษ์ป่า เข้าไปหาผู้ใหญ่เรื่องโต๊ะอิหม่ามและผู้มีอาวุโสของบ้านที่สาบสูญไป แต่ผู้ใหญ่ก็ทำ นิ่งเฉย หลังเสร็จธุระฟาฮัดกลับพร้อมไปกับเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มมาหาผู้ใหญ่เพื่อให้เซ็นรับรองความเป็นพ่อ เมื่อเมียผู้ใหญ่ได้ยินข่าวก็โกรธเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไป 3 เดือนผู้ใหญ่พาเด็กหนุ่มไปตรวจดีเอ็น และพยายามอธิบายให้เมียฟัง ในคืนปีนักษัตรวนรอบมาถึงคืนปีเสือ เป็นเสือไฟตามคำทำนาย ผู้ใหญ่จึงจัดงานสมโภช เป็นเหตุให้พระเอกลิเกกับนางมโนราห์พากันหนีเข้าป่า เพราะทั้งสองมีใจต่อกัน ส่วนมโนราห์หายตัวไป สุดท้ายพบศพของพระเอกลิเกซึ่งเกิดจาก การขย้ำของเสือ ผู้ใหญ่เหลาหู่กับฟาฮัดตกลงกันออกตามหานางมโนราห์ สุดท้ายนางมโนราห์ก็ออกมา ทำให้ทุกคนทราบว่านางมโนราห์ยังไม่ตาย และค่ำคืนวันสุดท้ายของปีก็เป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง ศิลปินแห่งชาติก็ร่วมฉลองด้วยผู้แต่งวางโครงเรื่องโดยการใช้โครงเรื่องแบบซับซ้อน เป็นโครงเรื่องแบบใหม่ที่ไม่เคยได้อ่านที่ไหนมาก่อน ผู้แต่งเปิดเรื่องโดยใช้เหตุการณ์ในปัจจุบันเพื่อนำเข้าสู่ย้อนเรื่องราวในอดีต ดังตัวอย่างหน้าแรกเปิดเรื่องว่า “คืนสุดท้ายของปีเสือ ผู้ใหญ่เหลาหู่ ไม่ได้ร่วมฉลองกับคนในหมู่บ้าน” (หน้า 333) เห็นได้ว่าในการเปิดเรื่อง เปิดโดยการเล่าเรื่องราวปัจจุบันก่อนย้อนสู่อดีต ผู้วิจารณ์เห็นว่าการเปิดเรื่องในลักษณะนี้พบไม่บ่อยนัก หากผู้อ่าน ไม่มีประสบการณ์ในการอ่านมากพอ ก็อาจไม่ทราบว่า การเปิดเรื่อง คือการเล่าเรื่องราวในปัจจุบันของผู้ใหญ่เหลาหู่ ในส่วนของผู้วิจารณ์มีความเห็นว่า หลังจากอ่านครั้งแรกก็ยังเกิดความสับสน ไม่ได้นึกถึงว่าผู้แต่งจะเปิดเรื่องโดยการเล่าถึงเรื่องปัจจุบันแต่เมื่ออ่านไปทำให้รู้ว่าสิ่งที่ผู้แต่งต้องการถ่ายทอดออกมาคือการย้อนเรื่องราวในอดีตสลับกับการเล่าเรื่องราวในปัจจุบัน โครงเรื่องในลักษณะนี้เป็นโครงเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนักในส่วนของการผูกปมของเรื่อง ผู้แต่งสร้างความขัดแย้งให้กับตัวละครโดยสร้างความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ จากเนื้อเรื่องเห็นได้ว่าผู้ใหญ่เหลาหู่กับฟาฮัดมีความขัดแย้งต่อกันในเรื่องของผลประโยชน์ ผู้ใหญ่เหลาหู่ไม่ชอบฟาฮัด เพราะผู้ใหญ่ไม่สามารถหาคำตอบการสาบสูญไปของโต๊ะอิหม่ามและผู้อาวุโสของหมู่บ้านเมื่อสามสิบปีก่อนได้ และฟาฮัดก็มีความขัดแย้งกับผู้ใหญ่เพราะผู้ใหญ่ไม่สามารถบอกความจริงกับเรื่องที่ต้องสงสัยได้ ฟาฮัดพยายามทวงคืนความยุติธรรมแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมานอกจากนั้นยังเห็นความขัดแย้งที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ในเนื้อเรื่องจะเห็นได้ว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับการแปลงกายเป็นเสือ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวบ้าน จึงตั้งชื่อสิ่งแปลกประหลาดนั้นว่า ฮาลอบาลา ดังที่ผู้แต่งเขียนไว้ในเรื่องเรื่องว่า “ผู้ใหญ่ซึ่งบังเอิญเงยขึ้นไปมองพอดี เห็นฟาฮัดยืนอยู่บนเนินดิน ฟาฮัดยืนจ้องมองผู้ใหญ่ แล้วมีเงาของร่างหนึ่งเคลื่อนเข้าหา เป็นร่างเหลือง ๆ ดำ ๆ เคลื่อนเข้าซ้อนทับร่างของฟาฮัด” (หน้า381) จากเนื้อเรื่องแสดงให้เห็นลักษณะความเหนือธรรมชาติ ผู้วิจารณ์เห็นว่า ผู้แต่งมุ่งสร้างสรรค์เรื่องราวให้เป็นไปในทางเดียวกัน คือเรื่องราวเกี่ยวกับเสือ จึงได้สมมุติตัวละครฟาฮัด ให้มีลักษณะคล้ายกับเสือ ทั้งยัง ตั้งชื่อฟาฮัด เพราะฟาฮัดหมายถึง เสือ จึงทำให้เนื้อเรื่องมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องมากขึ้น หรือหากมองในอีกแง่หนึ่ง ผู้แต่งอาจใช้ความเชื่อของชาวบ้านมาเป็นสื่อในการถ่ายทอดให้เห็นถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เพื่อให้ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเข้มข้นเนื้อเรื่องคงดำเนินต่อไปเพราะผู้แต่งหน่วงเรื่อง โดยแต่งให้เนื้อเรื่องมีการจัดมหรสพในวันคืนปีเสือ จากนั้นก็ดำเนินเรื่องไปจนถึงจุดสุดยอดของเรื่องคือ ทุกคนตามหานางมโนราห์ที่หายตัวไปแต่กลับพบว่า พระเอกลิเกที่หายไปกับนางมโนราห์นั้นได้เสียชีวิต สภาพศพเกิดจากการฆ่าของเสือ จากการหน่วงเรื่องนี้ทำให้จุดสุดยอดอยู่ที่ผู้ใหญ่เหลาหู่ได้รู้ความจริงหลังจากตามหานางมโนราห์ ว่าแท้จริงแล้วฟาฮัดไม่ใช่เสือ และนั่นก็นับเป็นการคลายปมของเรื่องอีกด้วยผู้วิจารณ์จึงพิจารณาได้ว่าผู้แต่งใช้การหน่วงเรื่อง จุดสุดยอดและการคลายปม ได้อย่างแนบเนียนซึ่งถ้าหากไม่มีประสบการณ์ในการอ่านอาจแยกไม่ออกว่าส่วนไหนคือการคลายปมส่วนไหนคือจุดสุดยอดของเรื่อง นับได้ว่าผู้แต่งใช้โครงเรื่องในลักษณะใหม่ ที่ทำให้ผู้อ่านได้คิดตาม ในส่วนของการปิดเรื่องนั้น ปิดเรื่องโดยการเล่าถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ผู้ใหญ่เหลาหู่บินไปอยู่ที่ฮานอย และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปินแห่งชาติผู้ที่ได้มาพักผ่อนอยู่เบตง ก่อนปิดเรื่องผู้แต่งได้สร้างเรื่องราวให้เสียดสีการเมืองในปัจจุบันซึ่งแทรกไว้ได้อย่างแนบเนียน ดังเนื้อเรื่องที่ว่า “แม้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ แต่สิ่งที่ปรากฏในเฟซบุ๊กของเขาคือบทกวีด่ารัฐบาล เผด็จการ เกลียดทั้งความไม่เท่าเทียมกัน และบางครั้ง โดยเฉพาะค่ำคืนปีใหม่ เขาจะเขียนกวีด่าบรรดาชาวบ้านผู้จุดประทัดเสียงดัง เขาด่าไปถึงผู้ว่าที่จัดงานจุดพลุในวินาทีข้ามปี ด่าไปถึงนายกทหารคนนั้นผู้ที่สะสมรถถังและอาวุธจนเงินหมดคลัง” (หน้า 368) จากเนื้อเรื่องข้างต้น ผู้วิจารณ์เห็นได้ว่าผู้แต่ง ต้องการสื่อเกี่ยวกับการเมือง ทว่าไม่ได้กล่าวโดยตรง ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้อ่านต้องเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเสียก่อน จึงจะเห็นได้ว่าผู้แต่งเสียดสีถึงนักการเมืองไว้ท่านหนึ่งเมื่อกล่าวถึงแนวคิดหรือแก่นของเรื่องแล้ว ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นถึงผู้ที่มีอำนาจ มักจะทำตาม ใจตน เห็นแก่ตัว ทำผิดโดยไม่ผิด อย่างผู้ใหญ่เหลาหู่และนักการเมืองท่านอื่น ส่วนตัวละคร “ฟาฮัด” ที่ผู้แต่งสร้างขึ้นเพื่อต้องการดำเนินเรื่องให้เห็นถึงการทวงคืนยุติธรรมแต่ไม่ได้รับความยุติธรรม ฟาฮัดเป็นเพียงคน ชายขอบที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือไม่ได้รับการดูแลจากผู้นำ ผู้วิจารณ์เห็นว่าผู้แต่งต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสังคมปัจจุบัน ผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ เย้อหยิ่งทะนงตน และไม่ยอมอยู่ภายใต้เบื้องล่าง เมื่อตนมีก็เกิดความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจคนชั้นล่าง ทำให้ประชาชนคนธรรมดาถูกละเลย คุณภาพชีวิตแย่ลง ไม่ได้รับความยุติธรรมในสิ่งที่ควรจะได้และควรจะเป็นการสร้างตัวละครและบทบาทสำคัญของตัวละครในเรื่อง ผู้แต่งกำหนดให้ตัวละครหลัก คือ ผู้ใหญ่เหลาหู่และฟาฮัด เมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่า ผู้ใหญ่เหล่าหู่เป็นตัวละครน้อยลักษณะ คือมีลักษณะนิสัยที่ไม่ยอมผู้อื่น มักละเลยในสิ่งที่ถูกต้อง ทำเพื่อความสูงศักดิ์ หรือเพื่ออำนาจของตน เขายอมทำผิดเพื่อแลกกับอำนาจ เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้แต่งต้องการสร้างตัวละครผู้ใหญ่เหลาหู่ขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นผู้ที่หลงในอำนาจ ทำในสิ่งที่ตนอยากทำโดยไม่สนใจผู้อื่น และไม่สนว่าถูกหรือผิด ส่วนตัวละครหลักอีกตัวคือ ฟาฮัด เป็นตัวละครน้อยลักษณะคือ เป็นผู้ที่มี ใจฮึดสู้ ถ้าหากเปรียบเทียบกับคนในปัจจุบันก็เปรียบเหมือนคนรุ่นใหม่ที่พยายามต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ฟาฮัดจึงเป็นภาพแทนของคน ชายขอบ ผู้มาทวงคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านและผู้อาวุโสที่สาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อน ทว่าสิ่งที่เขาพยายามต่อสู้ เพื่อให้ชาวบ้านได้ย้ายกลับถิ่นฐานเดิมไม่เป็นผล เพราะถูกผู้มีอำนาจเอาเปรียบที่อยู่อาศัย คนเหล่านั้นทำให้ชาวบ้านต้องอพยพมาอยู่ข้างนอก เพื่อที่ตนจะได้ยึดผืนป่าอันอุดสมบูรณ์เมื่อผู้วิจารณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้แต่งต้องการให้ตัวละครสะท้อนถึงความเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจ จากเนื้อเรื่องจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของตัวละคร เช่นผู้ใหญ่เหลาหู่ พูดถึงการกินเนื้อนกเงือกกับเนื้อเสือ เพียงเท่านี้ก็สามารถทราบได้ว่า ผู้คนเหล่านั้น บุกรุกสัตว์ป่า โดยที่ตนไม่ผิด เพราะชาวบ้านไม่สามารถเอาเรื่องได้ และเขายังมีผู้มีอำนาจที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกด้วยนอกจากนั้นแล้ว ยังมีตัวละครรองอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนให้เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างน่าติดตาม เช่น ตัวละคร เมียผู้ใหญ่เหล่าหู่ ชายหนุ่มสวนยาง เด็กน้อยไร้พ่อ และกล่าวถึงตัวละครที่ช่วยสนับสนุน ในการล่าสัตว์ป่า กล่าวถึงชาย 5 คนที่เคยมาชุมนุม ซึ่งผู้วิจารณ์มีความเห็นว่า เป็นตัวละครที่ผู้แต่งสมมุติขึ้น เพื่อสะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ที่มีอำนาจหรือนักการเมืองก็เป็นได้ และยังกล่าวถึงตัวละครอย่าง ศิลปินแห่งชาติผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบคอมมิวนิสต์ และเขายังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอีกด้วย
ในส่วนของตัวละครประกอบนั้น ผู้แต่งสร้างให้เป็นตัวละครน้อยลักษณะเพื่อการดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย อย่างพระเอกลิเก นางมโนราห์ และตัวละครที่สร้างเกินความเป็นจริงอย่าง ชายแปลกหน้าครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ฮาลอบาลา” ซึ่งเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่ช่วยสนันสนุนให้เรื่องราวน่าสนใจและน่าติดตาม ผู้วิจารณ์มีความเห็นว่า ผู้แต่งใช้ตัวละครเหล่านี้เพื่อสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับ เสือ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัตว์ ทว่า เสือแฝงสัญญะของผู้มีอำนาจ เมื่อตนได้มียศสูง หรือมีอำนาจสูงศักดิ์ก็มักจะหลงระเริงกับอำนาจนั้น จนไม่อยากลดตัวลงมาเป็นคนสามัญชนธรรมดา กล่าวเป็นสำนวนก็คงเป็นสำนวนที่ว่า
“เมื่อได้ขึ้นหลังเสือแล้ว มักลงจากหลังเสือได้ยาก”เมื่อกล่าวถึงตัวละครโดยรวมแล้ว จักพิจารณาได้ว่า ผู้แต่งใช้คำว่า “เสือ” ตลอดทั้งเรื่องเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้เห็นมุมมองของผู้เขียน ในการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวละครที่สร้างขึ้น ถือได้ว่าผู้แต่งหยิบยกตัวละครมาสร้างได้อย่างเหมาะสมกับโครงเรื่องและแก่นเรื่องที่วางไว้ ทำให้ผู้อ่านได้เปิดโลกใหม่กับการผจญภัยไปกับงานเขียนแนวใหม่ ที่มีโครงเรื่องที่ซับซ้อนและน่าติดตาม
อ้างอิงจเด็จ กำจรเดช. 2563. คืนปีเสือและเรื่องเล่าของสัตว์อื่นๆ .กรุงเทพฯ: ผจญภัยสำนักพิมพ์ ภาพหนังสือคืนปีเสือและเรื่องเล่าของสัตว์อื่นๆ(ออนไลน์). (2552). สืบค้นจาก : https://readery.co/9786164790209 [21 ธันวาคม 2563]
ไม่มีความเห็น