จิตวิทยากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ ม.เกษตร


การพัฒนาทรัยากรมนุษย์ในสังคมไทยต้องเริ่มจากการมีศรัทธาและความเชื่อแห่งคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์

สวัสดีลูกศิษย์กลุ่มมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และชาว Blog ทุกท่าน

ในวันอังคารที่ 19 ธันวาคมนี้ ผมได้รับเชิญให้บรรยายเรื่อง "การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย" ให้แก่นักศึกษาปริญญาโทภาคพิเศษสาขาจิตวิทยาชุมชน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็อย่างเช่นทุก ๆ กลุ่มที่ผ่านมาที่ผมอยากจะให้ความรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้ถูกนำมาประมวลสรุป และถ่ายทอดไปสู่คนอื่น ๆ ในสังคมด้วย ก็ขอให้ใช้ Blog นี้เป็นสื่อกลางของพวกเรา

 สำหรับผู้ที่สนใจที่จะเข้าไปดูข้อมูลของรุ่นก่อนนี้ก็ คลิ๊กไปที่ Blog:ทรัพยากรมนุษย์ที่ ม.เกษตร

                                                          จีระ  หงส์ลดารมภ์

คำสำคัญ (Tags): #ม.เกษตร2
หมายเลขบันทึก: 67924เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2006 10:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 02:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (89)
ยม "ยินดีที่ได้รู้จัก น.ศ. ม.เกษตร"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ นักศึกษา ม.เกษตร และท่านผู้อ่านทุก

 

 

ขอแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสรู้จักกับนักศึกษา ป.โท จิตวิทยาชุมชน ทุกท่าน.............

 

ในระหว่างที่พวกท่านชม วีดีโอ อยู่ในชั้นเรียน  ผมถือโอกาสแนะนำเรื่องการเขียน Blog ซึ่งนักศึกษาจะต้องส่งให้ ศ.ดร.จีระ ครับ ......... 

 

สิ่งแรก นักศึกษาควรร่างข้อความลงใน โปรแกรม word ใน window ให้เรียบร้อยก่อน ตรวจสอบคำผิด แก้ไขให้ถูก จัดย่อหน้า เติมสีตามต้องการ เสียก่อน  ผมแนะนำให้ใช้ตัวอักษรแบบ Tahoma ขนาด 14 เขียนข้อความ ตามที่ ศ.ดร.จีระ ต้องการ เช่น เรียนกับ ศ.ดร.จีระ ได้ประเด็นอะไรบ้าง และมีความคิดเห็น เสนอเพิ่มเติมต่อยอดได้อย่างไร เช่น สำหรับผม ได้ฟัง ศ.ดร.จีระ พูดชั้นเรียน มีคำที่น่าสนใจหลายคำเช่น 

HR, Psychology, Strategy, Performance: Head, Heart, Fact, Integrity, Feeling,  Respect, Strategy, Excellence

 

คำเหล่านี้ ผสมผสานบูรณาการได้ว่า  อาจารย์สอนให้เรารู้เรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์(คน) โดยมีหลักจิตวิทยาที่ดี อย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้คนได้มีขวัญกำลังใจมีจิตใจที่ดี นำไปสู่ความคิดทำงานอย่างมีสติ ซึ่งต้องอาศัยหลักจิตวิทยา ใช้อารมณ์ ความรู้สึกร่วมที่ดี การจะทำเช่นนั้นได้ ต้องมียุทธศาสตร์การจัดการเรื่องคนที่ดี ให้คนยอมรับความจริง ยอมรับในวิสัยทัศน์องค์การ นำไปสู่ผลการปฏิบัติงานที่ยอดเยี่ยมในแต่ละคนได้ 

 

แน่นอนว่าการจะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีความเชื่อ ๆ ว่า คนหรือทรัพยากรมนุษย์นั้น มีความสำคัญยิ่งกว่าทรัพยากรใด ๆ ในองค์การ ถ้ามีความเชื่อเช่นนั้น ก็จะมีวิธีการในการปฏิบัติต่อทรัพยากรมนุษย์ที่ดี ออกมา ครับ .........

สรุป เรื่อง Psychology to Strategy through HR to High Performance สำหรับการเรียนในวันนี้ อย่างน้อย ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ 

·       HR  บริหารคนให้มี Head, Heart, Fact, Integrity

·       Psychology  ใช้จิตวิทยา อย่างมีFeeling

·       Strategy ใช้ยุทศาสตร์ให้คนยอมรับ Respect

·       Performance: ให้คนทำงานได้ดี มีผลงาน ที่ยอดเยี่ยม อย่างมีกลยุทธ์ Strategy, Excellence  

 

สวัสดีครับ 

ยม 

นักศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต 

081-9370144  

[email protected]

กราบเรียน ศ. ดร. จีระ ที่เคารพและสวัสดีนักศึกษาปริญญาโทจิตวิทยาชุมชน ม. เกษตรฯ ทุกท่านค่ะ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอขอบกราบพระคุณ ศ. ดร. จีระ ที่ให้โอกาสเข้ามาแชร์ความรู้ในการเรียนการสอนของอาจารย์ ซึ่งเป็นบรรยาศการเรียนรู้ที่ดีมากเป็นการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยผู้เรียนมีส่วนร่วมกับอาจารย์ผู้สอนอย่างแท้จริง ( Two way communication) ค่ะ   .... ฉันขอสรุปและขออนุญาตแชร์ความคิดเห็นกับหัวข้อที่อาจารย์ได้สอนในเรื่อง Psychology to Strategy though HR to High Performance  ดังนี้ค่ะ  อาจารย์ได้สอนในหัวข้อเรื่อง Psychology to Strategy though HR to High Performance               1.   Head Heart Fact Integrity = เป็นหัวใจของ HR2.   Feeling = Psychology เป็นเทคนิค ในการสร้าง แรงจูงใจ (motivation) ตาม ทฤษฎี TA หรือ ABC  A (affective)  =  มีอารมณ์ มีความชอบ  B  (behavior) = นำไปสู่การเกิดพฤติกรรม  ที่เหมาะสม         C (cognitive) = นำมาสู่ความเข้าใจ

Psychology เป็นเทคนิค ที่ทำให้เกิด  mindset และ open mind ที่ดี

+ สุ จิ ปุ ริ (ฟัง พูด อ่าน เขียน)

+ IT + Creativity= learn long life = knowledge

 นำไปสู่ การกำหนดเป็น

Strategy = Respect  

3.   Excellence = เกิดเป็น

                    High Performance     อาจารย์สอนให้เรารู้ว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นทุนที่สำคัญในการพัฒนาองค์กร และประเทศชาติ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้นเราสามารถทำได้โดยอาศํยเทคนิคทางด้านจิตวิทยา เพราะจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ทำให้เราศึกษาการเกิดพฤติกรรมมนุษย์และทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ในโลกเป็นอย่างดี มนุษย์จะพัฒนาได้ต้องอาศัยหลักจิตวิทยาเรื่องการเรียนรู้ การเรียนรู้ทำให้เกิด knowledge การมีองค์ความรู้จะทำให้มนุษย์สามารถคิดเป็นทำเป็น และสร้างเป็น กลยุทธ์ เพื่อใช้ในการการแข่งขันกับคุ่แข่งในยุคโลกาภิวัฒน์ ได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน (Strategy = Respect) ผลที่ตามมาคือ ทำให้เกิด Excellence  และนำไปสู่การเกิด High Performance ตามลำดับ ค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง  และสวัสดีค่ะ

               A’ Lotus

นักศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต 

[email protected]

 
พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล

กราบเรียน ท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ที่เคารพ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ และขอกล่าวสวัสดีทีมงานทุกท่านที่เข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนในวันดังกล่าว เพื่อนร่วมรุ่นจิตวิทยาชุมชน และผู้อ่านทุกท่าน       

      ก่อนอื่นต้องขอกล่าวขอบพระคุณท่านอาจารย์จีระเป็นอย่างสูง ที่กรุณาให้เกียรติมาเป็นอาจารย์รับเชิญพิเศษในการจุดประกายทางความคิดให้แก่นิสิตปริญญาโทจิตวิทยาชุมชน แห่งมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ในครั้งนี้ อีกทั้งยังได้มอบโอกาสอันดียิ่งให้แก่นิสิตที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนได้ศึกษาภูมิปัญญาทางความคิดจากหนังสือ 2 เล่มที่ท่านอาจารย์มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์แก่ลูกศิษย์ นั่นคือ หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ และหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน ตามทัศนะของดิฉันนั้น ทั้ง 2 เล่มถือเป็นหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งแก่การเป็นมรดกทางความคิดในการสืบสานเจตนารมณ์ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ให้ปรากฎแก่คนไทยรุ่นต่อๆ ไป อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างพลังขับเคลื่อนแห่งมหาชนในอันที่จะผลักดันให้เกิดแนวนโยบายอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงสืบต่อไปในอนาคต      

   โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในสังคมไทยนั้น คนไทยมักมีลักษณะที่เป็น conformable people ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการเป็น soft culture เช่นนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่จะเกิดภาวะ alienation ขึ้นได้ง่ายมากในสังคมไทย นำมาซึ่งปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย และมีความสัมพันธ์ในลักษณะ reciprocal ต่อการพัฒนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เช่นนั้นแล้ว การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระดับชาติที่มุ่งเน้นในเรื่องทรัพยากรมนุษย์เป็นสำคัญดังเช่นปัจจุบันนี้ จึงเป็นการเดินในทิศทางที่เปรียบดังสุภาษิตที่ว่า หนามยอกเอาหนามบ่ง ดังเช่นปัญหาใดๆ ก็ตามที่ได้รับการแก้ไขจากต้นเหตุที่แท้จริง จะำได้รับผลลัพธ์ที่ยั่งยืนจากทางออกของปัญหานั้น ซึ่งจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นทฤษฎี 8 H’s ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ หรือทฤษฎี 8 K’s  ของท่านอาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ก็ดี ล้วนเป็นทฤษฎีที่ได้ชี้บ่งอย่างครอบคลุมถึงประเด็นอันควรปลูกฝังและเสริมสร้างให้เกิดมีขึ้นแก่ประชาชนชาวไทย ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ชี้นำให้เห็นถึงความสามารถในการนำมาปรับใช้ในองค์การต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน        

     แล้วด้วยสังคมโลกที่เป็น globalization ในปัจจุบันที่ย่นย่อโลกให้เล็กลงไปในถนัดตาในแบบ flat world ภาวะความแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ทุกองค์การมีความจำเป็นต้องปรับตัวให้ก้าวทันอยู่เสมอเพื่อความอยู่รอด ซึ่งสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากบทสนทนาของนักคิดและนักปฏิบัติในด้านทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แห่งยุคของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด และท่านอาจารย์ดร.จีระ  ล้วนเป็นบทสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ในการปรับตัวดังกล่าวได้เป็นอย่างดี        

     ดิฉันในฐานะของนิสิตปริญญาโทสาขาวิชาจิตวิทยาชุมชน แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้ผ่านประสบการณ์ในส่วนงานฝึกอบรมและทรัพยากรบุคคล ของโรงแรมดุสิตรีสอร์ท พัทยา ในเครือดุสิตธานี ได้รับประโยชน์จากการเ้ข้ารับการถ่ายทอดและจุดประกายทางความคิดจากท่านอาจารย์ดร.จีระ เป็นอย่างสูง และจะขออนุญาตนำแนวคิดต่าง ๆ จากท่านอาจารย์มาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตและการทำงานเพื่อส่วนรวมต่อไปในอนาคต              

     ด้วยความเคารพอย่างสูง            

    พิมพ์ลดา  บวรวิชญ์ศรีกุล          

   รหัสประจำตัวนิสิต 48684443

อันดับหนึ่ง คุณพิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ น้องโลตัส คุณพิมพ์ลดาและนักศึกษา ม.เกษตรทุกคน

ผมติดตามอ่าน blog นี้ พบว่า คุณพิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล เป็น น.ศ.คนแรก ที่เขียนเข้ามา และเขียนได้ชัดเจน ตัวอักษรใหญ่ ชัดเจนดี

 เริ่มเห็นแวว คนมีไฟ ไวต่อการเรียนรู้ น.ศ.ที่ยังไม่ได้ส่งมาเรียบส่งก่อนติดอันดับป๊วย น๊ะครับ

สวัสดี

ยม

ร.อ.หญิงวรางคณา อินทร์ไทยวงศ์
กราบเรียน ท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ และสวัสดีพี่ๆทีมงานทุกท่าน, เพื่อนๆจิตวิทยาชุมชน รุ่น4 และผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ  ก่อนอื่นดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ได้ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น ร่วมแชร์ความรู้สึกที่ได้รับจากการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม คือ หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ และหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน          การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ดิฉันเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น จากเดิมเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ที่แหงนมององค์กรขนาดใหญ่ เห็นวิสัยทัศน์องค์กรเป็นเพียงคำขวัญที่อยู่ไกลเกินเอื้อม เรามีหน้าที่เพียงแต่เดินไปตามเส้นทางที่กำหนดเท่านั้น และคิดอยู่ตลอดว่า เราอยู่ในที่ที่มั่นคง อบอุ่น ปลอดภัยแล้ว เป็นชีวิตที่สงบสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้ได้เรียนรู้ว่า ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ทำร้ายตัวเองโดยสิ้นเชิง เพราะอาจมีพายุพัดเข้ามาในเส้นทางที่เราคิดว่าปลอดภัยได้ตลอดเวลา เพราะโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การเริ่มต้นออกเดินทางต่อไป กล้าเผชิญกลับอุปสรรค และเอาชนะความยากลำบากต่างๆ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ นี่ต่างหากล่ะที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง และเป้าหมายที่ตั้งไว้นี้จะขยับต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีวันที่จะหยุดพัก แล้วเมื่อเรามองย้อนกลับไปมองเส้นทางที่เดินผ่านมา ก็จะพบความสุขที่สั่งสมมา ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าการพิชิตเป้าหมายได้เสียอีก หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจุดประกายความคิดเท่านั้น ดิฉันยังได้เรียนรู้แบบเป็นรูปธรรม ได้พบตัวแบบที่ดี นั่นก็คืออาจารย์ผู้เขียนทุกท่าน ซึ่งแต่ละท่านนั้นมีวิสัยทัศน์อันยาวไกล ท่านทำให้รู้ว่าการเดินทางไปสู่เป้าหมายต้องมีการตุนเสบียง  เสบียงนี้ก็คือทฤษฎีนักบริหาร 8 H's ของคุณหญิงทิพาวดี และทฤษฎี 8 K's ของ ศ.ดร.จีระ และสิ่งที่อ่านแล้วน่าประทับใจมากนั่นก็คือนอกจากเราจะสะสมทุนเพื่อพัฒนาตนเองแล้ว เราควรหันไปมองเพื่อนร่วมเดินทาง นั่นก็คือคนในชุมชน หรือองค์กรของเราด้วย เราต้องรู้จักสะสมองค์ความรู้ และสามารถถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับคนอื่นๆ ทั้งในชุมชนและในองค์กรด้วย เพราะการถ่ายทอดความรู้เป็นการให้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ให้ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และความรู้ ยิ่งให้ความรู้กับผู้อื่นมากเท่าใด ก็ได้รับทั้งความอิ่มเอมใจและได้พัฒนาตนเองมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผู้รับความรู้ ได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากผู้ให้ซึ่งสั่งสมมาอย่างยาวนาน เหมือนกับการเรียนรู้ทางลัดดังนั้นการอ่านหนังสือเล่มนี้นับเป็นประสบการณ์อันมีค่ายิ่งของดิฉันเพราะเท่ากับได้ย่นย่อระยะทางการเรียนรู้ สามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งน่าจะทำให้ข้อผิดพลาดในชีวิตของดิฉันลดน้อยลง และสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้  ดิฉันขออนุญาตินำเจตนารมย์ที่ดีของท่านอาจารย์ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เข้ามาอยู่ใน “HEART” และร่วมสร้างวัฒนธรรมการถ่ายโอนองค์ความรู้ไปสู่รุ่นต่อรุ่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามที่ท่านอาจารย์ได้ตั้งใจไว้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร และประเทศชาติของเราต่อไป ...  ด้วยความเคารพอย่างสูง              ร.อ.หญิงวรางคณา  อินทร์ไทยวงศ์ (เลขประจำตัว 48684542)
กราบเรียน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ที่เคารพ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอขอบพระคุณอาจารย์และคณะที่ได้ให้เกียรติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาบรรยายและให้ความรู้แก่นักศึกษาปริญญาโทสาขาจิตวิทยาชุมชน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งในการเข้าร่วมชั้นเรียนในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้รับบรรยากาศแปลกใหม่ในการเรียนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดตามอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักศึกษาจิตวิทยาชุมชนคนหนึ่งขอกล่าวอย่างจริงใจว่าการเรียนในวันนี้ทำให้แรงจูงใจในการทำงานและการเรียนที่บางครั้งดูเหมือนลดระดับลงไปได้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพราะทุกคำพูดของอาจารย์แทรกเข้าไปในทุกอณูของเส้นหยักในสมองเลยทีเดียว เนื่องจากดิฉันเองทำธุรกิจส่วนตัว ดังนั้นการดูแลและปกครองพนักงานจึงเป็นเรื่องยากเพราะคนมีลักษณะแตกต่างกัน บางคนหัวอ่อนว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน นายสั่งอย่างไรก็ทำตามนั้น ในขณะที่บางคนหัวรั้นมีความคิดที่เชื่อมั่นว่าตนเองทำถูกทำดี จนกลายเป็นความก้าวร้าว แต่เมื่ออาจารย์ได้สอนเรื่องPsychology to Strategy through HR to High Performance ซึ่งหมายถึงคำ 4 คำนั่นคือ      Psychology  คือจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ Feeling หรือความรู้สึก     Strategy เป็นการใช้ยุทศาสตร์โดยดูจุดอ่อนและจุดแข็งของคน      HR  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ          High Performance การทำให้คนมีศักยภาพสูงสุด  ดิฉันจึงเกิดความตั้งใจที่จะบริหารองค์กรของตนเองให้มีศักยภาพให้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นในเชิงของจิตวิทยา และการใช้กลยุทธ์ต่างๆที่อาจารย์ได้เขียนไว้ในหนังสือทั้งสิงเล่มคือหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ และหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน ในเล่มแรกนั้นทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่าจะทำให้เป็นรูปธรรมได้หรือไม่หรือปล่อยให้เป็นเพียงแค่ปรัชญาองค์กรที่ท่องกันได้แต่ปากเท่านั้น หรือแม้แต่เรื่องของ Loyalty ที่เจ้าของแนวคิดทฤษฎีคือ Maslow ของเรานั่นเอง ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาเพราะดิฉันเห็นด้วยกับอาจารย์ว่า ถ้าเราให้เกียรติ มอบความไว้วางใจ รับฟังความคิดเห็น ให้ความปลอดภัยในการทำงาน แล้วบรรยากาศที่ดีในการทำงานย่อมเกิดขึ้นแน่นอนซึ่งสิ่งนี้ทำให้พนักงานอยากอยู่และขับเคลื่อนองค์กรไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน ส่วนหนังสือเล่มที่ 2 เป็นเนื้อหาและทฤษฎีใหม่ที่ดิฉันไม่เคยได้ทราบมาก่อน แต่ทั้ง 2 ทฤษฎี 8Hs และ 8Ks ก็มีบางตัวที่ดิฉันเคยใช้ในการทำงานมาบ้าง เช่น Heart หรือทุนทางจริยธรรม ที่ได้ตระหนักว่าคุณงามความดีคือสิ่งที่ยั่งยืนและไม่มีวันหมด ดิฉันได้ใช้หลักบริหารโดยใช้ธรรมะมาผสมผสาน เช่น พรหมวิหาร 4 , การใช้ขันติ เพราะการที่เรามีจิตใจเมตตา กรุณา ยุติธรรม ซื่อสัตย์ อดทน อดกลั้น เอาใจเขามาใส่ใจเรา การควบคุมดูแลคนในปกครองย่อมเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามหากการเรียนและการอ่านหนังสือไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ทฤษฎีก็เป็นแค่เพียงตัวหนังสือ แต่ดิฉันมั่นใจว่าถ้าเรามีความตั้งใจจริงแล้วทุกอย่างย่อมกำหนดได้ด้วยตนเองสุดท้ายต้องขอบกราบขอบคุณผศ.หญิง ดร.งามละมัย  ผิวเหลืองที่เล็งเห็นความสำคัญในการเพิ่มอาหารเสริมทางสมองให้กับพวกเราจึงได้กรุณาเรียนเชิญ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ มาให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเชิงจิตวิทยาครั้งนี้ ดิฉันจึงหวังไว้ว่าจะนำความรู้ครั้งนี้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและองค์กรให้มากที่สุดด้วยความเคารพอย่างสูงนางสาตพร เทพคุ้มกันเลขประจำตัว 48684625  
น.ส. ศุภธิดา ไขรัศมี
กราบเรียน ท่านอาจารย์ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมย์ที่เคารพ        ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเรื่อง ทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้: บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุค คือ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมย์ กับหนังสือเรือง 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน: ไล่ล่าความเป็นเลิศด้วยทฤษฎี 8H’และ 8K’s” ของ 2 ผู้นำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ คือ คุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์และศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมย์ ทำให้เกิดความแน่ใจว่า คนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าประเทศจะร่ำรวยด้วยทรัพยากรอื่นๆมากมาย เช่น บ่อน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เหมืองทอง หรืออัญมณี แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยสนับสนุน ถ้าประเทศนั้นปราศจากคนที่มีคุณภาพแล้วก็ไม่อาจรักษาไว้ หรือทำประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ได้เลย ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือทรัพยากรในประเทศที่ประชาชนขาดความรู้ ด้อยคุณภาพ จะกลายเป็นตัวชักนำปัญหาเข้ามาสู่บ้านเมือง ก่อให้เกิดจลาจลวุ่นวาย อย่างที่เห็นในส่วนต่างๆของโลก เช่นในตะวันออกกลาง และทวีปอัฟริกา       จากแนวคิดที่ข้าพเจ้าได้รับจากการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม ทำให้ได้ทราบความสำคัญของทุนมนุษย์(Human Capital) ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องได้รับความรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน สร้างความเข้าใจในเรื่องวิชาการเท่านั้นหากยังต้องเน้นให้ทุนมนุษย์มีจริยธรรม เป็นคนดี สุจริต ยึดมั่นในทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือความพอเหมาะพอควร ความมีเหตุมีผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การพึ่งตนเองได้        แนวคิดดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์มากกับงานของข้าพเจ้าในฐานะครูซึ่งมีหน้าที่ สั่งสอนให้ความรู้และอบรมให้เด็กเป็นคนดี ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จากการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มทำให้ได้เห็นแนวทางว่าการเรียนรู้เป็นเพียงการปูพื้นฐานทางทฤษฎี ที่สำคัญเด็กควรมีโอกาสลงมือปฏิบัติจริงให้มากที่สุด เพราะเมื่อได้ลงมือทำด้วยตนเองก็จะซึมซับความรู้นั้นได้มากกว่าการท่องจำ จะทำให้เขารู้จริงและติดตัวเขาไปได้นาน รวมทั้งการสร้างนิสัย รักการอ่านให้กับเด็กๆควรทำตั้งแต่วัยเยาว์และต่อเนื่องไปตลอด เพื่อให้เขาได้มีโลกทัศน์ที่กว้างขวาง สามารถตามทันการเปลี่ยนของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องนี้อาจทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กในปัจจุบัน จะดึงเวลาของเด็กไปมากไม่ว่าจะเป็นเกมคอมพิวเตอร์ รายการ variety show ทางโทรทัศน์ รวมทั้งการเที่ยวเตร่ อย่างไรก็ตามในยุคโลกาภิวัฒน์ สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นประโยชน์ได้เช่นกัน หากเด็กและเยาวชนแบ่งเวลาให้แก่กิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม       การจะชักจูงให้เด็กรู้จักแบ่งเวลาในกิจกรรมแต่ละประเภท ถือเป็นประเด็นหนึ่งในการสร้างคุณสมบัติที่ดี แก่ทรัพยากรมนุษย์ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต ซึ่งหากเด็กมีการเริ่มต้นที่ถูกต้อง ก็จะมีการพัฒนาไปเรื่อยจนเมื่อเข้าช่วงชีวิตของการทำงาน ก็จะทำงานได้อย่างมี harmony ซึ่งจะช่วยลดความเครียดของเขาไปได้ระดับหนึ่ง เพราะเขาสามารถจัดการกับความสำคัญของเงื่อนไขต่างที่เขาต้องเผชิญในชีวิตได้ ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของความสับสน       การสอนโดยใช้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง หลักสูตรที่มีความยืดหยุ่นสูง และการสร้างทุนมนุษย์เป็นทั้งคนเก่งและคนดีซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากหนังสือทั้งสองเล่ม นั้น เป็นหลักการที่ข้าพเจ้าจะนำไปปรับใช้กับการสอนของข้าพเจ้า ซึ่งคาดว่าจะสร้างคุณภาพให้กับนักเรียนของข้าพเจ้าได้       สิ่งสุดท้ายที่ได้รับ นอกเหนือจากแนวคิด คือวิธีการทำงานจนประสบความสำเร็จในชีวิตของทั้ง 3 ท่านซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับทั้งในผลงานและการวางตัว ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในชีวิตของคนจะต้องพบเจออุปสรรคต่างๆมามากมาย แต่ทั้ง 3 ท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวคิด การวางตัว ของท่านเหล่านั้น สามารถเอาชนะอุปสรรคและเป็นต้นแบบได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งหากมีผู้ปฏิบัติตามท่านทั้งสามได้มากเท่าใด ทุนมนุษย์ของประเทศไทย ก็จะได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความเคารพอย่างสูง       น.ส. ศุภธิดา ไขรัศมีรห้ส  48684583
กราบเรียน ศ.ดร.จีระ  และคณาจารย์ทุกๆท่านกระผมชื่อประภาส เที่ยงธรรม เป็นนิสิต ป.โท รหัส 48684393  นับได้ว่าเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสรับฟังการบรรยาย จากอาจารย์และคณะ บอกตามตรงๆนะครับ อยากฟังพี่ๆพูดมาก ๆ หากมีเวลาและโอกาสครั้งหน้าขอเวลาพี่ๆช่วยแนะสิ่งดีๆอีกสักครั้งนะครับเอาล่ะไหนๆ อาจารย์ก็บอกให้คุยกันแบบสบายๆ ถือซะว่าอ่านเรื่องสั้นประเภทสมจริง ก็แล้วกันนะครับ เรื่องนี้มีอยู่ว่า...จากหนังสือและข้อมูลที่อาจารย์ได้รังสรรค์ทุ่มเท ถ่ายทอดให้เป็นเกษรภาษาประทานเป็นองค์ความรู้แก่ลูกศิษย์ทั่วโลก แน่นอนครับ ความรู้จากการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตสู่ชีวิต มีคุณค่ายิ่งกว่าคำอธิษฐานใดๆที่อ้างถึง ผมว่าอาจารย์แนะนำได้ชัดเจน และน่าติดตามโดยเฉพาะ ทฤษฎี 8 K’s ซึ่งยกมาสรุป พอสังเขป ได้ดังนี้  (1) Human Capital               ทุนมนุษย์(2)Intellectual Capital         ทุนทางปัญญา(3) Ethical Capital               ทุนทางจริยธรรม(4) Happiness Capital         ทุนแห่งความสุข(5) Social Capital                ทุนทางสังคม(6) Sustainability Capital    ทุนแห่งความยั่งยืน(7) Digital  Capital              ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ(8) Talented Capital    ทุนทางความรู้ ทักษะและทัศนคติ ทั้งหมดที่อาจารย์ได้กล่าวถึง ผมชอบคำนี้มาก คือ คำว่า ทุน  เพราะแค่เราคิดถึงคำว่า ทุน ก็รู้สึกได้กำไรแล้วครับ  ทุกคนมีทุนอยู่กับตัว แต่คนเรามักจะมองไม่เห็น ลืมไป หรือมองผ่าน อยู่เสมอ ... ผมว่าได้อาจารย์มาเคาะกระโหลกแบบนี้ ทำให้รู้สึกกระตื้อรือร้น ตื่นจากหลับใหล  รู้สึกท้าทาย ทำให้กล้าที่จะก้าวข้ามความล้มเหลว ความท้อแท้ ที่กำลังตกผลึก อยู่ในเส้นใยประสาทส่วนกลางได้ดี และทำให้มองเห็นทุนที่มีอยู่ในตัวเอง อยู่ข้างหน้า และอยู่รอบตัวอีกตั้งเยอะแยะ อนึ่ง การชมชอบการสอนแบบถึงลูกถึงคนแบบนี้ หาใช่ว่าผมเป็นคนชอบซาดิสก์ไม่  แต่การสอนแรงๆ ตรงๆ และเน้นๆแบบนี้ ผมถึงว่าแจ่มแจ้ง กล้าบอกและเก่งจริงดี  สรุปให้เห็นคุณค่า ภาพลักษณ์ของทรัพยากรมนุษย์และการศึกษาขึ้นอีกตั้งเยอะคราวหน้าขอให้พี่ๆและอาจารย์อดีตรัฐมนตรี (หรือผู้ช่วยฯ ผมจำไม่ได้) แนะนำเพิ่มเติมเยอะๆด้วยนะครับ ...  ขอบพระคุณอาจารย์ คณาจารย์ และพี่ๆทุกคนครับ ประภาส  เที่ยงธรรม รหัส 48684393
รท. หญิงสุกัญญา นิยมวัน รหัสประจำตัว 48684633

 

 

จากการที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ในหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ ของท่านพารน  อิศรเสนา ณ อยุธยา และศ.ดร.จีระ หงษ์ลดารมภ์    ทำให้ข้าพเจ้าจุดประกายในการที่เห็นมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญ  ทุกสิ่งทุกอย่างในการที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จแต่ละอย่างล้วนเกิดจากความสามารถของมนุษย์แทบทั้งสิ้น         จะเห็นว่าประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่พร้อม  ทั้งสภาพภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ ทำให้ประเทศไทยนั้นมีทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากมาย  แต่เหตุใดประเทศไทยของเราจึงไม่มีการพัฒนาประเทศเท่าที่ควรจะเป็น  หนังสือเล่มนี้ทำให้ตัวข้าพเจ้า ได้เข้าใจอะไรที่เป็นสาเหตุของการพัฒนาประเทศที่มีความล่าช้า นั้นคือเราขาดตัวแปรที่มีความสำคัญในการที่จะพัฒนาประเทศของเรา ตัวแปรที่ว่าก็คือทรัพยากรมนุษย์นั้นเอง ที่ว่าเราขาดไม่ได้เป็นเพราะเราไม่มี แต่เรายังใช้ทรัพยากรอันนี้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร  ประเทศไทยยังขาดการให้ความสำคัญกับมนุษย์เท่าที่ควร         จากที่ผ่านมาในการดำรงชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนหรือคิดว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญอะไรมากมาย บางครั้งยังมีความคิดว่า ใครจะทำอะไรก็ช่างมันไม่ใช่เรื่องของเรา เราเพียงแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุดก็คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว  หนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ทำให้ข้าพเจ้าจุดประกายตัวเองในการที่จะ พัฒนาตนเอง การพัฒนาผู้อื่น  เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยต่อไปอย่างแน่นอน         ข้าพเจ้าอยากจะนำคำกล่าวในหนังสือตอนหนึ่งที่ว่า   ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม  เราจะต้องมีความเชื่อในสิ่งนั้นเสียก่อน ถ้าคุณมีความเชื่อ หรือมีความศรัทธาว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นประโยชน์  มันก็จะทำให้เราเกิดความมุ่งมั่น  และกำลังใจและจะพาเราไปสู่ความสำเร็จ       ข้าพเจ้าในฐานะที่กำลังศึกษาในด้านของจิตวิทยาชุมชนถ้าพูดถึงในด้านของความเชื่อ(Belife)และ แรงจูงใจ(Motivation)นั้น มีความสำคัญมากในการแสดงออกทางพฤติกรรมในด้านต่างๆของมนุษย์ ซึ่งถ้าหากมนุษย์มีสองอย่างนี้แล้วมนุษย์ก็สามารถจะทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ        อีกอย่างตัวแบบ (Model)ที่ดีก็มีความสำคัญต่อการแสดงพฤติกรรม ดังเช่น  ศ.ดร. จีระ   หงส์ลดารมภ์ ท่านทำงานอุทิศตนเพื่อการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก  ถ้าหากถามท่านว่า  ท่านเหนื่อยไหม กับการทำงาน ท่านอาจจะตอบว่าเหนื่อย แต่การเหนื่อยของท่านนั้นมันปนด้วยความสุขจากการทำงาน   นั้นเป็นเพราะท่านมีความเชื่อว่า และแรงจูงใจว่า การทำงานของท่านในวันนี้ จะส่งผลให้ประเทศไทย และคนไทยนั้นมีการพัฒนาขึ้นในอนาคต  นั้นคือท่านเป็นตัวแบบ(Model)ที่ดี       เมื่อมนุษย์มีทั้งความเชื่อ  แรงจูงใจและตัวแบบที่ดีก็จะเกิดการต้องการอยากเรียนรู้  การเรียนรู้ที่เกิดในหนังสือเล่มนี้ต้องการที่จะให้มนุษย์นั้นมีการเรียนรู้ที่กว้าง และเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อการพัฒนาตนเอง  องค์กร สังคมและประเทศชาติต่อไป          ข้าพเจ้านั้นได้อะไรหลายอย่างในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเชื่อว่าตัวข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งจะเป็นคนที่ทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนามากขึ้นในอนาคต เพียงแค่เริ่มต้นจากการทำงานที่ใกล้ตัว  กล้าที่จะเป็นคนเริ่มคิดอะไรที่มีความแปลกใหม่ ที่เกิดมาจากการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อไปสู่ความสำเร็จของตัวข้าพเจ้า  และประเทศชาติต่อไป          จากหนังสือ  2 พลังความคิดจากชีวิตและงานของ ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ และ คุณหญิง ทิพาวดี  เมฆสวรรค์   หนังสือ เล่มนี้ตามความคิดของข้าพเจ้านั้น ทำให้เข้าใจในตัวของมนุษย์มากขึ้น เข้าใจในความต้องการในด้านต่างของมนุษย์ เพื่อการที่จะทำให้มนุษย์นั้นเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ ต้องมีการพัฒนาและการพัฒนานั้นจะต้องให้ตรงกับความต้องการของมนุษย์ของ องค์กร สังคม  และประเทศชาติ

 

น.ส. ศุภรัสมิ์ โรยภิรมย์ รหัส 48684591
เรียน ดร.จีระ         ก่อนอื่นขอกราบสวัสดี อาจารย์ จีระ(ขออนุญาตเรียกอาจารย์นะค่ะ) ก่อนอื่นต้องขอกล่าวขอบคุณอาจารย์มากๆ ค่ะ ที่ได้สละเวลามาให้ความรู้กับพวกเราเหล่า นิสิต มก. จิตวิทยาชุมชนค่ะ จากที่ได้นั่งเรียนมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมงนั้น ทำให้ดิฉันคิดว่า อ.จีระ เป็นคนที่มีพลังในการสอน สามารถสังเกตได้จากการลักษณะการสอนที่จะทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา โทนเสียง หรือแม้กระทั้งท่าทาง ที่ทำให้ดึงดูดคนฟังค่ะ        ขอเข้าเรื่องการบ้านที่ อ. ได้ฝากไว้เลยนะค่ะ ถ้าพูดถึงหนังสือเล่มที่ชื่อว่า 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน ถ้าตามความเห็นของดิฉันแล้วคิดว่าเป็นหนังสือที่ดำเนินเรื่องได้แปลกเพราะเนื่องจากว่าจะเป็นลักษณะของการ ถาม-ตอบ มากว่าที่จะเป็นการเขียนบรรยายยาว ๆ เพราะบางทีอาจจะทำให้หน้าเบื่อและอีกอย่างคือการรวมตัวกันของ 2 ท่าน ทำให้ทราบมุมมองที่กว้างขึ้น มากขึ้น คือ H’s และ K’s แม้จะเป็นตัวอักษรที่ต่างกันแต่ก็มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน และสามารถนำมาเชื่อมโยงกันทั้งทางด้านความรู้สึกและทางด้านความคิดได้เป็นอย่างดี ถ้าอย่างไรขอกล่าวถึงคำว่า Happiness ที่ดิฉันคิดว่าเป็นตัวที่มีความสำคัญและเป็นตัวที่ทำให้ 2 แนวคิดสามารถมาเชื่อมโยงกันได้ เพราะความสุขนั้น เป็นทั้งสาเหตุและผลลัพธ์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ที่ดิฉันคิดแบบนี้เพราะเห็นว่า ถ้าคนเราคิดจะทำอะไรแล้วไม่มีความสุขก็ไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะคิด ไม่อยากที่จะลงมือปฏิบัติ และสุดท้ายถ้าเราทำโดยไม่มีความสุขผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาไม่ดีอีกด้วย แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามีความสุขที่จะทำ อยากทำ อยากคิด ก็จะทำให้สิ่งที่ทำสิ่งที่คิดออกมาดี มีประโยชน์ ทั้งทางด้านจิตใจ และผลลัพธ์ที่ได้ต่างๆ ด้วย ทำให้มองว่า เมื่อเรามีความสุข ก็จะส่งผลทำให้ทุนต่าง ๆ อีก 7 ตัวนั้นเกิดขึ้นได้ สมองปลอดโปร่ง สุขภาพร่างกายดี คนรอบข้างหรือคนในครอบครัวก็จะมีความสุขไปด้วย เป็นต้น กล่าวถึงหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่น่าสนใจ เป็นการแชร์กันให้หลาย ๆ คนที่ได้อ่านได้ทราบถึง วิธีการดำเนินงาน วิธีการดำเนินชีวิต ทั้งยังวิธีความคิดของบุคคลที่ชื่อ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ได้มากขึ้น พร้อมทั้งความรู้ที่สอดแทรกเข้าไปของ ดร.จีระ ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางและแนวความคิดที่ดีที่จะเป็นแบบอย่างเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน พร้อมทั้งเป็นแนวทางสำหรับการทำงาน ทั้งในระดับผู้บริหาร หรือระดับผู้ปฏิบัติการ ที่จะนำ ความรู้เหล่านี้เข้ามาใช้ ผสมผสานกันไปกับงานที่ทำ เมื่อคนทำดี งานออกมาดี ส่งผลให้องค์กรประสบความสำเร็จ คนเราก็จะมีกำลังใจในการทำงานต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นของ HR ที่มีคุณภาพ และมีคุณค่าเป็นอย่างมากดังนั้น 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน 8 H’s 8 K’s  และ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะต้องสัมผัสหรือได้รับ เราก็ควรที่จะเปิดมุมมองใหม่ เพื่อรองรับกับความรู้ที่เพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน ทุกคนควรที่จะเปิดรับเพราะความรู้นั้นไม่ได้มีเพียงในตำรา หรือหนังสืออย่างเดียว แต่มันอยู่รอบตัวเรา เหมือนเป็นเงาตามตัว เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นมันได้มากน้อยแค่ใหน และสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ได้มากน้อยขนาดใหนเท่านั้นเอง        ขอบคุณ อ.จีระ มากค่ะ สำหรับ 3 ชั่วโมงที่เราได้เจอกัน และอีก 3 ชั่วโมง ต่อไป
เรียน  อาจารย์จีระ  หงส์ลดารมภ์เรื่อง  ขอแสดงความขอบคุณที่ท่านสละเวลาในการให้ความรู้แก่นักศึกษาฯ หนูต้องขอกราบขอบพระคุณท่าน อาจารย์ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ที่ท่านได้กรุณามาเป็นอาจารย์รับเชิญสอนวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่นิสิตปริญญาโท  สาขาจิตวิทยาชุมชน รุ่นที่ 4 โดยส่วนตัวแล้ว หนูรู้สึกประทับใจและชื่นชมในความเป็นตัวของท่านอาจารย์อย่างมาก  ท่านมีเทคนิคและวิธีการถ่ายทอดความรู้  ประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา  มีบรรยากาศที่อบอุ่นและมีส่วนร่วมของผู้เรียน  ซึ่งทำให้การเรียนน่าสนใจ  รวมทั้งความรู้ความสามารถที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดมาให้  ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าจดจำและนำไปพัฒนาตนเอง พัฒนางาน และองค์กรต่อไป  หนูได้อ่านหนังสือ  2  พลังความคิด ชีวิตและงาน  ไล่ล่าความเป็นเลิศด้วยทฤษฎี  8H's  ของคุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  และ 8K's ของ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า อาจารย์เป็นผู้จุดประกายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไทยให้ก้าวไกลบนเวทีโลกเพราะการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของท่านอาจารย์ ทำให้หนูเกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในหลายด้าน  ทั้งการดำเนินชีวิต  และการทำงาน มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องค้นหาและพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เราเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง ต่อเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว  สังคม  ประเทศชาติ ฯลฯ หนูภูมิใจมากค่ะที่วันนี้ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ และได้อ่านหนังสือที่ทรงคุณค่าด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ความรู้และแง่คิดในหลายๆ มุมมองจากหนังสือ  หนูจะนำไปพัฒนาตนเองและเผยแพร่เพื่อพัฒนาสังคมที่ใกล้ชิดกับตัวหนูเอง เมื่อมีโอกาส  สุดท้ายนี้หนูขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยปกป้องและคุ้มครองรักษา คนดีคนเก่งและมีความสามารถเช่นอาจารย์ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง  เป็นทรัพยากรมนุษย์พันธุ๋แท้คู่สังคมตลอดไป ขอบพระคุณค่ะ                                                                ขอแสดงความขอบคุณ                                      เรืออากาศเอกหญิง กฤษณา สมุดสร
เรืออากาศเอกหญิง กฤษณา สมุดสร
เรียน  อาจารย์จีระ  หงส์ลดารมภ์เรื่อง  ขอแสดงความขอบคุณที่ท่านสละเวลาในการให้ความรู้แก่นักศึกษาฯ หนูต้องขอกราบขอบพระคุณท่าน อาจารย์ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ที่ท่านได้กรุณามาเป็นอาจารย์รับเชิญสอนวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่นิสิตปริญญาโท  สาขาจิตวิทยาชุมชน รุ่นที่ 4 โดยส่วนตัวแล้ว หนูรู้สึกประทับใจและชื่นชมในความเป็นตัวของท่านอาจารย์อย่างมาก  ท่านมีเทคนิคและวิธีการถ่ายทอดความรู้  ประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา  มีบรรยากาศที่อบอุ่นและมีส่วนร่วมของผู้เรียน  ซึ่งทำให้การเรียนน่าสนใจ  รวมทั้งความรู้ความสามารถที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดมาให้  ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าจดจำและนำไปพัฒนาตนเอง พัฒนางาน และองค์กรต่อไป  หนูได้อ่านหนังสือ  2  พลังความคิด ชีวิตและงาน  ไล่ล่าความเป็นเลิศด้วยทฤษฎี  8H's  ของคุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  และ 8K's ของ ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า อาจารย์เป็นผู้จุดประกายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไทยให้ก้าวไกลบนเวทีโลกเพราะการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของท่านอาจารย์ ทำให้หนูเกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในหลายด้าน  ทั้งการดำเนินชีวิต  และการทำงาน มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องค้นหาและพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เราเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง ต่อเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว  สังคม  ประเทศชาติ ฯลฯ หนูภูมิใจมากค่ะที่วันนี้ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ และได้อ่านหนังสือที่ทรงคุณค่าด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ความรู้และแง่คิดในหลายๆ มุมมองจากหนังสือ  หนูจะนำไปพัฒนาตนเองและเผยแพร่เพื่อพัฒนาสังคมที่ใกล้ชิดกับตัวหนูเอง เมื่อมีโอกาส  สุดท้ายนี้หนูขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยปกป้องและคุ้มครองรักษา คนดีคนเก่งและมีความสามารถเช่นอาจารย์ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง  เป็นทรัพยากรมนุษย์พันธุ๋แท้คู่สังคมตลอดไป ขอบพระคุณค่ะ                                   ขอแสดงความขอบคุณเรืออากาศเอกหญิง กฤษณา สมุดสร
 

หลังจากอ่านหนังสือของท่านอาจารย์จบ หนูก็เกิดความเข้าใจในตัวเองขึ้นมาทันทีว่าหนูควรที่จะพัฒนาตนเองไปในทิศทางใด หลังจากที่หนูเรียนจบ ป.โท ในตอนแรกเลยนั้นหนูคิดว่าหลังจากที่เรียนจบแล้วหฯก็จะเรียนต่อ ป.เอก เลยทันที แต่พอถึงเวลานี้หนูควรต้องเปลี่ยนวิธีการคิดของตนเองใหม่แล้วค่ะ เพราะอย่างที่อาจารย์ได้สอนไว้แล้วว่าการเรียนรู้นั้นเราสามารถที่จะเรียนรู้ได้ตลอดเวลา การที่เราเป็นคนรอบรู้ ใฝ่รู้ ขยันหาความรู้ใส่ตนเองตลอดเวลาก้สามารถที่จะนำเราไปสู่ความเป็นเลิศได้ เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกอย่างอยู่ที่วิธีการคิดของเราเองคือคิดเป็น คิดอย่างสร้างสรรด์

การพัฒนาประเทศก็เช้นกัน ถ้าพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถมีศักยภาพในทักษะทุกๆ ด้านแล้ว ประเทศนั้นย่อมที่จะเป็นเลิศและได้เปรียบประเทศอื่น เพราะทรัพยากรมนุษย์คือทรัพยากรที่เป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายทรัพยากรอื่นได้ด้วย ดังมีคำพูดที่ว่า การจะพัฒนาคนให้เป็นคนเก่งนั้นไม่ยาก เพราะคนมีศักยภาพในการคิด การเรียนรู้ (คนมีสมอง) เราสามารถที่จะสร้างคน ฝึกทักษะให้กับคนได้ แต่ การที่จะสร้างคนให้เป็นคนดีนั้นสิยากกว่า ดังนั้นในทฤษฎี 8 K' S ของอาจารย์จึงเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้จริงๆ

ประเทศไหนก็ตามที่คนในประเทศนั้นมีการพัฒนา คนใฝ่เรียนรู้ คนมีประสิทธิภาพ ประเทศนั้นย่อมก้าวสู่ความเป็นเลิศได้เช่นกัน


อนัญญา สุขใจ

รหัส 48684716

นงลักษณ์ แก้วประกิจ
                          กราบเรียน  ศ ดร.จีระ,ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ  ทีมงานที่เคารพทุกท่าน  และสวัสดีเพื่อนร่วมรุ่น  ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ น.ท.หญิง ผศ  ดร.งามละมัย  ผิวเหลืองที่ได้เชิญ  ศ ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ที่มากด้วยความรู้  ความสามารถและประสบการณ์  ในการที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  มากว่า  3  ศตวรรษมาสอนพวกเรา  นิสิตปริญญาโทสาขาจิตวิทยาชุมชนภาคพิเศษรุ่นที่  4  ม.เกษตรศาสตร์  ให้ได้มีโอกาสจุดประกาย  และซึมซับ  สังคมการเรียนรู้  ใฝ่รู้  และLife  Long  Learning.  จากวิธีการสอนของ  ศ ดร.จีระ  ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์  และจะได้นำมาพัฒนาความรู้  ความสามารถของตนเองให้เรียนรู้อะไรหลายๆ  อย่างได้เร็วขึ้น  ง่ายขึ้นและตรงประเด็น.              จากการได้อ่านหนังสือ  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้  ของ  คุณพารณอิศรเสนา ณ อยุธยากับท่าน  ศ ดร.จีระ  ทำให้ทราบ   ว่าการแสวงหาความรู้ไม่ควรหยุดนิ่ง   ในการพัฒนาบุคลากรก็เช่นกันจะมีหลักคิดจากทฤษฏี 4 L s    ของคุณพารณกับท่าน ศ ดร.จีระ และในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล  ตามทฤษฏีของคุณ พารณ  เป็นสูตรสำหรับการเปลี่ยนแปลงส่งเสริมการเป็น  ผู้นำนวัตกรรมบริหาร  ซึ่งเรียกว่าทฤษฏีการเพิ่มศักยภาพของคน  คนเราต้องรู้จักพัฒนาศักยภาพของตน  รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง  เพื่ออาจจะได้รับโอกาส.  และในการที่จะให้องค์กรมีประสิทธิภาพ  และสามารถนำองค์กรสู่สังคมโลกที่มีความเจริญก้าวหน้า  มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับ  และมีมาตรฐานก้าวสู่ระดับโลกได้นั้นต้องมีการเรียนรู้  มีการวัดผลนำไปสู่การพัฒนาจุดอ่อน/สิ่งที่เขายังด้อยอยู่  ให้เป็นจุดแข็งในอนาคต  แบบมีตัวชี้วัด  ในแต่ละประเด็น  แล้วนำมาสู่ยุทธศาสตร์  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  เพื่อสร้างองค์กรและสร้างชาติต่อไป                     หนังสือ  2  พลังความคิด ชีวิตและงาน  กล่าวไว้ว่า  ทรัพยากรมนุษย์ที่มีวุฒิภาวะ  สามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของทุนทั้งสิ้น  8  ประการคือ  ทฤษฏี  8H  s กับทฤษฏี  8K   s                                                                                                                                                                                                                                      เป็นการมองศักยภาพของมนุษย์แบบครบวงจร  นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสามรถในการแข่งขันในเวทีโลกได้   และจากคำกล่าวของ  คุณหญิง ทิพาวดี   เมฆสวรรค์  ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า     ในระบบราชการเป็นองค์กรใหญ่  ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน  ลีลาและศิลปะของการทำงานต้องมี   อย่ากระเพื่อมน้ำแรงถ้าไม่แน่ใจต้องอย่าฝืนเพราะจะแพ้  เหมือนยืนท้าทายสู่กับธรรมชาติ  สุดท้ายถ้าแพ้อาจไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลย  เพราะฉะนั้น  ต้องร่วมกันสร้างสรรค์สังคมการเรียนรู้  ช่วยกันขับเคลื่อนสิ่งดีๆให้กับสังคมไทยเพื่อเชื่อมโยงกันไปสู่เป้าหมาย  เรื่องความสุขก็เป็นเรื่องสำคัญ  ควรพร้อมที่จะแบ่งปันและพร้อมที่จะพัฒนา  ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างยั่งยืนและสมดุลกับธรรมชาติ                                       ด้วยความเคารพอย่างสูง                                   นงลักษณ์   แก้วประกิจ  รหัส  48684328
ขอขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติมาให้ความรู้ใหม่ๆที่น่าสนใจเพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในการทำงานค่ะ จากที่ได้อ่านหนังสือ เล่มเล็ก ก่อนชื่อเรื่อง 2 พลังความคิดชีวิตและงาน นั้น ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ทฤษฎี 8 K’s และทฤษฎี 8 H’s แล้ว คิดว่าได้อะไรหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้คิดว่าผู้แต่งต้องการสอนให้เราคิดเป็นตามที่คุณหญิงทิพาวดีบอกว่า You are what you think โลกอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันรุนแรงและความเสี่ยงมากขึ้น สภาพเช่นนี้เป็นตัวผลักสำคัญให้เรามองไปยังอนาคตมากขึ้น และเริ่มคิดวางแผนเพื่ออนาคตไว้ตั้งแต่วันนี้ไม่ใช้รอไว้ทำพรุ่งนี้ เพราะการดำเนินการใด ๆ ในปัจจุบัน กว่าจะได้ผลต้องใช้เวลา อีกทั้งการจะคิดและกระทำสิ่งใดเพื่อให้ได้อนาคตที่ดีกว่า จะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการคิดและดำเนินการที่แตกต่างกันกล่าวคือ บางเรื่องจำเป็นต้องทำตั้งแต่วันนี้ เพื่อเมื่ออนาคตนั้นมาถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอันตราย ละใช้ประโยชน์สูงสุดจากอนาคตนั้นได้ทันท่วงทีดังนั้นการคาดการณ์ภาพอนาคตและการวางแผนเพื่ออนาคตจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวันนี้ ที่เราไม่ควรมีทัศนะการมองเกี่ยวกับการคิดอนาคตว่าเป็นแค่เรื่องรองๆจะทำเมื่อไรก็ได้แต่เราต้องฝึกคิดล่วงหน้าไปในอนาคตและวางแผนเพื่ออนาคตจนเป็นนิสัยวิธีการง่ายๆ อาจเริ่มจาก ตั้งเวลาในการคาดการณ์และวางแผนอนาคตนั้นอย่างเจาะจงเช่น ทุกช่วงต้นสัปดาห์ ทุกวัน จันทร์ ช่วงต้นเดือน ช่วงต้นปีหรือก่อนการดำเนินโครงการใด ๆ เพื่อบังคับให้เราต้องคิดกับอนาคตว่า จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น หรือโอกาสที่เราจะเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เพื่อวางแผนและกำหนดวิธีการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้การพัฒนาทัศนคติและนิสัยของการเป็นนักคิดเชิงอนาคตนี้เป็นเพียงก้าวแรกที่จะสนับสนุนการเป็นนักคิดในวันข้างหน้า ซึ่งการจะสามารถคิดอนาคตได้ดีหรือไม่นั้น เคล็ดลับอยู่ที่การฝึกฝน ทำบ่อย ๆ ให้เคยชินจนเป็นนิสัย. และจากที่ได้อ่านเล่มสองซึ่งมีเวลาอ่านน้อยมากและอ่านไม่ครบทุกตัวอักษร คิดว่าผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าของทุนมนุษย์การเน้น "คน" เป็นศูนย์กลาง ของการพัฒนา ต้องเริ่มต้นที่ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ เชื่อมั่น และยึดถือ ก็คือ เชื่อมั่นใน "คน" หรือเชื่อมั่นในความรู้ สติปัญญา และคุณค่าของความเป็นคน นอกจากนั้น ความไม่เข้าใจ ความหลงผิด ค่านิยมเก่าๆ อำนาจ และผลประโยชน์ส่วนตน ที่แฝงเร้นอยู่ และทำให้เกิดอคติ ก็จะต้องถูกกำจัดออกไป เพราะอาจขัดขวางการดำเนินงาน ตามกระบวนทัศน์ใหม่ได้ กล่าวคือ แต่เดิมมานั้น เรามักตีราคา คนที่ "ความรู้" ไว้สูงมาก โดยคาดว่า เขาคงมีจากการศึกษาเล่าเรียน หรือจากการได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรต่างๆ ในขณะเดียวกัน เรามักไม่ใคร่เน้นคุณค่าของ "ความมีสติปัญญา" ของคน ที่รู้จักหน้าที่รับผิดชอบ และมีภูมิปัญญาล่วงรู้ได้ว่า ตนจะต้องทำอะไรต่อไป ในเรื่องที่ตนรับผิดชอบให้ได้ อย่างถูกต้อง อีกทั้งมักมองข้ามคุณค่าอันสูงสุด ของความเป็นคน คือ ความมั่นคงและความกล้า ที่จะลงมือทำอะไรต่อไป ในงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่สังคมไทยถึงตระหนักไว้ ก็คือ สติปัญญา หรือภูมิปัญญา (wisdom) นั้นมีคุณค่าเหนือกว่าความรู้ (knowledge)ในตอนที่ ดร.จีระ พูดกับ คุณพารณ ว่าจะต้องนำ knowledge ไปสร้างคุณค่าและให้ได้รับประโยชน์อีกด้วยจึงจะเกิดประโยชน์ต่อผู้คน ในทางสร้างสรรค์ได้ และถึงแม้สติปัญญา หรือภูมิปัญญา (wisdom) จะมีคุณค่าสูงปานใด แต่หากขาดความมุ่งมั่น และความกล้า ที่จะทำคุณค่าดังกล่าว ก็จะยังไม่บังเกิดแก่บุคคล  สุนทรี  ธูปพนม48684658
สุวดี วงษ์พนม ป.โทรุ่น4

จากได้ที่อ่าน ทรัยากรมนุษย์พันธุ์แท้

จะพัฒนา Human Resources ได้อย่างไรนั้น เราต้องเข้าใจในเรื่อง Strategg แล้วใส่ Feeling เข้าไป ขอให้เป็นคนกระหายความรู้ หิวความรู้อยู่ตลอดเวลา บริโภคข่าวสารให้เยอะๆ ฟัง พูด อ่าน เขียน มากๆ จะทำให้เราเกิดองค์ความรู้และ Eteellence นำไปสู่การกก้าวทันเทคโนโลยี และสารสนเทศและนำไปสู่ High Performance ไม่ว่าการทำงานในอาชีพใดต้องใช้จิตวิทยาทั้งสิ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่อุตส่าห์ร่ำเรียนกันมาต้องนำไปใช้พัฒนาตัวเอง องค์กร ประเทศชาติให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล้าที่จะเป็นคนเก่ง กล้าที่จะทะเยอทะยาน กล้าที่จะเป็นผู้นำ จงเชื่อตัวเอง อย่าคิดแต่จะลอกตำรา ให้คิดมากๆ อย่าทำงานไปเรื่อยๆ หรือเรียนไปเรื่อยๆ เราทุกคนต่างมีพลังในตัวเอง จงใช้มันให้ถูกจุด พัฒนาให้ถูกทาง จงเชื่อ และศรัทรา ก่อให้เกิดการวางแผน และนำไปปฏิบัติ ความสำคัญของคน ต้องคำนึงถึงความพึงพอใจ และมีส่วนร่วมตลอดจนต้องมีการกระจายอำนาจ การมีวิสัยทัศน์ ที่กว้างขวาง ของผู้บริหาร ใช้ HR เป็นตัวขับเคลื่อน เพราะทรัพยากรคนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

 

จากที่ได้อ่าน 2พลังความคิด ชีวิตและงาน

ทุนมนุษย์เราได้มาตั้งแต่กำเนิด ทำอย่างไรให้มันมี มีมากขึ้น ให้รู้จักตัวเอง และมีความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมของเรา การใช้สมองคิดในทางที่ถูก มีสติอยู่เสมอ ต้องคิดวิเคราะห์ให้เป็น จะทำให้เกิดปัญญา ให้กล้าที่จะตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็น ทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถเพิ่มมูลค่า และพัฒนาไปได้ตลอด เวลาไม่จบสิ้น เพราะเป็นเรื่องของความรู้ ความคิด ทักษะ และความสามารถ ภาวะผู้น้ำต้องรู้ลึก รู้กว้าง รู้มากกว่าคนอื่น ห้ามดูถูกคน ทุกคนที่เราสนทนาด้วย ให้ใส่ใจว่าเราได้สาระอะไรบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเกร็ดความรู้ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ไปเสียทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องท่องตำรา อย่าลอกเลียนแบบคนอื่น ให้คิดมากๆ คิดให้เป็นระบบ อย่าหยุดนิ่ง ยิ่งมีคุณวุฒิ วัยวุฒิเพิ่มมากขึ้นเท่าใดก็ต้องยิ่งเพิ่มพูนองค์ความรู้ และสติปัญญาด้วย ให้ใช้ปัญญากับความจริง แสวงหาข่าวสารอยู่ตลอดเวลา หาทุกช่องทาง เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทุนทางความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ทุนทางปัญญา หากได้รับการพัฒนาอยู่เสมอจะสามารถทำให้องค์กร เข้มแข็ง มีศักยภาพ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมโลกาภิวัฒน์ และให้สนุกกับงาน มีความสุขกับงานที่ทำ ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม รู้จักอกเขา อกเรา รู้จักแบ่งปัน รู้จักพอเพียง

นายพงศ์เทพ ลีลาภิวัฒน์
กราบสวัสดี ท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ และสวัสดีทีมงานทุกท่าน, เพื่อนๆจิตวิทยาชุมชน รุ่น4 ม.เกษตร และผู้อ่านทุกๆท่านครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ มากที่เปิดโอกาสให้ได้มีการแสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือทั้งสองเล่มของอาจารย์ จากการที่ผมได้อ่านแล้วเห็นว่าทั้งสามท่าน (ศ.ดร.จีระ, คุณพารณ และคุณหญิงทิพวดี) มีความเห็นที่เหมือนกันว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด และวิธีการในการพัฒนาคนของทั้งสามท่านก็มีความคลายคลึงกัน ซึ่งเป็นประโยชน์กับผมอย่างมากในการนำมาปรับใช้โดยใช้วิชาทางจิตวิทยามาผสมผสาน โดยทั้งสามท่าน(ตามหนังสือทั้งสองเล่น) ได้บอกถึงการพัฒนาคนในองค์กร ส่วนผมนำมาปรับใช้กับชุมชน ทั้งสามท่านมองว่าการพัฒนาคนต้องพัฒนาในทุกๆด้าน ไม่ใช้แต่จะให้เขาเก่งแต่ทำงาน ทำกำไรให้กับองค์กรมากๆ แต่เราต้องทำให้เขามีคุณธรรม จริยธรรมด้วย ซึ่งเราจะเห็นว่าสังคมไทยในปัจจุบันจริยธรรมกำลังถูกถามหา ทั้งคุณพารณ และคุณหญิงทิพวดี ไม่ได้แต่บอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอย่างเดียว ท่านทั้งสองต้องเป็นผู้นำในการปฏิบัติ ซึ่งก็เหมือนกับผู้นำชุมชน ถ้าเราต้องการให้คนในชุมชนเป้นอย่างไรผู้นำชุมชนต้องทำได้อย่างนั้น คนที่มีคุณภาพต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เพราะโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที ยิ่งโลกแคบลงเท่าไหร่เรายิ่งต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่ายังเป็นปัญหาอยู่มากในสังคมไทย คือเรื่องของโอกาส ถ้าที่ใดมีผู้นำที่ดี เข้าใจเรื่องการพัฒนาคน มากกว่ามองแต่ผลทางธุรกิจอย่างเดียว มีโอกาสได้คิดได้ทำ รู้จักคิดนอกกรอบ แม้แต่ระบบการเรียนการสอนในปัจจุบันยังไม่เปิดกว้างทางความคิด ต้องท่องจำตามตำราตลอดแล้วคนเราจะพัฒนาอย่างไร โดยสรุปแล้วผมว่าการพัฒนาคนต้องมาจากทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่จุดเล็กคือตัวเราเองพร้อมที่จะพัฒนาหรือไม่ ครอบครัวมีการอบรมเลี้ยงดูอย่างไร สถาบันการศึกษาไม่ใช้ให้แต่ความรู้แต่ต้องมีคุณธรรมด้วย ชุมชนหรือองค์กรต้องให้ความสำคัญของคนมากกว่าผลกำไรทางธุรกิจ จนถึงระดับชาติต้องสร้างคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสุดท้ายขอขอบคุณท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ ทีมาให้ความรู้กับพวกเรา และทำให้ผมรู้จักวิธีการคิด และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบใหม่ ซึ่งอาจดูแปลกไปแต่ค่อนข้างที่จะเกิดผลดี มากกว่าผลเสีย ขอบคุณครับ  
นางสาวสราลีวรรณ คันธมาศ เลขประจำตัว 48684617
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพ และสวัสดีทีมงานทุกท่าน ดิฉันต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ เป็นอย่างสูง ที่ให้เกียรติมาเป็นอาจารย์รับเชิญพิเศษให้แก่นิสิตปริญญาโทจิตวิทยาชุมชน และให้โอกาสนิสิตได้แสดงความคิดเห็น และท่านอาจารย์ ผศ.น.ท.หญิง ดร. งามลมัย ผิวเหลือง อาจารย์ประจำวิชาที่ได้กรุณาเชิญ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ มาให้ความรู้ในครั้งนี้จากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้: บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุคโดย คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ เป็นแนวทางการทำงานมุ่งมั่นและตระหนักถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และหนังสือเรื่อง “2 พลังความคิด ชีวิตและงาน: ไล่ล่าความเป็นเลิศด้วยทฤษฎี 8H’s และ 8K’s” ของ 2 ผู้นำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ คือ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ทำให้ดิฉันได้ทราบเนื้อหาของทฤษฎีบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (8H’s) ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ มีดังนี้ Heritage, Hand, Health, Happiness, Home, Harmony, Heart, Head ส่วนทฤษฎีทุนในทัพยากรมนุษย์ (8K’s) ของศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดังนี้ Human Capital ทุนมนุษย์, Intellectual Capital ทุนทางปัญญา, Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม, Happiness Capital ทุนแห่งความสุข, Social Capital ทุนทางสังคม, Sustainability Capital ทุนแห่งความยั่งยืน, Digital  Capital ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ, Talented Capital ทุนทางความรู้ ซึ่งทั้งสองทฤษฎีมีส่วนคล้ายกัน และทำให้ดิฉันทราบว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการพัฒนาคน เนื่องจากคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร ทุนแห่งความยั่งยืนเป็นทุนที่สำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อดำรงอยู่ในโลกยุคนี้ ความรู้ที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มพูนและใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา จะได้ตามทันโลก หนังสือทั้งสองเล่มมีประโยชน์และมีค่าในด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูงนางสาวสราลีวรรณ คันธมาศ เลขประจำตัว 48684617
น.ส.พจนาถ ธรรมาภิรมย์
กราบเรียนท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพ คุณยม คุณโลตัส คุณโรจน์ ทีมงานของท่านอาจารย์ทุกท่าน และเพื่อนนิสิตปริญญาโท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตรศาสตร์ทุกท่าน ก่อนอื่นดิฉันขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลาอันมีค่าอย่างสูงของท่านมาเปิดโลกของพนักงานบริษัทคนหนึ่งที่มองโลกของการทำงานอีกแบบ ให้กลายเป็นอีกแบบ ดิฉันติดตามผลงานของท่านอาจารย์ทางหนังสือมาได้ระยะสักพัก เนื่องจากดิฉันต้องการเดินทางสู่ศักยภาพมนุษย์ยุคใหม่ ที่ไม่ใช่มองการทำงานเป็นเพียงอาชีพโดยการนำหลักที่เคยเรียนรู้มายึดไว้คล้ายกับที่ท่านอาจารย์บอกว่า การสอบหากนักเรียนสามารถเขียนได้ 9 เรื่อง จาก 10 เรื่อง ได้ A ไป นั่นแสดงว่าเก่งแต่ท่อง เป็นคนความจำดี ซึ่งในประเทศไทยส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้ อย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างให้ฟังหากเรายึดแต่ตำรา แต่ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด อีกทั้งคนเราควรมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ควรหยุดนิ่งกับการเรียนรู้เพิ่มเติมข้อมูลอยู่ตลอด ดังเช่นที่ท่านอาจารย์ ดร.งามละมัยกล่าวไว้ว่่า Life Long Learning ซึ่งทำให้ความรู้ไม่มีวันหยุดนิ่ง         โดยจากหนังสือ 2 เล่ม คือ 2 พลังความคิดชีวิตและงาน : ไล่ล่าความเป็นเลิศด้วยทฤษฎี 8 H’s : 8 K’s ของท่านดร.จีระ และ คุณหญิงทิพาวดี อีกเล่มคือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของ ท่านดร.จีระ กับ คุณพารณ ทำให้ดิฉันรู้สึกว่ามุมมองของการนำไปสู่การทำงานของท่านทั้ง 2 สามารถดึงแต่ละตัวมาสอดคล้องกันได้เป็นอย่างดี ทั้ง 8 H’s และ 8 K’s ล้วนสำคัญทุกตัว เป็นทฤษฎีที่อาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถขาดตัวใดตัวหนึ่งได้เลย ชั่งน้ำหนักได้เท่ากันทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิฉันชอบคำว่า ทุน ของท่านดร.จีระมาก เนื่องจากว่าคนเราล้วนมีทุนมาแต่กำเนิดทุกคน แต่คนเรามักมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น เราจึงควรมีการเพิ่มเติมทุนอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับตัวเอง        อีกทั้งมุมมองต่างๆที่ท่านพารณมอง ท่านดร.จีระมอง และคุณหญิงทิพาวดีมอง ล้วนจุดประกายให้ข้อคิดต่างๆ ในแง่มุมที่ทำให้คนมีคุณค่ามากที่สุด ดังคำกล่าวของท่านพารณที่กล่าวว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ซึ่งทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันเสื่อมโทรม ไม่เหมือนกับทรัพยากรอื่นๆ แต่อาจต้องมีการบำรุงดูแล เช่น การมีการฝึกอบรมให้กับพนักงาน เป็นการดูแลรักษาทรัพยากรให้อยู่ได้ยืนนาน เป็นต้น        โดยดิฉันขออนุญาตนำหลักการ Head Heart Fact Feeling ของท่านอาจารย์ยึดถือเป็นอุดมคติในการทำงานของดิฉันต่อไปในอนาคต เพื่อก้าวไปสู่มนุษย์ที่มีศักยภาพต่อไป                        ด้วยความเคารพอย่างสูง     น.ส.พจนาถ ธรรมาภิรมย์ รหัส 48684427

 

ยม "ติดตามอ่านข้อความ น.ศ. ป.โท ม.เกษตร"
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ นักศึกษา ป.โท ที่ ม.เกษตร และท่านผู้อ่านทุกท่าน  ผมยังคงเกาะติดกับการอ่านการบ้านของ น.ศ.ที่ส่งเข้ามา สำหรับคุณนงลักษณ์ ที่โทรเข้ามาปรึกษา ขอแก้ไข ผมจะรับดำเนินการให้ในเบื้องต้น แต่ขอเวลาเป็นตอนค่ำ น๊ะครับ   ขณะนี้ ขอให้นักศึกษารีบส่งก่อนกำหนด เพราะผมและอาจารย์ กำลังติดตามอยู่ คนส่งก่อน ได้เปรียบ ส่งแล้วจะสงอีกก็ย่อมได้ครับ   

 

สวัสดี 

 

ยม

น.ศ.ปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต081-9370144 
พระมหาวชิระ พิมพ์ทอง
 เจริญพร  อาจารย์ที่เคารพ  อาตมามีความรู้สึกว่า การที่เราได้เรียนไม่จำเป็นว่า ต้องเรียนที่ไหนถึงดี  หรือสาขาไหนถึงดี  แต่อยู่ที่ว่าอาจารย์ที่เป็นนักปราชญ์หรือปรมาจารย์ทางด้านสาขานั้น ๆ อยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปที่นั่น เพราะเหตุว่า เราจะได้รับการถ่ายทอด ความรู้ ประสบการณ์ จากปรมาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถในสาขานั้น    ถึงอาตมาจะไม่มีโอกาส ได้ไปเรียนในสาขาและมหาวิทยาลัยที่ท่านอาจารย์สอนแต่ก็โชคดีเป็นอย่างมากที่สักครั้งหนึ่ง ได้เรียนกับนักทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้และคงคุยกับคนอื่นได้ไปอีกนาน  รู้สึกอีกว่า ถ้าปรมาจารย์ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ท่านที่ 2  คือ ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมภ์  แล้ว  ปรมาจารย์ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ท่านที่ 1 คือ อาจารย์พารณ  อิศรเสนา ณ อยุธยา  จะเก่งขนาดไหน           อาตมา ได้อ่านหนังสือที่ท่านได้เขียนแล้วก็จะไม่วิเคราะห์ในแง่ของทางโลก เนื่องจากว่า อาจจะไปซ้ำกันกับเพื่อน ๆ ซึ่งคงจะกล่าวถึงกันเป็นส่วนมาก  แต่ขออนุญาต วิเคราะห์ในแง่ทางศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นเพียงความเห็นส่วนน้อย  แต่ก็ดีใจที่ หนังสือที่ท่านได้เขียนไม่เคยทอดทิ้ง คำสอนทางพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านจะจบจากต่างประเทศก็ตาม  ทั้ง 3 ท่านก็ได้อ้างคำสอนของพุทธศาสนาตลอด น่ายกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นอย่างมาก  เล่มแรก คือ  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ได้กล่าวถึง  การพัฒนามนุษย์ โดยการพัฒนา 2 ด้านคือ ทางด้านปัญญา และทางด้านจิตใจ  หรือ Head   กับ  Heart   ซึ่งทั้งสองอย่างก็แยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนกับ  ร่างกายและจิตใจ ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ คืออิงอาศัยกันและกัน เมื่อพัฒนาอย่างหนึ่ง ก็จำเป็นต้องพัฒนาอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้พัฒนาปัญญาหรือจิตใจเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งความคิดเห็นของทั้งสองท่านได้เปรียบตรงนี้   การพัฒนาปัญญาหรือการพัฒนาความรู้ของคนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดหรือเป็นแกนกลางที่จะทำให้คนบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด การพัฒนาคนจึงต้องเน้นที่การให้ปัญญาหรือเน้นที่ให้ความรู้เพราะศักยภาพสูงสุดของมนุษย์คือปัญญานั่นเอง  แต่การพัฒนาคนนั้นต้องทำให้คนมีความศรัทธา หรือมีความเชื่อว่า การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มากต่อการพัฒนามนุษย์ ถ้าคนไม่มีความศรัทธาการเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้   ตรงข้ามถ้าคนพัฒนาปัญญา แต่ไม่ได้พัฒนาจิตก็มีปัญหาเช่นกัน เหมือน เรานั่งอยู่ในห้องอาจารย์ก็สอนอยู่ แต่จิตคิดถึงปัญหาต่าง  ๆ ที่อยู่ที่ทำงานหรือที่บ้านใจไม่ได้อยู่ห้องถึงฟังอยู่ก็ไม่ได้พัฒนาปัญญา  เพราะฉะนั้นการพัฒนามนุษย์จึงต้องพัฒนาทั้ง  Head   กับ  Heart   อย่างที่ท่านอาจารย์ทั้งสองท่านให้ความสำคัญ  ทรัพยากรมนุษย์นั้นต้องเป็นคนเก่ง (ปัญญา)   และคนดี  (จิตใจ)  ต้องควบคู่กันไป  การพัฒนาคนก็จะมีประสิทธิภาพพัฒนาง่าย และจึงจะเกิดประสิทธิผลต่อองค์กร           2 พลังความคิด ชีวิตและงาน  ทฤษฎี 8 H’s ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และ ทฤษฎี 8 K’s  ของท่านอาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ นั้นสอดคล้องกัน ในเรื่อง ทุนภายในคือทุนที่อยู่ภายในตัวบุคคลที่บุคคลต้องแสวงหาและต้องมี ส่วนภายนอกคือทุนที่เป็นตัวหนุนให้บุคคลบรรลุเป้าหมาย และทั้งสองอย่างก็มีความสำคัญต่อการนำไปพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือที่เรียกว่าสังคมก็ส่งผลต่อคนได้ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ทั้งสองอย่างส่งผลต่อกันและกัน                                                  เจริญพร                                         พระมหาวชิระ  พิมพ์ทอง                                           รหัส  48684526  
หนังสือเรื่อง ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้สิ่งที่ได้จากการอ่านได้รู้จักประวัติการทำงานของท่านอาจารย์ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ในการบริหารจัดการบริษัทเครือซิเมนต์ไทยจนเป็นที่เริ่องลือและรู้จักเป็นที่ยอมรับในหลักการทำงานของท่านที่ทานได้เล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ หรือคน ว่ามีความสำคัญกับองค์กรมากที่สุด พร้อมทั้งให้โอกาสของบุคคลในการใช้ความคิดเพื่อพัฒนาองค์กร ยอมรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าด้วยการให้โอกาสในการศึกษาต่ออย่าง เท่าเทียม สมกับความมุ่งมั่นของท่านและศรัทธาที่ว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในองค์กร        ในส่วนของท่าน ด.ร.จีระ หงส์ลดารมณ์ นั้นจากการอ่านทำให้ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งสถาบันทรัพยากรมนุษย์กับการบุกเบิกของท่านอาจารย์จีระ กับการฝ่าฟันอุปสรรคจนสำเร็จท่านมีจุดแข็งที่ความคิดสร่งสรรค์แต่มีจุดอ่อนที่อายุน้อย การได้รับความยอมรับนับถือเลยต้องพิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์ถือว่าเป็นนักสู้ทางความคิดที่น่าเอาอย่าง  รวมทั้งท่านยังได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของรัฐในเรื่องทรัพยากรมนุษยืในอีกหลายรัฐบาล  อ่านแล้วทำให้คิดว่าต้องพยายามไม่มีใครได้อะไรมาโดยง่ายความใฝ่รู้ของตนเองก็สำคัญนังสือเรื่อง 2 พลังความคิดชีวิตและงาน 2 ทรัพพยากรมนุย์พันธ์แท้สิ่งที่ได้จากการอ่านน ทำให้ได้ทาบถึงแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จากผู้ที่ได้รับการยอมรับหลายท่านด้วยกัน เช่นอาจารพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา  คุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์ ซึ่งของคุณหญิงกล่าวถึงทฤษฎีนักบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 8  H’s” ซึ่งประกอบด้วย1.HEAD2.HEART3.HARMONY4.HOME5.HAPPINESS6.HEALTH7.HAND8HERITAGEและทฤษฎี การเพิ่มทุนมนุษของ ท่านอาจารย์ ด.ร.จีระ8 K’s” อันได้แก่1.ทุนมนุษย์2.ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ3.ทุนทางปัญญา4.ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ5.ทุนทางจริยธรรม6.ทุนแห่งความสุข7.ทุนทางสังคม8.ทุนแห่งความยั่งยืนทรัพยากรมนุษย์ คือทุนที่สำคัญที่สุดขององค์การ จะพัฒนาองค์การต้องพัฒนาที่คน นุจรีย์ รักคล้ำ จิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 รหัส48684344
น.ส.ระพีพร  ดอกโศก รหัส 48684492  จิตวิทยาชุมชนภาคพิเศษ รุ่นที่ 4  ม.เกษตรศาสตร์ ได้อ่านหนังสือของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ แล้วค่ะ พออ่านแล้วได้รู้จักกับคนที่เก่งด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เยอะมาก และยังได้รู้จักกับผู้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับ HR ที่เก่งทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยสนในเรื่อง HR เลย และพอได้อ่านก็ได้ประโยชน์หลายอย่างทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายจะเห็นว่าถ้ามนุษย์ได้รับการพัฒนาก็จะเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดไม่ว่าจะเป็นเงิน เครื่องจักร อะไรก็ตาม ก็ทดแทนไม่ได้ และยังได้รู้ถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาของคนถ้าได้รับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ จากปัญหาที่จะใหญ่ก็จะกลายเป็นปัญหาที่เล็กลงทันทีและยังได้เรียนรู้เรื่องการมีความสุขในการทำงานว่าเราต้องสนุกกับการทำงานไม่ใช่ว่าจะทำงานเพื่อเงินอย่างเดียวเราต้องรักในงานของเราและรับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
นางสาวหรรษา พิมพ์พิพัฒน์
            กราบเรียน ศ.ดร.จีระ ที่เคารพและสวัสดีเพื่อน ๆ ป.โทจิตวิทยาชุมชนทุกคน ก่อนที่จะเขียนอะไรใน Blog นี้ คงต้องกล่าว คำว่า ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ ศ.ดร. จีระ ที่ได้มาให้ความรู้เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งครั้งแรกดิฉันคิดว่าการเข้าร่วมชั้นเรียนในครั้งนี้จะทำให้รู้สึกเครียดแต่กลับได้รับบรรยากาศที่แปลกไปจากการเรียนปกติและท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ ช่วยจุดประกายให้ดิฉันได้มองเห็นและคิดอะไรที่แตกต่างจากมุมมองเดิม ๆ ที่เคยคิดว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งทำได้ยากและไม่เหมาะกับนิสัยคนไทย ไม่น่าจะปฏิบัติได้จริงในชีวิตการทำงาน แต่จากการได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มแล้วทำให้รู้ว่าในชีวิตการทำงานจริงนั้นสามารถที่จะนำความรู้ที่ดูเหมือนเป็นทฤษฎีมาประยุกต์และปรับใช้ เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงต่อองค์การ คล้ายการนำนามธรรมมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้จริง เกิดประโยชน์ทั้งในตัวบุคคลและในองค์การ เพราะตัวบุคคลเองก็ได้พัฒนาทุนทางปัญญาที่ตัวเองมีอยู่และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง ส่วนองค์การนั้นได้ผลประโยชน์ในการเจริญเติบโตทางธุรกิจ ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ดิฉันรู้สึกถึงความหัสจรรย์ของทฤษฎีทั้ง 2 คือ ทฤษฎีนักบริหาร 8 H's ของคุณหญิงทิพาวดี และทฤษฎี 8 K's ของ ศ.ดร.จีระ ที่มาตรงกันได้ด้วยความบัญเอิญ        ความรู้ที่ได้ทั้งจากในชั้นเรียน และในหนังสือที่ได้อ่านทำให้รู้ถึงความสำคัญและรู้ถึงคุณค่าของความเป็นคนอย่างแท้จริงดังคำกล่าวที่ว่าคนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่าจะทำให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร ทำให้ดิฉันได้ความคิดที่ว่า คนทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกัน เพียงแต่เราจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีคุณค่าทั้งทางปัญญาและทางสังคมได้มากกว่าคนอื่นอย่างไรเท่านั้นเอง ดังที่ท่านอาจารย์ ศ. ดร.จีระ ได้กล่าวว่า ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่พัฒนาความรู้ก็เน่าได้เหมือนผักเท่านั้นเอง ดิฉันขอใช้ความกล้าหาญนำความรู้ที่ได้รับจากท่านอาจารย์ มาพัฒนาตัวดิฉันและองค์การของดิฉันให้เจริญก้าวหน้าไปพร้อมๆกับการพัฒนาของโลกในปัจจุบัน ด้วยความเคารพอย่างสูง    นางสาวหรรษา พิมพ์พิพัฒน์ รหัสประจำตัว 48684690 
มัตติมา คณานุวัฒน์
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณศ.ดร.จีระ หงส์ลดดารมภ์และพี่ๆทุกคนในทีมงาน ที่มาเป็นวิทยากรพิเศษ ทำให้การเรียนในวันนั้นข้าพเจ้าได้รับความรู้ และเกิดความรู้สึกใหม่ๆที่หาไม่ได้ง่ายนักในการเข้าเรียน รวมทั้งการบ้านที่ท่านศ.ดร.จีระได้ให้มา ทำให้ตัวข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่าที่ผ่านๆมาเราได้ทิ้งเวลาไปโดยเสียเปล่า ถ้าเรารู้จักหยิบหนังสือสักเล่มติดตัวเราตลอดเวลา เราก็สามารถใช้เวลาที่เราคิดว่ามันสั้นๆนั้น หาความรู้ใส่สมองได้เหมือนกัน จากหนังสือที่ข้าพเจ้าถือติดตัวตลอด 2 วันมานี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญมากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ในองค์กรใด ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนทุกองค์กรจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรตัวนี้ในการผลักดัน ส่วนตัวข้าพเจ้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจในบริษัทสายการบินแห่งชาติ ทำให้เข้าใจการทำงานแบบภาครัฐที่ไม่เน้นการแข่งขัน แต่จากการฟังบรรยายในวันนั้นและการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม ทำให้ข้าพเจ้าต้องเปลี่ยนความคิดเดิมๆทิ้งไป เพราะโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันที่สูงมาก ถ้าเราแค่หยุดคิด ก็ทำให้เราถอยหลัง เพราะทุกๆคนวิ่งไปข้างหน้า ดังนั้นเราควรเอาทฤษฎี 8H’s และ 8K’s ของทั้ง 2 ท่าน มาประยุกต์ใช้กับตัวเราและในองค์กร สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิดจะนำมาใช้เลย คือ Head และ Intellectual Capital คนเราต้องรู้จักคิด และวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เราเผชิญอยู่ว่าเราจะต้องทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร ถ้าเรามีแต่ความรู้แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ความรู้เหล่านั้นก็เหมือนสิ่งของที่ไร้ค่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ อีกทั้งแนวความคิดที่โดนใจตัวข้าพเจ้ามากๆนั้นคือ Hand และ Talent Capital การที่เรามีหน้าที่รับผิดชอบในองค์กรแม้เราจะเป็นส่วนเล็กๆที่อาจจะไม่สำคัญเท่าคนอื่นแต่ถ้าเรามีความชำนาญในสิ่งที่เราทำ นั่นก็เท่ากับว่าเราบรรลุความสำเร็จของเราไปก้าวหนึ่งแล้ว อีกทั้งการทำงานจนเกิดความเชี่ยวชาญก็ทำให้เรารู้สึกได้รับความสุขจากสิ่งที่เราทำ (Happiness Capital) งานที่ออกมาก็จะมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดผลดีทั้งกับตัวเราเอง ผู้ใช้บริการ แล้วส่งผลดีมาถึงบริษัทด้วย จากความคิดของข้าพเจ้าการที่เราคิดดี ทำดี พูดดี ตามหลักของศาสนา และเชื่อมโยงถึง Heart และ Ethical Capital ที่อ่านในหนังสือนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามถ้าเราคิดในแง่บวก (Positive Thinking) สิ่งที่ตามมาย่อมมีแต่สิ่งดีๆ ไม่ว่างาน หรือคนที่มีผลกระทบต่อจิตใจของเรา ถ้าเรานำมาคิดหาเหตุผลที่ดีๆก็จะทำให้เราสบายใจ อารมณ์คงที่ เมื่อนั้นก็จะเกิดสติ และสามารถหาทางออกกับปัญหานั้นๆได้ ขอบคุณคะมัตติมา คณานุวัฒน์ 48684476 
กราบเรียนท่านศ.ดร.จีระ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ทีมงาน เพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน และผู้อ่านทุกท่าน       ในมุมมองของคนอ่านคนหนึ่ง คิดว่าคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลงานอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความเป็นคน คนที่จะอยู่อย่างมีคุณค่าได้ต้องรู้จักพัฒนาตนเองซึ่งต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำราอย่างเดียว แต่มีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ในการทำงานเช่นเดียวกัน การจะพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีคุณภาพได้ต้องมีความเชื่อและศรัทธา มองให้เข้าถึงใจของบุคลากร การทำงานในองค์กรนั้นก็จะมีความสุข และงานไม่ว่าจะมีปัญหาหรือยากแค่ไหน งานก็จะผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าเปรียบทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ก็เหมือนการเริ่มสร้างครอบครัว ถ้าคนในครอบครัวไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เราก็จะไม่สามารถประคับประคองครอบครัวต่อไปได้ และถ้าเราทำความเข้าใจซึ่งกันและกันก็จะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข อย่่างการทำงานในองค์กร ถ้าผู้บริหารมองบุคลากรในองค์กรเหมือนเป็นหนึ่งในครอบครัว ระบบการบริหารงานก็จะผ่านไปได้ง่ายแม้จะมีปัญหาเข้ามามากน้อยแค่ไหน ถ้ารู้จักบริหารคนให้เป็น       ในประเทศไทยที่กำลังพัฒนา การที่นำเอาหลักทฤษฎีการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทฤษฎี 8H’s และทฤษฎีทุึนในทรัพยากรมนุษย์เป็นทฤษฎี 8K’s นำมาใช้อย่างเข้าใจ ประเทศไทยคงเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างมีคุณภาพ โดยมีคนเป็นแกนนำในการพัฒนา ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำควรมีวิสัยทัศน์เพื่อเร่งสร้างทุนความรู้ในมนุษย์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้องค์การ ควรส่งเสริมให้คนมีการพัฒนาความรู้ ทักษะไปเรื่อย ๆ เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันหมด แต่จะมีผู้นำสักกี่คนที่จะเข้าใจและนำมาใช้ในการพัฒนามนุษย์อย่างแท้จริง       ในการบริหารงาน จริงอยู่ที่เราต้องการคนเก่งและมีความสามารถ แต่ความเก่งนั้นต้องมีคุณธรรมและ่จริยธรรมควบคู่ไปด้วย ควรที่จะเก่งได้หรือเก่งจริง ต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง พร้อมรับความรู้ใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา พัฒนาตนเองอยู่เสมอ และมีทีม work ที่ดี งานในองค์กรนั้นก็จะสำเร็จลุล่วงไปอย่างมีคุณภาพ                   ด้วยความเคารพอย่างสูง                   ปนัดดา  เบ้าทอง             รหัสประจำตัวนิสิต 48684377
กราบเรียนท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ท่านทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ และขอกล่าวสวัสดีเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน และผู้่อ่านทุกท่าน       ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ดร.จีระ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 6 ชั่วโมงก็ตาม ซึ่งถือเป็น 6 ชั่วโมงที่มีค่ายิ่ง เวลาจึงดูเหมือนหมดไปอย่างรวดเร็วมาก โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อเลยที่นั่งฟังอาจารย์บรรยายเหมือนได้ดูภาพยนตร์ 3 มิติ ทำให้เข้าใจ HR มากยิ่งขึ้น ซึ่งตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ารับการฟังบรรยายจากอาจารย์ ดิฉันคิดว่า การพัฒนาคนจะทำได้อย่างไร เพราะคนมีความแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน จากสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน แม้กระทั่งหัวหน้างานก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเดิม ยังใช้อำนาจจากบนลงล่างเมื่อเวลาตนเองลืมตัว ดังนั้นในระดับปฏิบัติการจึงไม่มีสิทธิ์ได้แสดงความคิดเห็นเลย แต่เมื่อได้หลัก Fact และ Feeling ของอาจารย์ ซึ่งทำให้ความคิดได้บรรเจิดขึ้น มีความกระตือรือร้นอยากที่จะพัฒนาคนซึ่งก็คือตนเองก่อน แล้วจึงจะทำการพัฒนาคนอื่นต่อไป ถ้าเราไม่พัฒนาตนเอง เราอยู่นิ่ง ๆ ก็เหมือนถอยหลังตกทะเล แล้วทำไมเราจึงไม่สู้ทั้งที่เรามีอาจารย์ที่ดีที่เป็นปูชนียบุคคลที่ทำงานโดยไม่หวังผลตอบแทน  ถ้าเปรียบเทียบความต้องการของมนุษย์ของ Maslow แล้ว อาจารย์ก็ถึงขั้นสูงสุดคือ Self Actualization ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีเวลาเกษียณตัวเองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งก็คิดว่าจะหยุดได้ก็เมื่อเวลาหมดลมหายใจไปแล้วเท่านั้น       เช่นนั้นแล้วถือเ็ป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับดิฉันในการร่วมแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ ดิฉันจะขออนุญาตโน้มนำแนวคิด เจตนารมณ์อันดีของอาจารย์มาประยุกต์ใช้ในการทำงานและในการดำเนินชีวิตต่อไป

                   

       ด้วยความเคารพอย่างสูง         กาญจนา  สร้อยระย้า    รหัสประจำตัวนิสิต 48684260

กราบเรียนท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ท่านทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ และขอกล่าวสวัสดีเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน และผู้่อ่านทุกท่าน

       จากการที่ได้อ่านงานทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของอาจารย์เป็นเล่มแรกในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวของเรามีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราเริ่มที่จะมีความกระตือรือร้นและจะพัฒนาตัวของเรา จากการที่ดิฉันได้เข้ามาร่วมเรียนและรู้จักอาจารย์ ทำให้ดิฉันเปิดโลกของมิติใหม่ ได้เข้าใจถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น แท้จริงแล้วมนุษย์เราถ้าได้มีการพัฒนาและได้มีการเปลี่ยนมุมมองทางความคิดใหม่ ๆ โดยเริ่มมาใส่ใจกับการพัฒนาตัวเราเองก่อน และเมื่อเราพัฒนาตัวของเราเองดีแล้ว เราก็จะนำสิ่งที่เรามีอยู่มามอบให้ผู้อื่นบ้าง โดยการนำความรู้ที่อาจารย์มอบให้มาเป็นหลักในการทำงานและนำประสบการณ์ที่เรามีมาร่วมกับงานที่เราทำ

       จากการที่ได้อ่านพลังความคิดและชีวิต มองว่าประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง เราคนไทยกลุ่มใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ทุนที่เรามีอยู่เพิ่มคุณค่าได้อย่างไร อย่างในปัจจุบันคนจะมองว่า คนที่มีการศึกษา จบปริญญา เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ แต่แท้ที่จริงนั้น คนที่มีทุึนทางสติปัญญาอย่างแท้จริงนั่นคือ คนที่แสวงหาความรู้ เพิ่มพูนปัญญาไปเรื่อย ๆ ประเทศไทยถ้ามีคนที่มีคนจริง ๆ คือคนที่พัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และนำองค์ความรู้ที่ได้มาช่วยพัฒนาประเทศ ประเทศไทยยุคใหม่คงเป็นประเทศที่พัฒนาและมีคุณภาพอย่างแท้จริง

              ด้วยความเคารพอย่างสูง                     มาลินี   ชมชื่น          รหัสประจำตัวนิสิต 48684484
 กราบเรียนศาสตราจารย์ ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางสาวนุชรี  เจี๋ยนเจริญ เลขประจำตัว 48684351 จากการที่ได้มีส่วนร่วมในการสอนของท่านในวันอังคารที่ผ่านมา ในฐานะที่ได้รับฟังและได้เห็นวิธีการสอนของท่าน ขอกล่าวตรงๆ ว่า โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าการเรียนในวันดังกล่าว ประเด็นที่สำคัญอยู่ที่ว่า "การเปิดใจของตนเอง โดยคิดถึงสิ่งต่างๆ ด้วยแรงผลักดันภายในใจ" นอกจากจะทำให้เราเป็นตัวของตัวเองแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่า "โลกนี้เป็นของเราเอง" ด้วย ซึ่งก็หมายความว่า การทำสิ่งใดก็ตามหากทำด้วยความรู้สึก Feeling บวกกับ Fact เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า อุปสรรคในการดำเนินชีวิตค่อนข้างสูง ทั้งจากที่มาจากมนุษย์เอง และสิ่งที่มนุษย์เป็นคนกำหนด ขึ้นตามระเบียบแบบแผนของสังคม ดังนั้น หากคนเราได้ทำอะไรตามใจตัวเองก็เหมือนกับเราได้สะสมทุนให้กับชีวิตของเราไว้ส่วนหนึ่งแล้ว (ไม่ว่าทุนที่ว่านั้นจะถูกสะสมในรูปแบบของนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม) แต่ทั้งนี้ต้องรวมถึงการได้รับการยอมรับจากสังคมด้วย เพราะหากกระทำลงไปแล้ว ไม่เกิดการยอมรับทางสังคม สิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตนเองก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ท่านสอนนั้นไม่ใช่สิ่งผิดและไม่ใช่สิ่งที่ถูกซะทีเดียว หากแต่ผู้ที่จะนำไปใช้จะต้องประยุกต์ให้ตรงกับสภาพแวดล้อมที่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หนังสือทั้ง 2 เล่มดังกล่าว อาจจะทำให้คนบางคน หรือคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเป็นการจุดประกายตัวเองขึ้นมา ก็ถือว่า หนังสือ 2 เล่มนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่หากกาลเวลาได้ผ่านไป เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ความรู้สึกนั้นจะยังคงจุดประกายและลุกโชนอยู่ในใจของพวกเขา ดังนั้นในฐานะเป็นที่เป็นนิสิตจิตวิทยาชุมชน รุ่น 4 ก็อยากจะฝากทุกๆ ท่านให้คงเก็บรักษาความรู้สึกที่จะเป็นการจุดประกายให้กับตนเอง เหมือนที่ทุกๆ คนได้รับรู้หลังจากที่ได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม เพราะเป็นเรื่องดีที่ วันหนึ่งในขณะที่ชีวิตดำเนินไปตามปกติ ก็มีสิ่งทีทำให้รู้สึกประทับใจที่เป็นการสร้างความหวังให้กับตนเอง เหมือนเป็นการได้รับอำนาจพิเศษ จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือนั้นเอง ปล. การเขียน Blog นี้ก็เป็นวิธีการสอนอีกวิธีหนึ่งที่ท่านได้ทำให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้ที่ให้ความสนใจ ทั้งที่สนใจโดยตรง และที้เสมือนเป็นสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบที่ต้องปลดเปลื้องออกไปด้วย 
ร.ท.หญิง ดวงพร พันธุ์เอี่ยม
        กราบเรียน อาจารย์ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และผู้ช่วยอาจารย์ทุกท่าน รวมไปถึง เพื่อนๆจิตวิทยาชุมชน รุ่น 4 ม.เกษตรศาสตร์ และผู้อ่านทุกๆ ท่านค่ะก่อนอื่นต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ ฯ ไว้ ณ ที่นี้ ที่เปิดโอกาสให้พวกเราได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่จะได้รับจากการอ่านหนังสือทั้งสองเล่มของอาจารย์ค่ะ ทุนมนุษย์ติดตัวกับเรามาตั้งแต่กำเนิด เมื่อเราเติบโตขึ้นคเราก็เรียนรู้วิธีที่จะนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดด้วยวิธีการต่างๆ ของแต่ละคน ซึ่งก่อให้เกิดการวางแผน และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน หนังสือได้กล่าวถึงทฤษฏีการเพิ่มศักยภาพของคน กล่าวคือคนเราต้องรู้จักพัฒนาศักยภาพของตน  รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง  เพื่ออาจจะได้รับโอกาส และการที่จะให้องค์กรจะมีประสิทธิภาพได้นั้น ต้องมีการวัดผลเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสิ่งที่บุคลากรยังด้อยอยู่ แบบมีตัวชี้วัดในแต่ละประเด็น  แล้วนำมาสู่ยุทธศาสตร์  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  เพื่อสร้างองค์กรและสร้างชาติต่อไป ในชั่วโมงเรียน อาจารย์ได้สอนในเรื่อง  Psychology to Strategy through HR to High Performance นั่นคือ  Psychology  คือจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก     Strategy เป็นการใช้ยุทธศาสตร์โดยดูจุดอ่อนและจุดแข็งของคน      HR  คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ  และ High Performance คือการทำให้คนมีศักยภาพสูงสุด ถ้าจะให้พิจารณาโดยรวมแล้วนั้นกล่าวโดยสรุปได้ว่า  ทรัพยากรคนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด องค์กรต่างๆ จึงมีความพยายามที่จะพัฒนาบุคลากรในหน่วยของตนเองให้ก่อเกิดประโยชน์แก่หน่วยงานอย่างสูงสุด แต่ไม่ว่าความรู้จะมีมากเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าขาดการปฏิบัติในสถานการณ์จริงนั้น บางครั้งเราอาจจะมองภาพปัญหาไม่กว้าง ส่งผลให้โลกทัศน์ของบุคคลนั้นแคบไปด้วยความรู้จากการได้อ่านหนังสือดังกล่าว ทำให้เห็นความสำคัญในการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพมากขึ้น เราจะต้องฝึกตนเองให้เป็นผู้ใฝ่รู้ และรักที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในอนาคต ไม่มีอะไรจะยากเกินไปหากเรามีความพยายาม และจะพยายามให้ถึงที่สุดค่ะปัจจุบันทางภาครัฐ หรือหน่วยงานของดิฉันก็พยายามที่จะพัฒนาองค์กรให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับองค์กรอื่นๆ  แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ ทำให้การปฏิบัติไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่แสดงให้เห็นคือ ไม่มีอะไรจะไม่ประสบความสำเร็จถ้าความพยายามและกำลังใจที่ไม่มีวันหมดค่ะ               
นางวาสนา วงษ์วุฒิศักดิ์

กราบเรียนท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ท่านทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ และขอกล่าวสวัสดีเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน และผู้อ่านทุกท่านก่อนอื่นดิฉันขอแสดงความรู้สึกที่ได้มีโอกาสได้ฟังการบรรยายของอาจารย์เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ผู้เป็นพันธ์แท้ ดิฉันรู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับโอกาสเรียนรู้จากท่านซึ่งดิฉันขออนุญาตเรียกว่าอาจารย์  การได้ฟังการบรรยายในครั้งนี้สามารถจุดประกายหรืออย่างน้อยก็กระตุ้นให้ดิฉันมีความรู้และความรู้สึกที่จะศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น จากการที่ได้อ่านหนังสื่อเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้และ 2พลังความคิดชีวิตและงานทำให้ได้ข้อคิดดังนี้       ทรัพยากรมนุษย์  จากความเข้าใจเดิมมีความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ว่า  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการให้การศึกษาอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่ในการปฏิบัติงานและการจักสรรคนที่จะเข้ามาทำงาน เรื่องของการเลื่อนตำแหน่งงาน  สวัสดิการต่างๆ  แต่หลังจากอ่านหนังสื่อเล่มที่ทำให้ได้เข้าใจเรื่องทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นและเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญต่อองค์กรเป็นอย่างมาก  องค์กรจะมุ่งเน้นการเพิ่มผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ยังมีปัจจัยต่างๆ อีกมากที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้  ที่ถือว่าสำคัญเป็นอันหนึ่งเห็นจะเป็นเรื่องของการพัฒนาคนให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น  ทรัพยากรมนุษย์จึงต้องควบคู่ไปการการวางแผนนโยบายขององค์กรด้วย  การให้ความรู้แก่พนักงานและการจัดฝึกอบรมให้พนักงานถือว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ที่สามารถนำมาพัฒนาองค์กรได้อย่างดี  จะเห็นได้ว่า คุณพารณ ท่านได้เห็นว่าการฝึกอบรมมีส่วนสำคัญที่จะพัฒนาคนในองค์กรได้นอกเหนือจากการฝึกอบรมการหาความรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิตก็มีความจำเป็น   การทำงานที่เกี่ยวกับคนจำนวนมากเราต้องมีความเข้าในพื้นฐานความต้องการของคน  คุณพารณ  ได้เป็นนักบริหารที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา  แบบอย่างที่ดีในการทำงานนี้จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความศรัทธาในผู้บริหารจึงเกิดเป็นความจงรักภักดี  สอนให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันทำงาน        จากแง่คิดในการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ในฐานะดิฉันเป็นผู้ปฏิบัติการทำให้ดิฉันได้แง่คิดต่างๆ  ที่จะต้องพัฒนาตนเองในการปฏิบัติงานที่ทำอยู่เริ่มจากที่ตัวเราก่อนเนื่องเราเป็นส่วนเล็กๆขององค์กร เพื่อนำมาปรับใช้และเป็นแนวทางในการทำงานในองค์กรเพื่อการพัฒนาต่อไป                          

นางวาสนา   วงษ์วุฒิศักดิ์                    รหัส 48684567

 

น.ส.ภิรดี ยนต์อินทร์
กราบเรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และสวัสดีทีมงานทุกๆท่าน รวมถึงเพื่อนๆนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคนค่ะ นับเป็นโอกาสอันดีที่ดิฉันและเพื่อนๆได้ร่วมรับฟังการบรรยายกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ระดับแนวหน้าของประเทศไทยเลยทีเดียว และได้ร่วมกันแชร์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในชั่วโมงเรียน โดยการได้ฟังการบรรยายเพียงอย่างเดียวอาจยังคงไม่เพียงพอที่ความรู้ และเทคนิค ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะซึมอยู่ในกะโหลกได้ทั้งหมด  ดังนั้นจึงนับเป็นโชคดีอีกต่อหนึ่งที่ท่าน ศ.ดร.จีระ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของท่านและจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ผ่านตัวหนังสือ ซึ่งทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ทางลัดเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการอ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้                หนังสือทั้งสองเล่มนั้น ได้แก่ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของนักคิดและนักปฏิวัติแห่งยุค ของท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และ ท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และอีกเล่มคือ 2 พลังความคิดชีวิตและงาน บทสนทนาระหว่าง  คุณหญิงทิพาวดี   เมฆสวรรค์ เจ้าของทฤษฎี 8H’s และ ศ.ดร.จีระ เจ้าของแนวคิด 8K’s นั้นทำให้ได้รับประโยชน์อย่างมากมายถึงคุณค่าที่สำคัญในบรรดาทรัพยากรทั้งหลายทั้งมวลบนโลก นั่นก็คือ คน หรือ มนุษย์ นั่นเอง โดยคนเป็นทรัพยากรที่มีศักยาภาพในตัวเองซึ่งอาจจะสามารถพัฒนาตนเองได้อาจจากจิตสำนึกที่มีในตัว แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้การพัฒนาคนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้นั้น ต้องอาศัยการเรียนรู้ และมีความใฝ่รู้ที่จะพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กรของตนให้เกิดความก้าวหน้า ซึ่งอาจจะอาศัยการถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ซึ่งความรู้ที่ได้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา โดยเฉพาะสาขาจิตวิทยาชุมชนได้อย่างกลมกลืนกัน เพราะจิตวิทยาชุมชน เน้นที่จะให้สมาชิกภายในชุมชนของตนมีความสามารถที่จะพึ่งพาตนเอง สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในชุมชน ลดการพึ่งพาจากภายนอก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น ฉะนั้นแล้วจึงต้องใช้ความรู้ทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาถ่ายทอดให้คนในชุมชนเพื่อเป็นทุนทางด้านสังคม เพื่อให้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง ว่าตนเองมีความสามารถในการพัฒนาได้เช่นกัน กล้าที่จะแสดงศักยาภาพของตนเองเพื่อสังคมส่วนรวมได้ แต่อย่างไรก็ตามแต่นั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อให้เป็น คนเก่ง เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความดี มีคุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินการด้วย จึงได้ขึ้นชื่อว่า เก่ง ดี มีคุณธรรม ไปพร้อมๆกัน ซึ่งการมีคุณธรรมสามารถมีกันได้ในทุกคน โดยการมีความจริงใจกับผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่เสแสร้ง กระนั้นแล้วเราย่อมได้รับสิ่งดีดีกลับมาด้วยเช่นกัน         สุดท้าย กราบขอบพระคุณ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ อีกครั้งหนึ่งที่ให้พวกเราได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูงน.ส.ภิรดี  ยนต์อินทร์  รหัสนิสิต 48684468 
น.ส.กชพร วิวัฒน์ถาวรวงศ์

กราบเรียนศ.ดร.จีระที่เคารพและท่านผู้ทรงคุณวุฒิและสวัดดีเพื่อนๆจิตวิทยาชุมชนรุ่น4ร่วมทั้งผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ จากการได้อ่านหนังสือของอาจารย์ทั้ง2เล่มร่วมทั้งได้ฟังที่อาจารย์บรรยายได้จุดประกายให้กับดิฉันที่จะพัฒนาตัวเองและองค์กรของดิฉันให้เจริญก้าวหน้าไปกับโลกในยุคโลกาภิวัฒน์โดยจะนำทฤษฎี8k'sของศ.ดร.จิระและทฤษฎีนักบริหาร8H'sของคุณหญิงทิพาวดีมาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานดั่งคำพูดของอาจารย์ที่ว่าการเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือสนุกกับมันเรียนรู้กับมันต่อยอดกับมันแล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์จะไม่ให้มันเน่าเหมือนผักอย่างที่อาจารย์ว่าค่ะ

เรียนศาสตราจารย์ ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์ที่เคารพ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า "การเปิดใจของตนเอง โดยคิดถึงสิ่งต่างๆ ด้วยแรงผลักดันภายในใจ" นอกจากจะทำให้เราเป็นตัวของตัวเองแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่า "โลกนี้เป็นของเราเอง" การที่ได้อ่านทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ความสำคัญของการผลักดันให้HRDเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเราต้องพิจารณาในหลายภาคส่วนร่วมกันกล่าวคือต้องนำความรู้ความสามารถในหลาย ๆ ด้านเข้ามาทำให้เกิดนวตกรรมใหม่ ๆ ขึ้น คนเป็นส่วนสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จะว่าไปแล้วก็ได้รู้จักบุคคลที่เก่ง ๆ เพิ่มขึ้นอีกท่านเป็นความภาคภูมิใจที่สุด แต่จะว่าไปแล้วคนเราจะเก่งสักแค่ไหนหากมีแต่ความต้องการในด้านของตัวเองเสียอย่างเดียวก็น่าจะไม่เป็นการดีแน่ต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ด้านเช่นกัน

(สมภพ นิลอุบล ID:48684609)

อัญญารัตน์ เตชะโกมล
        เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์         ดิฉัน อัญญารัตน์  เตชะโกมล นิสิปริญญาโท ภาคพิเศษ สาขาจิตวิทยาชุมชน รุ่น 4 ก่อนอื่นต้องขอเรียนให้ทราบก่อนเลยว่ามีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้รับความรู้และประสบการณ์จากท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่าจะได้พบกับท่านเพียงแค่ 2 ครั้ง แต่คิดว่า ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากทีเดียวค่ะ อีกทั้งหนังสือ 2 เล่ม ที่ท่านกรุณาเปิดโอกาสแนะนำให้เราได้รู้จักก็มีคุณค่าเช่นกัน โดยในหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน ได้ทราบถึง 8 H’s ทฤษฎีทุนในทรัพยากรมนุษย์ของท่านและทษฎี 8 K’s ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ซึ่งมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน คือ Hyeritage   : ทุนแห่งความยั่งยืนHead        : ทุนทางปัญญาHand         : ทุนทางความรู้  ทักษะ  และทัศนคติHeart        : ทุนทางจริยธรรมHealth       : ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศHome        : ทุนมนุษย์Happiness  : ทุนแห่งความสุขHarmory    : ทุนทางสังคมและหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของท่านและคุณ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ทำให้เห็นได้ว่าเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือ สมกับชื่อหนังสืออย่างไม่มีที่ติ โดยเป็นการแชร์ความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริง ที่ทำให้ผู้อ่านซึมซับได้จากตัวหนังสือแต่ละหน้า ซึ่งดิฉันเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณพารณ ในเรื่องของการเน้นความมีส่วนร่วมของคนในองค์กรให้เกิดความผูกพันกับบริษัท เพื่อให้เกิดความรักและความศรัทธาต่อองค์กร เนืองจาก ทุนมนุษย์ ยิ่งพัฒนายิ่งมีคุณค่า                                                                                                                                        ด้วยความเคารพอย่างสูง                                                อัญญารัตน์  เตชะโกมล                                                รหัส 48684724

 

น.ส. รัฐธิดา พันธุ์เจริญ
       กราบเรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพ ก่อนอื่น ดิฉันต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้กับพวกเรา ม.เกษตร และต้องขอขอบคุณสำหรับคำพูดสั้นๆ กระชับได้ใจความของพี่ยมและน้องโลตัส สำหรับความไฟแรงแซงโค้งเลยค่ะ ซึ่งทำให้สิ่งนี้มันดูไม่น่าเบื่อ ชอบมากค่ะ เรียนบอกตามตรงเลยนะค่ะ ตอนแรกที่ได้พบกับท่านอาจารย์จีระ และเห็นการสอนของอาจารย์ ค่อนข้างตกใจพอสมควรค่ะ ดุดัน เผ็ด มันส์  กระตุ้นไปทั่วทั้งร่างกาย กับเด็กไทยอย่างดิฉันค่อนข้างกลัวค่ะ เพราะกลัวว่าจะตอบไม่ได้ค่ะ ยอมรับว่า HEAD แย่พอควร แต่เป็นคนขยันค่ะ (ตอนใกล้สอบอย่างที่อาจารย์ว่าค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ แนวการสอนแบบนี้ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบเพราะว่าการจะเป็นมนุษย์ที่พัฒนา ต้องตื่นตัวตลอดเวลาจริงไหมค่ะ หนังสือที่ซื้อมาทั้งสองเล่มนั้น มีจุดเด่นที่ชอบคือ เป็นบทสนทนากันมากกว่า เหมือนกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งทำให้ได้แนวคิดต่างๆ มากมาย แต่สิ่งที่ดิฉันสะดุดอยู่คำนึง ดิฉันคิดว่า ความจริงใจสำคัญ นะค่ะ ในอันดับต้นๆ เลยค่ะ กับพนักงานหรือคนในองค์กรทุกระดับ นอกเหนือจากเก่ง มีความรู้ รอบรู้ มีความสามารถ มีทักษะ มีประสิทธิภาพ มีความดี แล้วถ้าองค์กรมีความจริงใจกับพนักงานก็จะทำให้พนักงานเขารักด้วยความจริงใจเหมือนกัน ทำอย่างไรให้เหมือน พ่อ แม่ รักลูก ทำได้อย่างนั้น เขาก็จะรักองค์กรและผู้บริหารเหมือนพ่อแม่ เพราะเราจะพัฒนามนุษย์ให้เติบโตเพื่อเป็นทรัพยากรที่ดีและมีคุณค่า มนุษย์ควรได้รับการส่งเสริม เพราะว่าการที่จะทำให้คนทำงานด้วยใจที่ไม่ธรรมดานั้น มันต้องแลกกันด้วยใจค่ะ ดิฉันชอบทั้งแนวความคิดของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์, ศ.ดร.จีระ, รวมถึงอาจารย์พารณด้วย สามารถนำแนวความคิดของแต่ละท่านมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว รากฐานสำคัญของการพัฒนามนุษย์ ดิฉันเห็นด้วยกับคุณหญิงที่บอกว่าต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐานครอบครัว ที่ได้รับมาแต่เด็ก จุดเล็กๆจุดนี้ที่จะทำให้มนุษย์เติบโตอย่างมีคุณภาพ ถึงแม้ว่าดิฉันจะช้าไปแต่ก็ไม่สายที่จะเริ่ม เราจะเป็นบัวใต้น้ำ ปริ่มน้ำ หรือพ้นน้ำ ถ้าเราเป็นบัวพ้นน้ำแล้ว เราก็ต้องดึงคนที่อยู่ใต้น้ำกับปริ่มน้ำขึ้นมาด้วย เมื่อเราขึ้นไปจนสุดแล้ว เราก็ต้องช่วยคนที่อยู่ล่างกว่าเรา ถึงจะเรียกว่า เก่งแล้วดี เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบค่ะ // ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะน.ส. รัฐธิดา พันธุ์เจริญ จิตวิทยาชุมชน ภาคพิเศษ รหัส 48684518

กราบเรียน ศ.ดร.จีระ และทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน ทุกท่าน

 

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณ ดร.จีระ เป็นอย่างสูงที่ได้ช่วยกระตุ้นสิ่งที่ อาจจะเรียกว่า พลัง ของเรากลับขึ้นมาอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาได้เคยมีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน และบุคคลหลาย ๆ คน ซึ่งหลาย ๆ คนรู้สึกท้อกับสภาพสังคม และการแข่งขันในยุคปัจจุบันนี้ จนทำให้เขาเหล่านั้นหมด พลัง ความกล้าในการคิดทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นเหตุทำให้คนดี คนเก่งเหล่านั้น คนหมดกำลังใจในการทำงาน ในการสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ เพื่อสังคม หรือเพื่อองค์กร เขาเหล่านั้นทำงานเพื่อที่จะให้ผ่านไปวัน ๆ โดยหมดพลังที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ อันเนื่องมาจากความไม่ใส่ใจขององค์กรและสังคมโดยส่วนตัวแล้วดิฉันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัย ไม่เคยที่จะไม่ทึ่งกับความสามารถของอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านั้นแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว ผู้ที่สร้างและคิดค้นเทคโนโลยีเหล่านั้นขึ้นมาก็คือ มนุษย์ หรือในอีกในหนึ่งนั่นก็คือ พนักงานขององค์กร ยิ่งทำให้เห็นว่า ทรัพยากรมนุษย์หรือพนักงานนั้นมีคุณค่ามากเพียงใด มิใช่เป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่ทำงานเหมือนเป็นเครื่องจักรเท่านั้น แต่ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้มีค่าควรแก่การพัฒนา เพราะมนุษย์ทุกคนนั้นมีศักยภาพในการพัฒนา และยังเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากต่อองค์กร แต่อย่างไรก็ตามทุก ๆ คนก็ต้องไม่ลืมที่จะหาความรู้ใส่ตนให้มากที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากแก่ตัวไปอย่างไร้ค่าดิฉันจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ ดร.จีระ ในเรื่องของทุน ทั้ง 8 ประการ จากหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน โดยเฉพาะเรื่องของ ทุนมนุษย์ เพราะมีความเชื่ออยู่เสมอว่า การเลี้ยงดู การดูแลเอาใจใส่ของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง เป็นพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ แต่การขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ หรือจะเรียกว่าหาความรู้ใส่ตัว นั่นก็คือการเพิ่มทุนให้ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนควรจะปฏิบัติอยู่เสมอเช่นเดียวกัน        สำหรับอีกหนึ่งความคิดที่ตรงใจนั่นก็คือ ในเรื่องของ “Positive Attitude” หรือการคิดในแง่บวก ของ คุณหญิงทิพาวดี เป็นอีกแง่คิดที่ตนเองได้ใช้อยู่เสมอเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น และยอมรับว่าการคิดด้าน Positive นี้สามารถทำให้เราผ่านพ้นอุปสรรค ปัญหา ความคับข้องหมองใจนั้นมาได้ด้วยดี และจิตใจของเรายังสงบขึ้นอีกด้วย และหลังจากที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ แล้วนั้นก็ทำให้กระจ่างและเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรที่เกิดโดยธรรมชาติของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ที่กล่าวเช่นนี้ มีเหตุผลเนื่องมาจาก เคยแอบชื่นชมในองค์กรนี้อยู่ก่อนแล้ว เพราะได้เคยมีโอกาสเข้าไปติดต่องานกับทางบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ในช่วงนั้น ทางบริษัทปูนซีเมนต์ไทยได้มีการ Renovate Office ใหม่ และได้มีโอกาสพูดคุยกับพนักงานของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ทำได้ทราบถึงความใส่ใจของผู้บริหารในความเป็นอยู่ของพนักงาน ซึ่งทางผู้บริหารได้ให้ความใส่ใจในสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในองค์กรของพนักงานเป็นอย่างมาก  ที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือเรื่อง การออกแบบสภาพแวดล้อมในการทำงานของพนักงาน ในส่วนของ Office นั้น มีการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เอื้อประโยชน์ในการทำงานให้พนักงานได้มีความสะดวกสบายมากขึ้น สีของเก้าอี้ที่ใช้ใน Office ยังเป็นสีที่ได้รับการโหวดจากพนักงาน มิใช่ทางผู้บริหารเป็นคนตัดสินใจเลือก และในส่วนห้องของพนักงานระดับสูง มีการใช้สีทาห้องที่แตกต่างกันออกไปตามความชอบของเจ้าของห้องนั้น ๆ ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันถือว่าเป็นเรื่องของความใส่ใจในความรู้สึกของพนักงานเป็นอย่างมาก ทางบริษัทไม่ได้มองถึงแค่ความสวยงามเป็นระเบียบของบริษัทเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใส่ใจความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพนักงาน ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับพนักงานท่านนั้นแล้ว จึงรู้สึกได้ถึงความรัก และภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร หรืออาจจะเรียกว่าเป็นความเห็นคุณค่าในทรัพยากรบุคคลขององค์กร ว่าพวกเขาเหล่านั้นมิได้รู้สึกว่าตนเป็นแค่เพียงพนักงานขององค์กรเท่านั้น แต่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญขององค์กร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันแอบประทับใจมาตลอดในความใส่ใจเหล่านี้ หลาย ๆ ครั้งที่มีคนพูดถึงความรักในองค์กร และความใส่ใจอันดีของผู้บริหาร ต้องทำให้ดิฉันนึกถึงบริษัทปูนซีเมนต์ไทยขึ้นมาทุกครั้ง  สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะมันให้เชื่อมโยงกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานทุกคน เมื่อพนักงานรักและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรแล้ว พนักงานเหล่านั้นจะมีระเบียบ วินัยต่อองค์กรของตน และมีความมุ่งมั่นที่จะผลิตผลงานที่ดีออกมาเพื่อความสำเร็จขององค์กรที่ตนรัก และทุกคนมีความพึงพอใจกับงานที่ตนทำ ซึ่งตรงกับที่คุณพารณ ตั้งใจจะทำ นั่นก็คือ พยายามสร้างองค์กรให้มีบรรยากาศของครอบครัวเพราะหากพนักงานและผู้บริหารมีความเอื้ออาทร ใส่ใจในความรู้สึกซึ่งกันและกันแล้วก็เสมือนหนึ่งเป็นครอบครัวที่สองของพวกเขาซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากในการทำงาน อย่างไรก็ตามอยากจะขอขอบพระคุณ ดร.จีระ อีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้พวกเราได้อ่านหนังสือดี ๆ ทั้ง 2 เล่มนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ต่อการดำเนินชีวิต การคิดและการมีมุมมองใหม่ ๆ และที่สำคัญจะไม่ลืมที่จะนำสิ่งดี ๆ จากการเรียนรู้ครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดค่ะ 

ขอบพระคุณค่ะ 

นางสาวบุณรดา บูรณศิริ – 48684369 -

จันทร์พร บุญประเสริฐ

กราบเรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพ

ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์มากที่เสียสละเวลามาให้ความรู้กับพวกเรา อาจารย์ทำให้รู้ว่าในโลกยังมีเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจอีกมาก ที่ผ่านมาจะมีความสนใจหรือเรียนรู้เฉพาะแวดวง สาธารณสุขที่ทำงานอยู่เท่านั้น แต่อาจารย์ได้กระตุ้นให้มีความอยากเรียนรู้ รู้จักมุมมองที่กว้างขึ้น รู้จักคิดนอกกรอบ และพัฒนาองค์ความรู้ตลอดชีวิต และจากการได้อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ทำให้ทราบว่าการทำงานจะสำเร็จได้มนุษย์ต้องมีทุนมนุษย์ คือ มีทุนความรู้ ทุนปัญญาและมีทุนทาง จริยธรรม จึงจะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า จึงคิดว่าจะนำหนังสือ 2 เล่มนี้เรียนเสนอผู้บริหารเพื่อปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจของหน่วยงานให้ทำงานอย่างมีความสุขต่อไป

ด้วยความเคารพอย่างสูง

จันทร์พร บุญประเสริฐ

พ.ท.หญิงพัชรี เบ็ญจขันธ์

เรียน อาจารย์จีระ ที่เคารพ

ด้วยความสัตย์จริง อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วแบบผ่านๆ ได้ความสำคัญดังนี้ค่ะ

    • งาน HR จะสอดแทรกอยู่ในการพัฒนาทุกองค์กร และทุกสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
    • นัก HR ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เริ่มที่ตัวเองก่อน ด้วยความคิดและความเชื่อในสิ่งที่ตนกระทำ
    • การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทั้งในและนอกห้องเรียน
    • การสร้างบรรยากาศองค์กร ให้มีความเป็นมิตร อบอุ่นเหมือนครอบครัวเดียวกัน
    • การเน้นระบบธรรมาภิบาล เน้นความซื่อสัตย์ ในทุกระดับ จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ทำให้มีการกำกับ ควบคุมด้วยระบบสังคม

สุดท้าย..คงต้องอ่านหนังสือของอาจารย์อย่างละเอียดอีกครั้ง…ขอบคุณค่ะ

พท.หญิงพัชรี เบ็ญจขันธ์

กราบเรียน ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  สวัสดีทีมงานของ ศ.ดร จีระ ทุกท่าน และเพื่อน ๆ นิสิต ป.โท ทุกท่านค่ะ   ก่อนอื่นต้องขอกราบขอบพระคุณ ท่าน ผศ.น.ท.หญิง ดร.งามละมัย  ผิวเหลือง ที่ได้เชิญ  ศ.ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  มาบรรยายให้ความรู้ ในวันที่ 19 ธันวาคม 49 ที่ผ่านมา   บรรยากาศในห้องเรียนวันนั้น เป็นการแลกเปลี่ยนความคิด แชร์ความคิดซึ่งกันและกัน เป็นการเรียนรู้แบบทฤษฎี 4 L’S จริง ๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมมากในยุคไร้พรมแดนตอนนี้ เป็นการกระตุ้นให้คน ตื่นเต้น ตื่นตัว ตื่นตา ตื่นใจ จากการหลับใหลมานานว่าทุกวันนี้โลกของเราหมุนเปลี่ยนไปแค่ไหนกันแล้ว เราจะยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีการพัฒนา การพัฒนาที่สำคัญที่สุดที่ต้องพัฒนาก็คือ คนนั่นคือคนทุกคนในองค์กรหรือในชุมชน เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ไม่ว่าคน คนนั้นจะอยู่ส่วนไหน จุดใดขององค์กรหรือมุมไหนของชุมชน คนทุกคนมีคุณค่า และมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเพิ่มกำไรให้กับองค์กรหรือชุมชน เพราะทุกคนมีทุนอยู่ในตัวอยู่แล้ว จากการฟังการบรรยาย และ จากหนังสือ ทั้ง 2 เล่ม ว่าด้วยทฤษฎี 8 K’s และ 8 H’s นับได้ว่าเป็น ศาสตร์ อีกแขนงหนึ่งที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาในองค์กรหรือชุมชน เพื่อประเทศชาติต่อไป ลักษณะการถ่ายทอดองค์ความรู้ ในการบรรยายในวันนั้น ตามหลักทฤษฎี 4 L’s ดิฉันคิดว่ามันเป็น ศิลป์ อย่างหนึ่ง ของศ. ดร.จีระ ที่สามารถกระตุ้นให้ตื่นตัว จากการหลับใหล ด้วยน้ำเสียงและวิธีการของท่าน ที่ให้ผู้รับฟัง กล้าคิด กล้าทำ เพื่อที่จะก้าวให้ทันโลกยุคไร้พรมแดนนี้ ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร เพื่อกระตุ้นให้คนเห็นคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นแล้วในการพัฒนาทรัพยากรที่มีค่านั้น เราจำเป็นใช้การผสมผสานกันระหว่าง ศาสตร์ และ ศิลป์ ควบคู่กันไป การพัฒนาที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติต่อไป ขอบคุณค่ะปาริชาติ มณีโชติ รหัส 48684401
นงลักษณ์ แก้วประกิจ เมื่อ พฤ. 21 ธ.ค. 2549 @ 11:23 (121555)
กราบเรียน  ศ ดร.จีระ,ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ  ทีมงานที่เคารพทุกท่าน  และสวัสดีเพื่อนร่วมรุ่น 
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ น.ท.หญิง ผศ  ดร.งามละมัย  ผิวเหลืองที่ได้เชิญ  ศ ดร.จีระ  หงส์ลดารมภ์  ที่มากด้วยความรู้  ความสามารถและประสบการณ์  ในการที่เป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  มากว่า  3  ศตวรรษมาสอนพวกเรา  นิสิตปริญญาโทสาขาจิตวิทยาชุมชนภาคพิเศษรุ่นที่  4  ม.เกษตรศาสตร์  ให้ได้มีโอกาสจุดประกาย  และซึมซับ  สังคมการเรียนรู้  ใฝ่รู้  และLife  Long  Learning. 
จากวิธีการสอนของ  ศ ดร.จีระ  ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์  และจะได้นำมาพัฒนาความรู้  ความสามารถของตนเองให้เรียนรู้อะไรหลายๆ  อย่างได้เร็วขึ้น  ง่ายขึ้นและตรงประเด็น.              
จากการได้อ่านหนังสือ  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้  ของ  คุณพารณอิศรเสนา ณ อยุธยากับท่าน  ศ ดร.จีระ  ทำให้ทราบ   ว่าการแสวงหาความรู้ไม่ควรหยุดนิ่ง   ในการพัฒนาบุคลากรก็เช่นกันจะมีหลักคิดจากทฤษฏี 4 L s    ของคุณพารณกับท่าน ศ ดร.จีระ และในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล  ตามทฤษฏีของคุณ พารณ  เป็นสูตรสำหรับการเปลี่ยนแปลงส่งเสริมการเป็น  ผู้นำนวัตกรรมบริหาร  ซึ่งเรียกว่าทฤษฏีการเพิ่มศักยภาพของคน 
คนเราต้องรู้จักพัฒนาศักยภาพของตน  รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง  เพื่ออาจจะได้รับโอกาส.  และในการที่จะให้องค์กรมีประสิทธิภาพ  และสามารถนำองค์กรสู่สังคมโลกที่มีความเจริญก้าวหน้า  มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับ  และมีมาตรฐานก้าวสู่ระดับโลกได้นั้นต้องมีการเรียนรู้  มีการวัดผลนำไปสู่การพัฒนาจุดอ่อน/สิ่งที่เขายังด้อยอยู่  ให้เป็นจุดแข็งในอนาคต  แบบมีตัวชี้วัด  ในแต่ละประเด็น  แล้วนำมาสู่ยุทธศาสตร์  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  เพื่อสร้างองค์กรและสร้างชาติต่อไป                    
หนังสือ  2  พลังความคิด ชีวิตและงาน  กล่าวไว้ว่า  ทรัพยากรมนุษย์ที่มีวุฒิภาวะ  สามารถเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของทุนทั้งสิ้น  8  ประการคือ  ทฤษฏี  8H's กับทฤษฏี  8K's 
                                                                                                                                                                                                                                    เป็นการมองศักยภาพของมนุษย์แบบครบวงจร  นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสามรถในการแข่งขันในเวทีโลกได้   และจากคำกล่าวของ  คุณหญิง ทิพาวดี   เมฆสวรรค์  ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า     ในระบบราชการเป็นองค์กรใหญ่  ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน  ลีลาและศิลปะของการทำงานต้องมี   อย่ากระเพื่อมน้ำแรงถ้าไม่แน่ใจต้องอย่าฝืนเพราะจะแพ้  เหมือนยืนท้าทายสู่กับธรรมชาติ  สุดท้ายถ้าแพ้อาจไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลย 
เพราะฉะนั้น  ต้องร่วมกันสร้างสรรค์สังคมการเรียนรู้  ช่วยกันขับเคลื่อนสิ่งดีๆให้กับสังคมไทยเพื่อเชื่อมโยงกันไปสู่เป้าหมาย  เรื่องความสุขก็เป็นเรื่องสำคัญ  ควรพร้อมที่จะแบ่งปันและพร้อมที่จะพัฒนา  ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างยั่งยืนและสมดุลกับธรรมชาติ       
                                .
ด้วยความเคารพอย่างสูง
                                
นงลักษณ์   แก้วประกิจ 
รหัส  48684328
กราบเรียน  ท่านอาจารย์ ศ. ดร. จีระ  ท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เคารพอย่างสูง    สวัสดีทีมงานทุกท่าน  ที่ให้เกียรติ์เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนในวันที่  19 ธันวาคม  2549  และผู้สนใจอ่านข้อความแสดงความคิดเห็นนี้ทุกท่านจากการที่ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ ศ. ดร. จีระ  ในการจุดประกายเรื่อง Psychology  to  Strategy  through  HR to  High  Performance  ทั้งการศึกษาในห้อง  และจากการได้ศึกษาจากหนังสือ 2 พลังความคิด  ชีวิตและงาน   และ  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้  ทำให้ระลึกได้ถึงทุนต่าง ๆ และความสามารถของมนุษย์ที่มีอยู่เดิมตามธรรมชาติอยู่แล้วขึ้นมาได้ว่า  โดยพื้นฐานของมนุษย์จะมีความอยาก  ความต้องการ และความพร้อม ในการที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว  แต่อาจจะอยู่ในลักษณะนามธรรมมากกว่า  แต่สามารถทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้โดยใช้หลักการ  และทฤษฎี  8H’s  ทฤษฎี  8K’s  และทฤษฎี 4 L’s  ผสมผสานกัน  จะสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเกิดพฤติกรรมที่ต้องการทั้งระดับประเทศ  องค์กรและชุมชนได้แบบยั่งยืนกราบขอบพระคุณมา    โอกาสนี้คะ สุพรรษา  กตัญญู    นิสิตปริญญาโท       รหัส    48684666
ยม "คลื่นความคิด FM 96.5 กับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์"
คลื่นความคิด FM 96.5 กับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ  น.ศ. ป.โท จิตวิทยาชุมชน และท่านผู้อ่านทุกท่าน  

Time magazine’s ‘Person of the Year’ is ... You[1]

From blogs to YouTube, user-generated content transforms the Internet

NEW YORK - You were named Time magazine “Person of the Year” on Saturday for the explosive growth and influence of user-generated Internet content such as blogs, video-file sharing site YouTube and social network MySpace. จากบทความของ ไทม์แม๊กกาซีน ได้ยกให้ คุณ ผู้ใช้ internet, Blogs เป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งปี   ศ.ดร.จีระ แนะนำส่งเสริมให้ลูกศิษย์ ใช้ Blog หาและแชร์ความรู้ และตัว ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เอง ท่านก็ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ในการสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ จึงถือได้ว่าท่านเป็น บุคคลแห่งปี  ขอแสดงความยินดีด้วยครับ

ใน Blog นี้ ผมแนะนำ และนำเสนอให้ น.ศ.ติดตามสาระน่ารู้ กับ ศ.ดร.จีระ ทางสถานีวิทยุ FM 96.5 ทุกวันพุธเวลา 19.30 น.เป็นต้นไป

สำหรับวันพุธที่ผ่านมา ผมฟังและถอดใจความในรายการ ออกมา มีสาระน่ารู้หลายอย่างเช่น เรื่องแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องหุ้น ค่าเงินบาท และเรื่อง อนาคตประเทศไทย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับ นักศึกษา จะได้มีความรู้หลากหลายประดับปัญญา  ขอเชิญท่านติดตามได้จากข้อความข้างล่างนี้ ครับ ส่วนสีน้ำเงินคือส่วนของวิทยากรผู้ดำเนินรายการ  ส่วนสีดำคือส่วนของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

  

สวัสดี

 

ยม

 

น.ศ. ป.เอก

 

รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต

 

081-9370144

 [email protected]http://gotoknow.org/portal/yom-nark………………………………………………………………………………………………  คลื่นความคิด FM 96.5 กับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์มาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาทของแบงค์ชาติ ในสายตา HR พันธุ์แท้ 21/12/2006[2] ทุกวันพุธพบกับวิทยากรพันธุ์แท้ ดร.จีระ  ก่อนหน้านี้มีการกล่าวว่าอีกไม่นานกรุงเทพฯจะไม่หนาว  คิดว่าลมหนาว ดับร้อนการเมือง  วันนี้ จะคุยกันเรื่อง ของความสืบเนื่องมาจากการสัมมนา อนาคตประเทศไทย ที่เป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ และจะพูดกันเรื่องการปฏิรูปการศึกษาที่หนังสือพิมพิ์ไม่คอ่ยได้มีการกล่าวถึงกัน อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องหุ้นที่ร้อนแรงอยู่ทุกวันนี้ ดร.จีระ จะมองเรื่องหุ้นอย่างไร  

ยาขมของแบงค์ชาติ พ่นพิษแล้ว ดร.จีระมองเรื่องนี้อย่างไร ในฐานะทำด้านทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

 

ดร.จีระ  รัฐพยายามแก้ปัญหาเรื่องการเก็งกำไร  ค่าเงินบาทเราแข็งผิดปกติ ความจริงแล้วเงินแข็งหรืออ่อนไม่สำคัญถ้าสะท้อนภาพที่แท้จริงของภาวะเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้เงินบาทของเราแข็งเร็ว และแข็งเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบกับการส่งออกของเรา  สาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัวเร็ว   เกิดจากการเก็งกำไร มีคนมาซื้อเงินบาทเก็บไว้ คิดว่า เงินบาทจะแข็งไปเรื่อย ๆ  ซื้อเงินบาทเมื่อแลกเป็นดอลล่าก็สบาย .........

  

ในมุมมองของผม การตัดสินใจของแบงค์ชาติ การแก้ปัญหาตอนนี้ เรื่อง HR ไม่ใช่เก่งอย่างเดียว ต้องมีความสามารถหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจ แต่ที่สำคัญคือการตัดสินใจ ต้องมีความรอบคอบ มาตรการครั้งนี้ถูกในระดับหนึ่ง แต่มีผลกระทบข้างเคียงมากเหลือเกินกับตลาดทุน นับเป็นแสน ๆ ล้าน  จึงคิดว่าทำไมก่อนการตัดสินใจ ทำไมไม่คิดหามาตรการป้องกันเฉพาะตลาดเงิน......

  

เพราะเงินที่มาเก็งกำไร ไม่ได้มาเก็งกำไรที่ตลาดหุ้น มีเหมือนกันแต่มีเป็นส่วนน้อยที่มีมาจากตลาดหุ้น ผมคุยกับเพื่อนๆ ในวงการ Bank หลาย ๆ คน  เขาก็ปะหลาดใจ  ต่างประเทศรู้สึกช๊อค กับการตัดสินใจครั้งนี้......

  

จริง ๆ แล้วเขาก็รู้ว่ามาตรการนี้ในที่สุดก็ต้องมี แต่น่าจะไปตันที่ตราสารนี้ commercial paper หนี้ระยะสั้นมากกว่า ไม่ควรมาทำที่ตลาดทุนเพราะ ตลาดทุนเวลาผันผวนไป จะมีผลกระทบกับคน ผู้ลงทุนเป็นแสนคน เงินเป็นแสนล้าน คนที่หายไปเป็นผู้ถือหุ้นที่เล่นนาน บางคนอาจจะขายเร็ว พอจะซื้อกลับมาก็ซื้อไม่ทัน คนที่เก่งกว่าเร็วกว่ามีเงินทุนมากกว่าก็ซื้อช้อนกลับมาได้ มีผลกระทบต่อผู้ลงทุนเยอะ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะปรับตัวได้ดี รัฐบาลน่าจะรอบคอบมากว่านี้  ..........

  เหตุที่เกิดขึ้นถือว่าพลาดไม๊ ถ้ามองในมุมของการบริหาร HR ข้อมูลไม่พอหรืออย่างไร...... 

ผมว่า คนในธนาคารชาติ ต้องยอมรับว่าเรียนเก่ง เรียนจากตำรามา กับเรียนจากโลกความเป็นจริงเป็นคนละเรื่องกัน ........

  

หม่อมอุ๋ยก็พูดว่า ไม่คิดว่าจะแรงขนาดนี้ ถ้าลงสัก 10-20 จุดก็เป็นของธรรมดา ไม่น่ามีปัญหา ในรอบ 35 ปีไม่เคยลงมากขนาดนี้เลยน๊ะ  แล้วอยู่ดี ๆ ก็ตัดสินใจเปลี่ยนนโยบายภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง ........

 

ถือว่าเป็นการถอยที่ถูกจังหวะไม๊  ระหว่างการตัดสินใจที่ถูกต้องไม๊  ดร.จีระ มองอย่างไรระหว่างการตัดสินใจ กับการถอยในไม่กี่ชั่วโมงนี้......

 ถ้าไม่ถอยจะเสียหายมากกว่านี้ อย่างไรก็ต้องถอยอยู่แล้วการที่เงินบาทอ่อนตัวลงมาแค่ .50 บาท/ 1 บาท กับเงินหายไปแปดแสนล้าน มันกระทบ ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือมันจะกระทบกับความมั่นใจของผู้ลงทุน......   

เพราะปัจจุบันมันเป็นโลกเรา เป็นโลกเสรี แล้วเราก็เปิดให้มีการค้าเสรีด้วย เราก็น่าจะใช้กลไกตลาดเป็นหลัก.........

  

ผมว่ายังไงก็ต้องถอย แต่ไม่ควรถอยตอนที่เกิดปัญหาแล้ว แต่อันนี้ก็เข้าใจว่ารัฐบาลชุดนี้ทำด้วยความโปร่งใส ไม่มีคำครหาอะไร ในเรื่องการเงิน แต่ประเด็นที่ผมอยากจะพูดให้ผู้ฟังได้ทราบก็คือ คนเราอาจจะมีไอคิวสูง อาจจะมีทฤษฎีมา แต่ว่าโลกปัจจุบัน มันต้องมีความสามารถในการมองอย่างรอบคอบ มองอย่างหลายมิติ ซึ่งบางทีมาจากประสบการณ์มากกว่า.........

   

การตัดสินใจครั้งนี้ การตัดสินใจเป็นของ Bank ชาติ ของหม่อมอุ๋ย อาจารย์คิดว่ารอบคอบพอหรือยัง......

 

ผมว่าถ้าไปกระทบตลาดทุน ผมมัน  หม่อมอุ๋ย ก็พูดแล้วว่าเงินมาลงทุน เงินมาเก็งกำไรในการลงทุนในตลาดทุนมีไม่เยอะ ฉะนั้นตอนที่มีมาตรการออกมา ก็เอาเฉพาะเงินที่ไหล มาเก็งกำไร ในเรื่อง Commercial paper ก็คือเงิน hot hot เขาเรียนเงิน hot ระยะสั้น มันก็น่าพอเพียง เพราะตัวเลขออกมาแล้ว ว่า 80% 90% ก็มาเก็งกำไรในเงินร้อน ๆ ไม่ใช่เงินตลาดทุน........

  

มันก็คือโลกเรามีตลาดทุนกับตลาดเงิน ที่จริงแล้วเราจัดการกับตลาดเงินก็พอ แต่เราไปยุ่งในตลาดทุนด้วยมันก็เลยยุ่ง คือตลาดทุนอย่าลืมว่ามันสำคัญกับความมั่นใจของคน มันกระทบต่อผู้ลงทุนจำนวนมากเลย ความมั่นใจตรงนี้ก็ต้องดูกันต่อไป........

  ผมอยากจะฝากไว้นิดเดียวว่า Bank ชาติก็ต้องเรียนรู้ ต่อไปจะทำอะไร ก็ต้องเรียนรู้หาความรู้ให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องศึกษาให้รอบคอบ เป็นบทเรียนราคาแพง เพราะว่ามันลงมาก กว่าจะตีขึ้นมาเมื่อวานมันลงไปตั้ง 130 จุด ทำให้ช็อคกันพอสมควร........ ก็เลยขอพูดแค่ประเด็นเดียวว่า การจะเป็นผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์เกี่ยวกับเรื่องเงิน มันคงจะใช้ PhD. ตัดสินไม่ได้ ตอนที่เราเรียนการเงินในทฤษฎีมันก็อย่างหนึ่ง เวลาเราเรียน ในปัจจุบันผมคิดว่าคนเรานอกจากมีไอคิวแล้วก็ต้อมีประสบการณ์ต้องมองให้รอบคอบ......    

แต่ก็ต้องชื่นชมว่า หม่อมอุ๋ยท่านก็ตัดสินใจถอย ถอยอย่างรวดเร็ว วันนี้ก็ตีตื่นขึ้นมา 65 จุด แต่ก็ยังหายไป 35 จุด ก็ถือว่าตีตื้นมาได้ดีทีเดียว คงจะดีขึ้น ........

  

แต่ว่าอย่าลืมผลกระทบกับประชาชนมันมีหลายกลุ่ม  ถ้าจะเรียกว่าผลมีผู้ได้ผู้เสียในตลาดหุ้นครั้งนี้ อาจจะมีคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกกระทบไปเยอะ และจะมีบางคน ได้รับประโยชน์ไปด้วยเวลาช้อนซื้อหุ้นไปเมื่อวานนี้ อาจจะได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็ไม่ได้พูดในลักษณะที่ว่ามีปัญหาอะไร เพียงแต่คิดว่าคนที่จะรู้ คนที่มีเงินมากกว่าก็จะช้อนไปได้ดีกว่า .........

 

 ก็อยากให้เห็นว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรมนุษย์ มีสองเรื่อง อันที่หนึ่งก็คือการตัดสินใจนั้นฝึกอยาก คนเราตัดสินใจสามอย่างให้ถูกกพอ

  1.   ก็คือตัดสินใจว่าจะเรียนอะไร สาขาอะไร ทำงานอะไร  
  2.  คือ เวลาเลือกคู่จะตัดสินใจจะเลือกใครที่เหมาะสมกับเรา 
  3.    คือตอนที่พอจะมีรายได้ เราจะตัดสินใจลงทุนในทรัพย์สินของเราอย่างไร .....
 

ถ้าสังเกตดูถ้าเราได้สองในสามก็ถือว่าโอเค น๊ะ แต่ว่าบางคนได้หนึ่งในสามก็มี บางคนไม่ได้เลยก็มี มันไม่มีสูตรตายตัว ........

  แต่ผมว่า ผมอยากเรียนให้ทราบว่าแม้แต่ตัวผมเอง ก็ยอมรับความเจ็บปวด  เพราะการตัดสินใจของผมถ้าจะดีขึ้นก็ต้องเกิดจากการเจ็บปวดมากกว่า อย่างไรก็ตามการจะเป็นคนเก่ง ก็ต้องตัดสินใจผิดมาบ้าง ...... แต่ผมคิดว่า ตอนที่ผมพา คณะ กฟผ.ระดับผุ้ใหญ่ไปที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เข้าไปโรงเรียน MBA เขาก็มาสอนเรา วิธีการตัดสินใจ อยู่ สามวิธี.........

หนึ่งตัดสินใจแบบกูเก่งตนเดียว

 

สองปรึกษาหารือเพื่อนร่วมงาน แบบก๊วนเล็ก ๆ สี่ห้าคน

 

สาม การเปิดอภิปรายให้ทุกคนมีส่วนร่วมตลอดเวลา

   

อาจารย์ผู้สอนก็ถาม คนที่ กฟผ. ว่าคุณชอบวิธีการใด สามแบบนี้คุณชอบอะไร คำตอบคืออะไรรู้ไม๊ คำตอบก็คือขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือบางเรื่อง อย่างเรื่องเงิน เรื่องโบนัส หากนำมาเปิดอภิปรายก็ยุ่ง ยุ่งแน่ ผมก็เลยได้เรียนรู้ว่าเขาไม่ได้มีวิธีเดียว

  

ผมยกตัวอย่าง อย่างคุณทักษิณ ไม่ได้พูดเรื่องการเมืองน๊ะ อุปนิสัยของท่านจะฟังความเห็นของคนทั้งพรรคบ่อยนัก อาจจะมีน้อย แต่ท่านมี habit ที่ว่าคนเราเกิดมา Born that way ฉันแน่ ฉันว่าฉันคนเดียว ผมว่าท่านมักจะตัดสินใจคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช้น้อย บางครั้งควรจะใช้วิธีอื่น แต่ก็ไม่ได้ใช้

  

ผมเห็นบางคนอะไรอะไรก็ขอฟังความเห็นของที่ประชุม ท่าเดียวแล้วก็ไม่ตัดสินใจสักทีก็มีปัญหา ประชุมแล้วประชุมอีก อันนี้ก็สอนท่านผู้ฟังที่ติดตามเพราะอย่าลืมว่ารายการนี้ไม่ได้เน้นการเมือง ผมจะพูดในสิ่งที่เป็นประเด็น เผอิญคุณวิสุทธ์มาสู่โป๊ะเช๊ะ ในประเด็นเรื่องการตัดสินใจ

 

 วันนั้นที่ กฟผ.ไปเรียน บางเรื่องต้องตัดสินใจคนเดียว บางเรื่องก็ต้องปรึกษาหารือ แบบก๊วนเล็ก ๆ สี่ห้าคน บางเรื่องต้องเต็มคณะ ปัญหาก็คือ คนเราฝึกมาไม่เหมือนกัน คนที่เก่งจริง ๆ ในเมืองไทย ผมว่าโดยมากมักจะตัดสินใจคนเดียว  เป็นคนเก่งมาระดับหนึ่งน๊ะ ตอนที่สอง

เศรษฐกิจพอเพียง มีคนถามว่าทำไมต้องพูดกันบ่อย ๆ ทำไมต้องย้ำกันบ่อยๆ ครับ เพราะอะไร

 

ถ้าเราไม่เน้น เศรษฐกิจพอเพียง ประเทศของเราก็ในอนาคตก็คงจะสร้างความเสี่ยงมาก เพราะว่าเรามีปัญหาเรื่อง โลกาภิวัตน์

  

พระองค์ท่านก็เลยสอนให้คนไทยเรามีความรอบคอบ  ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เรากลับคิดถึงความอยู่รอดในระยะยาว ของเรา

  

ก็จริง ๆ แล้ววันนี้เราต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นทางรอดในโลกที่มี ความเสี่ยงในปัจจุบัน จริง ๆแล้ว พระองค์ท่านสอนอยู่สามเรื่อง คือ

 

หนึ่งทำอะไรก็ทำพอประมาณ พอประมาณคือไม่ใช่ไม่ขยายตัว ถ้าคุณพร้อมคุณก็ขยายได้ แต่อย่าทำในสิ่งที่เราไม่พร้อม ผมยกตัวอย่าง อย่างตอนฟองสบู่แตก มีพวกพ่อค้าข้าวทำคอนโด ยังไงก็ตามพ่อค้าข้าวทำคอนโดไม่สำเร็จ เพราะเราประมาท เราได้เงินมาง่าย ๆ

  

หรือตอนที่เราไปกู้เงินมาจากต่างประเทศ เราคิดว่าดอกเบี้ยมันถูก แต่เราลืมไปว่าเงินบาทอาจจะลอยตัวได้ กู้มา ยี่สิบห้า จ่ายคืนห้าสิบอย่างนี้

  

นอกจากพอประมาณแล้ว พระองค์ท่านสอนให้เราคิดทุกอย่างให้เป็นระบบ มีเหตุมีผล อย่างเรื่องหวย คนไทยชอบเล่นหวยเยอะ ฉะนั้นถ้าเรามีเหตุมีผล เรารู้ว่าการเล่นหวยส่วนมากก็จะขาดทุน หรือสังคมวันนี้เราเล่นการพนันฟุตบอล หรือหลายคนก็จะพูดถึงเรื่องอบายมุข ต่าง ๆ ฉะนั้นถ้าเรามีเหตุมีผลคิดวิเคราะห์เป็น แล้วก็ได้มีประสบการณ์แล้วบ้าง ผมว่าฟองสบู่แตกคราวที่แล้ว ประเทศอาจจะเสียหายเยอะ แต่ก็ค่อนข้างจะเป็นบทเรียนราคาแพง คือบทเรียนจากความจริงเป็นเรื่องสำคัญ

  

อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านทรงเน้นให้เรามีภูมิคุ้มกัน ผมยกตัวอย่าง สมมติว่าเราจบปริญญาตรีมาใหม่ ๆ แล้วได้งานทำ เราก็ดีใจที่ได้งาน แต่คุณรู้ไม๊ พอทำงานไปสักพัก เหมือนตัวคุณเอง ถ้าเราไม่ฝึกหาความรู้อยู่ตลอดเวลาเราก็จะไม่มีภูมิคุ้มกัน ในที่สุดวันนึงเขาก็จะปลดเราออกจากงานไป

  

อย่างตัวผมเอง ผมไม่ค่อยกลัวตกงาน เพราะสิ่งหนึ่งที่เป็นมีภูมิคุ้มกันคือผมมีความรู้ ของผม ความรู้ของผม แต่ผมไม่ใช่ได้มาจากตำราอย่างเดียว ได้มาจากประสบการณ์บวกกับตำรารวมกัน เรื่องพอเพียงไม่ใช่เรื่องความรู้ ความรู้ต้องหมั่นหาความรู้  ต้องมี ความพอเพียงคืออยู่ให้รอดในระยะยาวเท่านั้นเอง

  

นอกจากสามเรื่องนี้แล้ว พระองค์ท่านยังเน้นว่าต้องมีอีกสองเงื่อนไข เงื่อนไขแรก ต้องเป็นคนใฝ่รู้ คือนอกจากคิดเป็นแล้วต้องหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

  

ความจริงรายการวิทยุนี้ทำให้เรามีความใฝ่รู้ และเป็นความรู้ที่สด และข้ามศาสตร์ เงื่อนไขต่อมา คนเราต้องมีคุณธรรม จริยธรรม

  

สุดท้ายทั้งหมดจะนำไปสู่ความผาสุก ความยั่งยืน ความจริงความยั่งยืน สรุปง่าย ๆ คือถ้าวันนี้เราอยู่ได้แล้วอีกสิบปีข้างหน้าเราจะอยู่ได้ไม๊ อย่างนี้ คนไทยบางคนหรือธุรกิจที่เราไปรับจ้างเขาทำของ เช่น ธุรกิจในปัจจุบันเสื้อผ้าสำเร็จรูป อิเล็คทรอนิค คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งรถยนต์  พวกนี้ทำตาม order ผมเตือนเขาเลยว่า อีกสิบปีถ้าพวกนี้ย้ายฐานไปจีนหรืออินเดียเราคงแย่แน่ 

  

ฉะนั้นพระองค์ท่านทรงสอนให้เราวางแนวทางไว้ว่า เราต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา ต้องคิดเป็นวิเคราะห์เป็น ความจริงผมว่าคนไทยก็ได้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าในยุคที่มันเกิดวัตถุนิยม คอร์รับชั่น มากมาย ทำให้เราเกิดฟุ้งเฟ้อขึ้นมา เราก็เลยใช้เงินใช้ทองมากว่าที่เราควรจะใช้แล้วก็ขาดวินัยทางการเงิน

  คุณวิสุทธ์คงทราบดี ช่วงนี้ ตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ ช่วงนี้ท่าน ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ จะออกรายการเศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ ทางช่อง 11 คือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องเกษตร มันเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน  

อย่างวันนี้เรื่องหุ้น ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ว่าเรามีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ถ้าเรามีเงินร้อยบาท เราเล่นหุ้นสัก สิบบาท เราก็ยังอยู่รอด แต่ถ้าเรามีร้อยบาทแล้วเล่นสองร้อยบาทคือทุ่มสุดตัวเลย ก็มีปัญหา อย่างเมื่อกี้นี้เพื่อนผมบอกว่าแทบจะมีคนล้มละลายหลายคน เพราะว่าเขาเล่นหุ้นแบบสุดตัว ถ้ามันหายไปแปดแสนล้านบาทมันก็มีผลกระทบเขา

  

ฉะนั้นถ้าเราเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าเรามีเงินเหลือเราก็ไปลงทุน จะเล่นหุ้นก็ได้ ความจริงเป็นหนี้ได้ ถ้าเราไม่เป็นหนี้ Bank กรุงเทพฯ กสิกร จะอยู่ได้เหรอ คือเราต้องบริหารหนี้ของเราให้ได้ ไม่ใช่เป็นหนี้แล้วสร้างปัญหาอยู่ตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าทุกคนควรต้องเรียนรู้ว่าปัญหาคืออะไร และจะแก้ไขอย่างไร

  

ที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือในช่วงรัฐบาลชุดนี้ บรรยากาศการเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมันจะดี ในยุคคุณทักษิณ ที่จริงแล้วไม่สามารถพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้เต็มปาก เพราะบางทีระบอบทักษิณก็ไปกระตุ้นให้คนใช้จ่ายมากมาย บางทีกระตุ้นให้เขาใช้จ่ายมากมาย เป็นหนี้เป็นสิน มันก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่ถ้าเศรษฐกิจพอเพียงไปกันได้กับระบอบทักษิณ ก็จะเป็นการดี

 

เราเอาเงินกองทุนหมู่บ้านไปสร้างงาน หาความรู้ เรียนหนังสือต่อแทนที่จะไปซื้อมือถือ อะไรเช่นนี้ฉะนั้นมันไม่ได้ขัดแย้งกัน มันก็ไปด้วยกันได้ แต่ว่าถ้าโลกปัจจุบันทั้งสองระบอบไปด้วยกันได้สังคมมันก็จะดี

 

ระบอบคุณทักษิณ มีความคิดสร้างสรรค์ การใช้จังหวะฉกฉวยโอกาส การทำงานรูปแบบ การมี Innovation เขาก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง ฉะนั้นเวลาเรามองคุณทักษิณ เราก็ควรมองส่วนดีเขาด้วย ไม่จำเป็นต้องไปมองส่วนเลวทั้งหมด อะไรก็ตามเป็นเรื่องความเสี่ยงต่อสังคมไทย เราก็ต้องระมัดระวัง

  

พูดถึงการปฏิรูป อาจารย์ก็ไปฟังสัมมนาของ อนาคตประเทศไทย มาด้วยใช่ไหม อาจารย์ 

 

วันนั้นต้องขอชื่นชมว่าจัดได้ดีมาก ที่สำคัญก็คือท่านประธาน คมช. ท่านไม่ค่อยพูดที่ไหนยาว ๆ คุณวิสุทธ์ก็ให้ท่านพูดตั้งหนึ่งชั่วโมง บนเวทีคุณดำรง พุฒตาล พูดก่อน แล้วก็มาเริ่มที่อาจารย์นรนิศ แล้วชัยอนันท์ก็พูดด้วย ความจริงแล้วท่านจรัญก็พูดด้วย คือทุกคนเนี่ยรู้ว่าประชาธิปไตย กับการเรียนรู้ประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

  

เราไม่ควรจะมีประชาธิปไตยแบบที่คิดว่า คนที่จบรัฐศาสตร์ไม่เข้าใจประชาธิปไตย อย่างนี้เนี่ยเจ๊ง ต้องให้ชาวบ้านเข้าใจ ฉะนั้นสถาบันพระปกเกล้าฯก็ดีหรืออย่างรายการของเราก็คือตัวเร่งทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น

 

แต่ผมว่า การเรียนรู้ประชาธิปไตยของชาวบ้าน ผมอยากจะฝากคุณวิสุทธิ์ไว้นิดนึ่ง อย่าทำสอนหนังสือแบบตำรา  คือน่าจะเปิดเวทีทั่วไปแล้วให้คนเขามีส่วนร่วม แล้วคิดร่วมกัน วีธีการคิดของมนุษย์เราต้องรู้ว่าประชาธิปไตยเป็นของมีประโยชน์ แต่เราต้องมีส่วนร่วม เราต้องรู้ เวลาไปหย่อนบัตรก็หย่อนด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่หย่อนเพราะว่าหัวคะแนนเขาสั่งมา ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เวลานโยบายบางอันก็ยังยึดถือ อย่างเช่นในภาคอีสาน หรือทางเหนือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็โหวดไทยรักไทยตลอด ทั้งที่ปัญหามีมากขึ้น  

ผมเคยบอกคุณวิสุทธ์แล้ว อย่างในอเมริกา ประชาธิปไตยมันสวิง เดโมแครท กับ รีพรับปริกั้น ก็สามารถแย่งชิงประชาชนกันได้โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบาย ของเราบางทีนโยบายประชานิยม บางทีก็แย่งชิงประชาชนไปได้ แต่การแย่งชิงไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้

 

ความจริงประชานิยมก็เป็นของดี แต่อยู่ตลอดเวลามันก็คงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนก็ต้องพึ่งรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา  อย่างที่ชัยอนันต์เขาพูดก็ถูก ว่าอย่างวันนี้ประชาชนคงต้องเป็นคนตัดสินว่าอะไรดีไม่ดี แต่ขณะนี้เรารู้สึกว่า เราไปอยู่ล๊อค ล๊อคอยู่ในความรู้สึกว่ารัฐบาล รัฐบาลช่วยทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นก็เท่ากับเราไม่ได้พึ่งตนเอง

  

วันนั้นต้องเรียนให้ผู้ฟังที่ไม่ได้ไปว่า บรรยากาศในการพูดกันเรื่องประชาธิปไตย ไปเน้นเรื่องการศึกษา เรื่องสังคมการเรียนรู้ เรื่องการนำความรู้เรื่องประชาธิปไตยไปให้ประชาชนได้รู้

  

ผมเคยพูดกับคุณวิสุทธ์แล้วว่า ประเทศที่มีประชาธิปไตย รักและหวงแหนมาก แต่จนกว่าเรา ก็คือ อินเดีย แต่เขาก็ไม่เคยมีปฏิวัติ ตั้งแต่ปี 1949 เขาไม่เคยมีทหารออกมา ความคิดเรื่องประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของสังคมของเขาจริง ๆ

 

เขาจึงหวงแหน ของเรานี่ประชาธิปไตยยังเป็นเชิงธุรกิจอยู่ ซึ่งหวังว่า ทาง คมช.ก็จะเอาจริงกับเรื่องการให้ความรู้เรื่องนี้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเป็นจุดแข็งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม อย่าจริงจัง ผมเข้าใจว่าการให้ความรู้กับประชาชนน่าจะมีสถาบัน

 

ผมพูดอยู่เสมอว่ามหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ไม่ใช่สอนแต่ปริญญาตรีอย่างเดียวแต่ควรจะสอนประชาธิปไตยให้ชาวบ้านด้วย ความจริงการเรียนยุคใหม่เรียนที่ไหนก็ได้ คุณวิสุทธ์ก็คงเห็นแล้วว่าวิทยุของเราเป็นการเรียนรู้ประชาธิปไตยที่ค่อนข้างจะได้ผล ก็หวังว่าสื่อมวลชนจะมีส่วนร่วมในการสร้างประชาธิปไตยให้แก่สังคมไทยด้วย

  ผมก็ยินดีและโชคดีที่ได้มีโอกาสได้เห็นว่าคลื่นวิทยุ 96.5 ก็เป็นสื่อที่เน้นประชาชนเป็นหลัก เลือกหัวข้อที่เป็นสาระ อย่างรายการของผมในวันพุธนี้ต้องขอขอบคุณด้วย เรื่องทรัพยากรมนุษย์นี่เป็นเรื่องอย่างที่คุณสรรพวุฒิว่า ไม่ใช่เรื่อง Size Effect แต่เป็นเรื่อง Small Effect แต่คุณวิสุทธ์ให้ผมอยู่ Main Effect และให้อยู่วันพุธด้วย และได้พูดในเรื่องที่คิดว่าประชาชนคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็ได้มีเวทีพู
ยม "คลื่นความคิด FM 96.5 กับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์"

 สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ น.ศ. ป.โท ม.เกษตร และท่านผู้อ่านทุกท่าน

 

 

เนื่องจาก blog ข้างต้น ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้หมด (ขัดข้องทางเทคนิค) ทำให้ข้อความบางส่วนหายไป ผมจึงนำข้อความส่วนที่หายไปมาวางไว้ใน blog นี้ ครับ

เป็นบทสัมภาษณ์ ศ.ดร.จีระ ทาง วิทยุ FM 96.5 ต่อจาก Blog ข้างต้น เชิญท่านติดตามอ่านจากข้อความข้างล่างนี้ ครับ

 

ยม

.......................................

 ความคิด FM 96.5 กับ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

มาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาทของแบงค์ชาติ ในสายตา HR พันธุ์แท้ 21/12/2006(ต่อ)

 

 ผมก็ยินดีและโชคดีที่ได้มีโอกาสได้เห็นว่าคลื่นวิทยุ 96.5 ก็เป็นสื่อที่เน้นประชาชนเป็นหลัก เลือกหัวข้อที่เป็นสาระ อย่างรายการของผมในวันพุธนี้ต้องขอขอบคุณด้วย เรื่องทรัพยากรมนุษย์นี่เป็นเรื่องอย่างที่คุณสรรพวุฒิว่า ไม่ใช่เรื่อง Size Effect แต่เป็นเรื่อง Small Effect แต่คุณวิสุทธ์ให้ผมอยู่ Main Effect และให้อยู่วันพุธด้วย และได้พูดในเรื่องที่คิดว่าประชาชนคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็ได้มีเวทีพูด สวัสดีครับ

กราบเรียนศ.ดร.จีระ และสวัสดี พี่ยม นักศึกษาปริญญาโททุกท่านค่ะ

 ก่อนอื่นก็ต้องขอชื่นชม ในวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้ ซึ่งตรงกับ L ที่ 2 คือ Learning  Environment    การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ คือการสร้างให้ห้องเรียนมีบรรยากาศของการแสวงหาความรู้ร่วมกัน โดยจะจัดห้องเรียนแบบ U-Shape เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา สนุก  สนใจ  และมีส่วนร่วม  โดยที่จะเน้นปรัชญาการศึกษาแบบ Coaching, Facilitator, และ Mentoring บรรยากาศของการหาความรู้ที่ดีนั้นจะทำไปสู่ Creativity  ซึ่งทำให้นักศึกษาเริ่มหลงใหลกับการหาอาหารสมองมาบริโภค เป็นปรากฎการใหม่ในการเรียนการสอน ทำให้เกิดการตื่นตัว ด้วยพรสวรรค์ในการถ่ายทอดความรู้จาก Guru ที่ชื่อ ศ.ดร. จีระ น่าชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่งคะ ตอนนี้ดิฉันก็ได้ดิดตามอ่าน ใน Blog คุณสุพรรษา  กตัญญู    นิสิตปริญญาโท       รหัส    48684666  เป็นคนล่าสุดที่ส่ง Blog เข้ามา รีบส่งนะคะจะได้แชร์ความรู้กัน

 

 น.ศ.สามารถติดตามสาระน่ารู้ กับ ศ.ดร.จีระ ทางสถานีวิทยุ FM 96.5 ทุกวันพุธเวลา 19.30 น.และบทความบทเรียนจากความจริงทุกวันเสาร์ หน้า 5 จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า  หรือติดตามอ่านใน internet  ก้ได้คะ จำทำให้เรามีความรู้ที่กว้าง และใช้ความรู้ทาง จิตวิทยา มาเป็นเทคนิค ในการสร้างสรรค์แก้ไปปัญหาต่าง วิเคราะห์ได้ตรงจุด โดยเฉพาะการพัฒนามนุษย์ (Human Capital) ที่เป็นต้นทุนทางสังคม และสังคมเราจะได้น่าอยู่ Life  Long  Learning. คะ

ด้วยความเคารพอย่างสูงและสวัสดีคะ

                  A' Lotus

นักศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต

ปภาวรินท์ วิริยะอมรพันธุ์ : รหัส 48684385
กราบสวัสดีอาจารย์ดร.จีระและทีมงานผู้ติดตามทุกท่าน ที่สละเวลามาให้ความรู้แก่พวกเราชาวนิสิตปริญญาโท สาขาจิตวิทยาชุมชน รุ่นที4 ม.เกษตรศาสตร์ อาจารย์มาพร้อมกับความน่าตื่นเต้นและแนวการสอนที่เมามันส์ กระชากใจคนฟังให้เกิดความสนใจและตื่นตัว มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนตลอดเวลา บรรยากาศที่เป็นกันเอง แชร์ไอเดียซึ่งกันกับความรู้ที่อาจารย์นำมาให้รู้จักหัดคิดนอกกรอบ ซึ่งเป็นตัวจุดประกายทำให้ดิฉันได้มุมมองใหม่ๆฉีกแนวออกไปให้กว้างขึ้น ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นความโชคดีของทุกๆคนที่มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เพราะทุกคนคงได้ตัวกระตุ้นชั้นดีที่จะนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาความคิด ความสามารถต่อไป         จากหนังสือ 2 เล่มของอาจารย์ที่แนะนำให้อ่าน ดิฉันคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีกับการเขียนที่แตกต่างไปจากหนังสือทั่วไปซึ่งโดยส่วนตัวดิฉันยอมรับว่าแทบจะไม่เคยคิดที่จะซื้อหนังสือประเภทนี้มาอ่านมาเพราะคิดว่าต้องหลับแน่ๆๆ แต่พอได้อ่าน 2 เล่มนี้เหมือนสารกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้ต้องอ่านต่อ ซึ่งทำให้ได้รับความรู้และแนวคิดหลายอย่างที่จะเป็นแนวทางในการนำไปพัฒนาตนเองและองค์กรเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ โดยดิฉันคิดว่าความรู้ทุกอย่างมันมีกฏและทฤษฏีตายตัวของมันเพื่อเป็นแนวทางง่ายแก่การศึกษาทำความเข้าใจ โดยเฉพาะแนวการคิดด้าน HR กับคนไทยเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่ยังค่อนข้างห่างไกลกัน เป็นเพียงนามธรรมยังไม่สามารถจับต้องได้ชัดเจนนัก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงเมื่อรู้แนวทางการคิดปฎิบัติแล้วนั้น อยู่ที่ว่าใครจะมียุทธวิธีการผสมผสาน ซึ่งต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการนำมาใช้ในเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้ทั้งตนเองและองค์กรก้าวเดินได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิด 8 H’s , 8 K’s และ 4 L’s เป็นแนวคิดที่ทำให้การพัฒนาด้าน HR ชัดเจนขึ้นสำหรับองค์กรไทยที่ยังห่างไกลกับการเห็นคุณค่าความสำคัญของพนักงาน ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร โดยแนวคิดดังกล่าว ดิฉันประทับใจมากและจะนำไปถ่ายทอดให้แก่ผู้เกี่ยวข้องในองค์กรของดิฉัน เพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จต่อไป...

จากการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ทำให้เราได้ทราบว่าการแสวงหาความรู้ไม่ควรหยุดนิ่งในการพัฒนามนุษย์ก็เช่นกันจะมีหลักคิดจากทฤษฎี 4L ของคุณพารน กับท่านศ.ดร.จีระ และในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตามทฤษฎีของคุณของคุณพารณ เป็นสูตรสำหรับ การเปลี่ยนแปลงส่งเสริมการผู้นำนวัฒกรรมบริหาร ซึ่งเรียกว่าทฤษฎีการเพิ่มศักยภาพของคน คนเราต้องรู้จักพัฒนาศักยภาพของคน รู้จักการสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรมีประสิทธิ์ภาพและสามารถนำองค์กรสู่สังคมโลกที่มีความเจริญก้าวหน้ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับ และมีมาตรฐานก้าวสู่ระดับโลกได้นั้นต้องมีการเรียนรู้ มีการวัดผลนำไปสู่การพัฒนาจุดอ่อนสิ่งที่เขายังด้อยอยู่ ให้เป็นจุดแข็งในอนาคต แล้วนำมาสู่ยุทธศาสตร์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างองค์กร และสร้างชาติต่อไป                                                สุณิสา เขื่อนแก้ว

         หนังสือ  2 พลังความคิดชีวิตและงาน   2  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ฯ  ว่าด้วยทฤษฎีทำให้อธิบายหลักการและวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  โดยยกทฤษฎี  8 H’s  ของคณะหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  และทฤษฎี  8  K’s ของท่านอาจารย์จีระ  หงส์ลดารมภ์  ซึ่งประสบการณ์ในการทำงานมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง  ทำให้ทราบถึงเทคนิค  ทักษะวิธีคิดอย่างแยบยลและแฝงด้วยปรัชญา  ทำให้นักศึกษาทราบถึงวิธีการทำงานของท่านทั้งสอง  และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับตนเองได้        โดยทฤษฎี  8 K’s  :  ทฤษฎีทุนในทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีองค์ประกอบของทุนทั้งสิ้น  8  ประการ       1.  ทุนแห่งความยั่งยืน  (Sustainable  Capital)       2.  ทุนทางสังคม  (Social  Capital)       3. ทุนทางจริยธรรม  (Ethical  Capital)       4.  ทุนแห่งความสุข  (Happiness  Capital)       5. ทุนทาง  IT  (Digital  Capital)       6.  ทุนทางปัญญา  (Intellectual  Capital)       7.   ทุนทางความรู้  ทักษะ  ทัศนคติ  (Talented  Capital)       8.  ทุนมนุษย์  (Human  Capital)       หนังสือ  ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้  เนื้อหาได้จัดเป็น 5 ช่วงหลัก  ดังนี้1.    เรื่องของสองแชมป์  เป็นการกล่าวถึงความเชื่อ  และศรัทธา  และความมุ่งมั่นของท่านทั้งสอง  ซึ่งมีประวัติและผลงานด้านการทำงาน  ทำให้ทราบถึงแนวทางในการทำงานท่าน       2.  คัมภีร์คนพันธุ์แท้  เป็นการบอกถึงแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  การมีความเชื่อมั่นในคุณค่าของมนุษย์เป็นปรัชญาหรือแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์       3.  จักรวาลแห่งการเรียนรู้  เป็นการขยายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ภาคปะชาชน  เป็น  Good  Learner  มีความสามารถในการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต       4.  สูตรเพิ่มผลผลิต  เป็นการสร้างศักยภาพการแข่งขันระดับประเทศด้วยการพัฒนาทรัพยากรเป็นสำคัญ  โดยใช้ความร่วมมือจาก 4 องค์การใหญ่  คือ  ภาครัฐ  ภาคเอกชน  ภาควิชาการ  และแรงงาน  คือ  นิยาม       5.  ทรัพยากรมนุษย์แท้  เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญที่สุด  เหนือว่าทรัพยากรอื่นใด  เนื่องจากทรัพยากรมนุษย์สามารถเป็นได้ทั่งผู้สร้าง  ผู้พัฒนา  และผู้ทำลายทรัพยากรอื่น ๆ จึงต้องมีการเรียนรู้ที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง
ยม "การเรียนการสอน น.ศ. ป.โท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตร ครั้งที่ 2"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ นักศึกษา ป.โท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตร และท่านผู้อ่านทุกท่าน

   ขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ ที่ให้ผม พลเรือโทโรช และน้องโลตัสติดตามไปร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน นักศึกษา จิตวิทยาชุมชน คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตร รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าว และได้มีโอกาสรู้จักกับนักศึกษามากขึ้น  สังเกตเห็นนักศึกษาหลายท่านมีบุญ สนใจ ใส่ใจและเอาใจต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ขอขอบใจนักศึกษาพิมพ์ลดา สำหรับความมีน้ำใจ และความตั้งใจใฝ่รู้ เป็นตัวอย่างที่ดี   ช่วงต้นชั่วโมง ศ.ดร. จีระให้นักศึกษาทำกิจกรรมแชร์ความรู้ ในประเด็นที่ว่า

เมื่อเรียนรู้แล้ว จะนำแนวคิด ของศ.ดร.จีระ  ของคุณพารณ และคุณหญิงทิพาวดีฯ ไปสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ไปสู่ความเป็นเลิศ ได้อย่างไร และทำอย่างไร ให้เกิดการปฏิบัติเป็นรูปธรรมหนึ่งเรื่อง

   

และให้นักศึกษาชม วีดีโอ  โดยต้องการให้นักศึกษา จับประเด็นให้ได้ว่า การทำงานเชิงคุณภาพ เป็นอย่างไร Process Management (Re-engineering) อันไหน เป็น จิตวิทยา อันไหนเป็นกลยุทธ์

   

ตอนท้าย ให้นักศึกษาบางกลุ่ม เสนอประเด็นที่ได้ในการชมวีดีโอ แต่เนื่องจากเวลาจำกัด ผมจึงแนะนำนักศึกษา โดยการยกตัวอย่างประเด็นที่ได้ในการชมวีดีโอ เช่น

   ที่จับประเด็นใน VDO  เกี่ยวกับ Re-engineering

 

  • เรากำลังอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง
  • เราจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา 
  • ต้องทำอยู่เสมอ
  • เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง
  •  เป็นการพัฒนากระบวนการ (ยกเครื่อง)กระบวนการ
  • ต้องศึกษากระบวนการให้ดี
  • งานที่ทำให้ลูกค้าพอใจไม่ใช่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ขึ้นกับทั้งกระบวนการ
  • จึงควรตั้งทีมขึ้นมา เพื่อ
  • ศึกษาปัญหา ในองค์การ ศึกษาสิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจ 
  •  เมื่อศึกษาแล้ว สร้างกระบวนการความคิดใหม่ นำมาสู่การทำใหม่ ที่วัดผลได้ฯลฯ
  

สองคือ วิเคราะห์ให้ได้ว่าอะไร คือ จิตวิทยา อะไร คือกลยุทธ์ 

  

ได้อธิบายถึง คำจำกัดความของ กลยุทธ์ กลยุทธ์ คือวิธีการที่จะสู่ความสำเร็จอย่างมีแบบแผนรองรับไว้ล่วงหน้า ด้วยการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค มีการเลือกแนวทางปฏิบัติการแก้ไขอย่างรัดกุม ติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  

Reengineering เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการอย่างรุนแรง ยกเครื่องกระบวนการทำงานใหม่ ตรงนี้ ต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง  ต้องอาศัยจิตวิทยาการสื่อสาร จิตวิทยาการทำงาน ฯ เข้ามาช่วยให้การบริหารการเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดการ Reengineering นำไปสู่การคิดใหม่  ทำใหม่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ประชาชน 

 ส่วนเรื่องการทำงานอย่างมีคุณภาพ  คุณภาพคือความอยู่รอด ในการบริหารจัดการกระบวนการ จึงต้องคำนึงถึงคุณภาพ จากประสบการณ์ทำภาคเอกชน เราเน้น คุณภาพ ด้วย ทฤษฎี QCD อธิบายไว้ดังนี้

 

  • Q: คือทุกกระบวนการต้องเน้น คุณภาพQuality worker, Quality organization, Quality service
  • C: คือ ทุกกระบวนการต้องคำนึงถึงต้นทุน ให้รัดกุม ไม่ฟุ่มเฟือย กระบวนการที่ประหยัดกว่า ถูกกว่า จะสามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันCost, cheaper
  • D: คือ การส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า ประชาชน นอกจากเน้นคุณภาพแล้ว ต้องเร็วกว่า  Delivery faster
   การจะทำเช่นนั้นได้ นักศึกษาควรที่จะมีกรอบแนวความคิดที่ดี ทฤษฎี 4 L’s 8K’s 8H’s แนวคิดตามหลักพุทธศาสตร์ หรือ แนวคิดแนวปฏิบัติตามทฤษฎี 6 ท. ที่ผมยกตัวอย่างไว้คือ
  • ท.ที่ 1 ท้าทาย ทำงานเชิงรุก กล้าคิด กล้าทำ
  • ท.ที่ 2 ท่าที  มีท่าทีที่ดี ต่อคนรอบข้าง กับการทำงาน กับงานใหม่ ๆ มองโลกแง่ดีเพื่อมองวิกฤตให้เป็นโอกาส
  • ท.ที่ 3 ทบทวน หมั่นทบทวน  เพื่อให้พรุ่งนี้ดีกว่าเมื่อวาน    
  • ท.ที่ 4   ทน ต้องอดทน อึดทำงานได้มากกว่า ไม่บ่น ไม่แสดงอาการท้อแท้
  • ท.ที่ 5 เที่ยงธรรม ยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีคุณธรรม บริหารจัดการด้วยหลักคุณธรรม นิติธรรม
  • ท.ที่ 6 คือ ทำ ทำด้วยหลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบร่วม และหลักความคุ้มค่าและยั่งยืน 
 

ผมได้ฝากให้นักศึกษาคิดหมั่นทบทวนความรู้ที่ได้รับและหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม  จิตวิทยาชุมชน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คน กระบวนการ จิตวิยาและกลยุทธ์   ให้คิดบูรณาองค์ความรู้หลากหลายมาทำงานให้บรรลุผล

 

และให้นักศึกษาทำการบ้าน  ตามที่ ศ.ดร.จีระ ต้องการให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น คือ ให้นักศึกษาสรุปประเด็นที่ได้จากการชมวีดีโอ ว่าได้ประเด็นโป๊ะเช๊ะ อะไรบ้าง  ประเด็นที่ได้ เป็นกลยุทธ์ หรือเป็นเรื่อง จิตวิทยา เพราะอะไร ให้อธิบายสั้น ๆ ส่งภายในวันพฤหัสฯ นี้ ถึงวันจันทร์   นักศึกษาท่านใดมีปัญหา ไม่เข้าใจ โทรศัพท์ หรือส่งอีเมลล์ถึงผม

  ท้ายชั่วโมงให้เกียรติท่านพลเรือโทโรช อดีตรัฐมนตรีกลาโหม น.ศ.ป.เอก ได้แชร์ไอเดียว ตบท้ายด้วยอวยพรปีใหม่ ขอให้นักศึกษาทุกคนประสบความสำเร็จ มีศีล สมาธิ สติปัญญา เจริญกว้าหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นในปีใหม่นี้  

สวัสดี

 ยม  น.ศ. ป.เอก  รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต  081-9370144  [email protected] http://gotoknow.org/portal/yom-nark
ยม "การเรียนการสอน น.ศ. ป.โท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตร ครั้งที่ 2"
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ นักศึกษา ป.โท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตร และท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ ที่ให้ผม พลเรือโทโรช และน้องโลตัสติดตามไปร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน นักศึกษา จิตวิทยาชุมชน คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตร รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าว และได้มีโอกาสรู้จักกับนักศึกษามากขึ้น 
สังเกตเห็นนักศึกษาหลายท่านมีบุญ สนใจ ใส่ใจและเอาใจต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ขอขอบใจนักศึกษาพิมพ์ลดา สำหรับความมีน้ำใจ และความตั้งใจใฝ่รู้ เป็นตัวอย่างที่ดี   ช่วงต้นชั่วโมง ศ.ดร. จีระให้นักศึกษาทำกิจกรรมแชร์ความรู้ ในประเด็นที่ว่า

เมื่อเรียนรู้แล้ว จะนำแนวคิด ของศ.ดร.จีระ  ของคุณพารณ และคุณหญิงทิพาวดีฯ ไปสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ไปสู่ความเป็นเลิศ ได้อย่างไร และทำอย่างไร ให้เกิดการปฏิบัติเป็นรูปธรรมหนึ่งเรื่อง

 

   

และให้นักศึกษาชม วีดีโอ  โดยต้องการให้นักศึกษา จับประเด็นให้ได้ว่า การทำงานเชิงคุณภาพ เป็นอย่างไร Process Management (Re-engineering) อันไหน เป็น จิตวิทยา อันไหนเป็นกลยุทธ์

   

ตอนท้าย ให้นักศึกษาบางกลุ่ม เสนอประเด็นที่ได้ในการชมวีดีโอ แต่เนื่องจากเวลาจำกัด ผมจึงแนะนำนักศึกษา โดยการยกตัวอย่างประเด็นที่ได้ในการชมวีดีโอ เช่น

ที่จับประเด็นใน VDO  เกี่ยวกับ Re-engineering

 

  • เรากำลังอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง
  • เราจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา 
  • ต้องทำอยู่เสมอ
  • เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง
  •  เป็นการพัฒนากระบวนการ (ยกเครื่อง)กระบวนการ
  • ต้องศึกษากระบวนการให้ดี
  • งานที่ทำให้ลูกค้าพอใจไม่ใช่ขึ้นอยู่กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ขึ้นกับทั้งกระบวนการ
  • จึงควรตั้งทีมขึ้นมา เพื่อ
  • ศึกษาปัญหา ในองค์การ ศึกษาสิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจ 
  •  เมื่อศึกษาแล้ว สร้างกระบวนการความคิดใหม่ นำมาสู่การทำใหม่ ที่วัดผลได้ฯลฯ

  

 

สองคือ วิเคราะห์ให้ได้ว่าอะไร คือ จิตวิทยา อะไร คือกลยุทธ์ 

  

ได้อธิบายถึง คำจำกัดความของ กลยุทธ์ กลยุทธ์ คือวิธีการที่จะสู่ความสำเร็จอย่างมีแบบแผนรองรับไว้ล่วงหน้า ด้วยการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค มีการเลือกแนวทางปฏิบัติการแก้ไขอย่างรัดกุม ติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  

 

Reengineering เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการอย่างรุนแรง ยกเครื่องกระบวนการทำงานใหม่ ตรงนี้ ต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง  ต้องอาศัยจิตวิทยาการสื่อสาร จิตวิทยาการทำงาน ฯ เข้ามาช่วยให้การบริหารการเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดการ Reengineering นำไปสู่การคิดใหม่  ทำใหม่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ประชาชน 

 ส่วนเรื่องการทำงานอย่างมีคุณภาพ  คุณภาพคือความอยู่รอด ในการบริหารจัดการกระบวนการ จึงต้องคำนึงถึงคุณภาพ จากประสบการณ์ทำภาคเอกชน เราเน้น คุณภาพ ด้วย ทฤษฎี QCD อธิบายไว้ดังนี้

 

  • Q: คือทุกกระบวนการต้องเน้น คุณภาพQuality worker, Quality organization, Quality service
  • C: คือ ทุกกระบวนการต้องคำนึงถึงต้นทุน ให้รัดกุม ไม่ฟุ่มเฟือย กระบวนการที่ประหยัดกว่า ถูกกว่า จะสามารถช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันCost, cheaper
  • D: คือ การส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า ประชาชน นอกจากเน้นคุณภาพแล้ว ต้องเร็วกว่า  Delivery faster

 

การจะทำเช่นนั้นได้ นักศึกษาควรที่จะมีกรอบแนวความคิดที่ดี ทฤษฎี 4 L’s 8K’s 8H’s แนวคิดตามหลักพุทธศาสตร์ หรือ แนวคิดแนวปฏิบัติตามทฤษฎี 6 ท. ที่ผมยกตัวอย่างไว้คือ

  • ท.ที่ 1 ท้าทาย ทำงานเชิงรุก กล้าคิด กล้าทำ
  • ท.ที่ 2 ท่าที  มีท่าทีที่ดี ต่อคนรอบข้าง กับการทำงาน กับงานใหม่ ๆ มองโลกแง่ดีเพื่อมองวิกฤตให้เป็นโอกาส
  • ท.ที่ 3 ทบทวน หมั่นทบทวน  เพื่อให้พรุ่งนี้ดีกว่าเมื่อวาน    
  • ท.ที่ 4   ทน ต้องอดทน อึดทำงานได้มากกว่า ไม่บ่น ไม่แสดงอาการท้อแท้
  • ท.ที่ 5 เที่ยงธรรม ยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีคุณธรรม บริหารจัดการด้วยหลักคุณธรรม นิติธรรม
  • ท.ที่ 6 คือ ทำ ทำด้วยหลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบร่วม และหลักความคุ้มค่าและยั่งยืน 
 

ผมได้ฝากให้นักศึกษาคิดหมั่นทบทวนความรู้ที่ได้รับและหมั่นหาความรู้เพิ่มเติม  จิตวิทยาชุมชน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คน กระบวนการ จิตวิยาและกลยุทธ์   ให้คิดบูรณาองค์ความรู้หลากหลายมาทำงานให้บรรลุผล

 

 

และให้นักศึกษาทำการบ้าน  ตามที่ ศ.ดร.จีระ ต้องการให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น คือ ให้นักศึกษาสรุปประเด็นที่ได้จากการชมวีดีโอ ว่าได้ประเด็นโป๊ะเช๊ะ อะไรบ้าง  ประเด็นที่ได้ เป็นกลยุทธ์ หรือเป็นเรื่อง จิตวิทยา เพราะอะไร ให้อธิบายสั้น ๆ ส่งภายในวันพฤหัสฯ นี้ ถึงวันจันทร์   นักศึกษาท่านใดมีปัญหา ไม่เข้าใจ โทรศัพท์ หรือส่งอีเมลล์ถึงผม

 

ท้ายชั่วโมงให้เกียรติท่านพลเรือโทโรช อดีตรัฐมนตรีกลาโหม น.ศ.ป.เอก ได้แชร์ไอเดียว ตบท้ายด้วยอวยพรปีใหม่ ขอให้นักศึกษาทุกคนประสบความสำเร็จ มีศีล สมาธิ สติปัญญา เจริญกว้าหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นในปีใหม่  พ.ศ. 2550นี้  และอย่าลืมติดตามรายการวิทยุ FM 96.5 เวลา 17.30 น.ทุกวันพุธ และติดตามอ่านบทความของอาจารย์จาก น.ส.พ.แนวหน้า วันเสาร์หน้า 5 ครับ 

 

สวัสดี 

ยม  น.ศ. ป.เอก  รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต 

081-9370144 

 [email protected] 

http://gotoknow.org/portal/yom-nark

ร.อ.หญิง วรางคณา อินทร์ไทยวงศ์
กราบเรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และสวัสดีทีมงานทุกๆท่าน รวมถึงเพื่อนๆนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคนค่ะ ดิฉันขออธิบายเพิ่มเติมจากประเด็นที่คุณยมได้กล่าวไว้ เรากำลังอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง และการแข่งขันทั้งในเชิงธุรกิจและการพัฒนาองค์กรต่างๆ และเพื่อให้องค์กรนั้นคงอยู่ได้ก็คือการ Reengineering ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทั้ง 2 ด้าน คือ กลยุทธิ์ และจิตวิทยา เพราะกลยุทธิ์ก็เหมือนแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย และจิตวิทยาก็ช่วยทำให้การทำงานไปสู่เป้าหมายนั้นได้ราบรื่นขึ้น ในการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบทั้งองค์กรโดยเฉพาะ คน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และเปลี่ยนแปลงยากที่สุด                ประเด็นที่เป็นกลยุทธิ์คือ การReengineering ต้องมีการศึกษาและพัฒนากระบวนการ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบปัญหาต้องหาแนวทางการแก้ไขและกำหนดยุทธศาสตร์ หาแนวทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาได้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการมีตัวชี้วัด มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าสิ่งใดควรส่งเสริม และสิ่งใดควรร่วมมือกันเข้าไปช่วยเหลือ         ประเด็นที่เป็นจิตวิทยาก็คือ การReengineering สิ่งสำคัญคือการให้ทุกคนในองค์กรเข้ามามีส่วนร่วม เข้ามารับรู้และแก้ไขปัญหาร่วมกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการทำงานใหม่  การสร้างการทำงานเป็นทีม และการพัฒนาภาวะผู้นำ ซึ่งต้องใช้หลักของจิตวิทยาเข้ามาร่วมด้วย จะช่วยส่งเสริมความแข่งแกร่งในการบริหารแก่องค์กร และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กรไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคตต่อไป                                                       ด้วยความเคารพอย่างสูง                                                 ร.อ.หญิงวรางคณา  อินทร์ไทยวงศ์                                                       (เลขประจำตัว 48684542)
หากกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือชุมชน เป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกลยุทธ์  (Strategy) ก็คงจะไม่ถูกทีเดียวนักเพราะจากการชม VDO ระหว่างการสนทนากันระหว่าง ศ ดร. จีระ และ Mr. Michael Hammer แล้ว จะพบว่า การเปลี่ยนแปลงองค์กรนั้นไม่สามารถทำให้เกิดความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากองค์กรเป็นสังคมหรือชุมชนย่อยชุมชนหนึ่ง ซึ่งนอกจากปัจจัยในการพัฒนาทางด้านวัตถุหรือวิธีการแล้ว ที่ขาดเสียมิได้นั่นก็คือ Target อันเป็น Out come ของความตั้งใจในการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็น Motivation อันดับต้นๆ ของการ Reengineering ก็คือ การสร้างความพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย ส่วนนี้เองที่เราจะเรียกว่า Reengineering ด้วยกลยุทธ์อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีเรื่องของจิตวิทยามาร่วมด้วย จึงจะประสบความสำเร็จ สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณ ศ.ดร.จีระ และขอบคุณทีมงานทุกท่านที่มีความตั้งใจอย่างแท้จริงในการมีส่วนร่วมให้เกิดการเรียนรู้ในชั้นเรียนตลอดทั้ง 6 ชั่วโมง                                                   นางสาวนุชรี  เจี๋ยนเจริญ                                           จิตวิทยาชุมชน รุ่น 4                                                เลขที่ 48684351

                          
ร.ท.หญิง ดวงพร พันธุ์เอี่ยม
กราบเรียน ศ.ดร.จีระที่เคารพ  จากการดู VDO ในชั้นเรียนหากจะกล่าวว่าประเด็นใดที่เรียกว่า เป็นประเด็นโป๊ะเช๊ะ ก็น่าจะกล่าวถึงเรื่องของคำถามในเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรเมื่อต้องการจะมีเปลี่ยนแปลงองค์กร หรือที่เรียกว่า Reengineering  ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจะเรียกได้ว่า เป็นประเด็นคำถามที่มีความสำคัญและเป็นรูปธรรมมากที่สุด  ซึ่งจากคำตอบของ Mr. Michael ได้ให้คำตอบว่า จะต้องเริ่มจากการมี Executive Leadership ก่อนแล้วจึงมองถึงเรื่องของ Process และจบลงด้วยการพยายามพัฒนาด้วยการเข้าใจในปัญหาต่างๆ ดังนั้นหากจะถามว่า สิ่งไหนคือ กลยุทธ์ และสิ่งไหนคือ เรื่องของจิตวิทยา ตามความคิดโดยส่วนตัวแล้ว เห็นว่า ในขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอน ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของจิตวิทยาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของการคัดเลือก Executive Leadership, การตระหนักถึง process และการพยายามทำความเข้าใจปัญหาเพื่อให้เกิดการพัฒนา อย่างที่ได้ยินบ่อยครั้งในขณะที่ดู VDO ในห้อง ที่กล่าวว่า Reengineering ในแบบของ Mr. Micheal นั้นเป็นแบบรุกเปลี่ยนแบบฉับไว และค่อยๆ ลดลงเพื่อให้เกิดความ balance สิ่งนี้ก็หมายถึง นอกจากจะมีการใช้กลยุทธ์ในการ Reengineering องค์กร แล้วยังต้องใช้วิธีเพื่อให้เกิด Hamony ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาด้วย              ร.ท.หญิง ดวงพร  พันธุ์เอี่ยม            จิตวิทยาชุมชน รุ่น 4            เลขที่ 48684302
สวัสดีลูกศิษย์ทุกคน
1.      ผมได้อ่าน Blog ของทุกคนแล้วทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป มีความรู้สึกว่าประเทศไทยยังมีความหวังอยู่มาก
2.      ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นที่มีประโยชน์มาก และหวังว่าผู้อ่านท่านอื่น ๆ ที่ติดตามก็จะได้นำไปคิดต่อ
3.      ต้องขอขอบคุณนักศึกษาปริญญาเอกทั้ง 3 ท่าน คือ พลเรือโทโรช คุณยม และอาจารย์โลตัส ที่กรุณาไปช่วยให้กำลังใจ และร่วมแสดงความคิดเห็น
4.      ขอบคุณทีมงานของผมที่ช่วยประสานงาน
5.      วันสุดท้ายคือ วันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น เรามีเวลาน้อยไปเพราะผมมีความจำเป็นต้องออกมาก่อน แต่ก็อยากให้ลูกศิษย์ส่ง Blog มาว่า เรื่องการปรับองค์กรจะเป็นอย่างไร?
6.      ที่น่าสนใจ คือ การปรับองค์กรแบบ Re-engineering อาจจะนำมาใช้กับชุมชนได้
7.      หัวข้อที่น่าสนใจในอนาคต คือ
o     Innovation กับจิตวิทยา
o     ภาวะผู้นำในชุมชนจะสร้างอย่างไร
o     เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาชุมชน
o     ชุมชนกับการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎี 4 L’s
o     ชุมชนกับเรื่องสุขภาพ
o     ชุมชนกับเรื่องสิ่งแวดล้อม
ขอให้ทุกคนโชคดี                                                     
                                                 อาจารย์
ยม "เดินหน้าต่อ ยืนยันการส่งการบ้านทาง Blog"
สวัสดี น.ศ. ร.อ.หญิงวรางคณา  อินทร์ไทยวงศ์  

ขอแสดงความยินดี  กับ น.ศ. พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล  ที่เมื่อการเรียนครั้งที่แล้ว ส่ง blog มาเป็นคนแรก 

  มาครั้งนี้ ขอแสดงความยินดี สำหรับ น.ศ. ร.อ.หญิงวรางคณา  อินทร์ไทยวงศ์  สำหรับการเรียนครั้งที่สอง ถือเป็นคนแรกที่ส่ง Blog  ทั้งสองท่านเป็นส่วนหนึ่งที่บอกได้ว่าท่านเป็นผู้สนใจใฝ่รู้ และรวดเร็วที่สุดในรุ่น  นอกจากนี้ ยังเขียนได้ประเด็นน่าสนใจ สำหรับ ร.อ. หญิงวรางคณา เขียนกระชับ ได้สาระ เช่น กลยุทธิ์ และจิตวิทยาเหมือนแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย และจิตวิทยาก็ช่วยทำให้การทำงานไปสู่เป้าหมายนั้นได้ราบรื่นขึ้น ในการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบทั้งองค์กรโดยเฉพาะคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญประเด็นที่เป็นกลยุทธ์คือ การ Reengineering ต้องมีการศึกษาและพัฒนากระบวนการ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบปัญหาต้องหาแนวทางการแก้ไขและกำหนดยุทธศาสตร์ หาแนวทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาได้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการมีตัวชี้วัด มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าสิ่งใดควรส่งเสริม และสิ่งใดควรร่วมมือกันเข้าไปช่วยเหลือ”   อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่นักศึกษากล่าวถึงอยู่ สามประการคือ
  • กลยุทธ์
  • จิตวิทยา
  • การ Reengineering กระบวนการ
  •  
ซี่งในความเห็นของผม เป็นเรื่องสำคัญ บางองค์การนำสามเรื่องนี้ ไปกำหนดเป็นยุทธ์ศาสตร์พัฒนาองค์การ ได้แก่
  • ยุทธศาสตร์การบริหารงานเชิงกลยุทธ์
  • ยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์
  • ยุทธศาสตร์ การบริหารเชิงจิตวิทยา
  • ยุทธศาสตร์การขจัดความขัดแย้งด้วยวิธีจิตวิทยา
  • ยุทธศาสตร์การปรังปรุงกระบวนการทำงานด้วยการ Reengineering   
  ซึ่งแต่ละยุทธ์ศาสตร์จะมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ และมีการติดตามประเมินผล การรายงานผล และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ Learning Organization และ Knowledge Management ครับ     ส่วน น.ศ. นุชรี เจี๋ยนเจริญ เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 16:55 (125196)  จับประเด็นได้น่าสนใจ คือ“Reengineering ก็คือ การสร้างความพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย ส่วนนี้เองที่เราจะเรียกว่า Reengineering ด้วยกลยุทธ์อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีเรื่องของจิตวิทยามาร่วมด้วย จึงจะประสบความสำเร็จ”   ร.ท.หญิง ดวงพร พันธุ์เอี่ยม เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 17:27 (125239) จับประเด็นได้น่าสนใจ เช่นกันคือ“Reengineering   เริ่มจากการมี Executive Leadership ก่อนแล้วจึงมองถึงเรื่องของ Process และจบลงด้วยการพยายามพัฒนาด้วยการเข้าใจในปัญหาต่างๆ  ในขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอน ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของจิตวิทยาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของการคัดเลือก Executive Leadership, การตระหนักถึง process และการพยายามทำความเข้าใจปัญหาเพื่อให้เกิดการพัฒนาMr. Micheal นั้นเป็นแบบรุกเปลี่ยนแบบฉับไว และค่อยๆ ลดลงเพื่อให้เกิดความ balance สิ่งนี้ก็หมายถึง นอกจากจะมีการใช้กลยุทธ์ในการ Reengineering องค์กร แล้วยังต้องใช้วิธีเพื่อให้เกิด Hamony ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาด้วย      

ขอชื่นชม และยกย่องให้เป็นนักศึกษาที่กล่าวมา เป็นนักศึกษาตัวอย่าง สำหรับรุ่นนี้ 

 

ส่วนนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าเรียน หรืที่ยังไม่ได้ส่งขอให้ศึกษา ปรึกษาหารือจากเพื่อน ๆ แล้ว ทยอยส่งมา ผมกับ ศ.ดร.จีระ กำลังรอ และทยอยพิจารณา  อย่าลืมว่ากำหนดส่งตั้งแต่วันพฤหัสฯที่ผ่านมา จนถึงวันจันทร์นี้  คนส่งหลังสุดคงจะทำยากขึ้นเพราะข้อมูลเพื่อน ๆ เขียนไปเกือบหมดแล้ว น.ศ.ที่ส่งก่อน สบายก่อน ไม่ซ้ำใคร และหากมีเวลามากพอ ผมจะช่วย comment ให้  ครับ   ยม   น.ศ. ป.เอก  รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต   081-9370144   [email protected]  http://gotoknow.org/portal/yom-nark
ยม "เดินหน้าต่อ ยืนยันการส่งการบ้านทาง Blog"
 สวัสดี ครับ ศ.ดร.จีระ และ น.ศ. ป.โท จิตวิทยาชุมชน และท่านผู้อ่านทุกท่าน

ขอแสดงความยินดี  กับ น.ศ. พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล  ที่เมื่อการเรียนครั้งที่แล้ว ส่ง blog มาเป็นคนแรก 

มาครั้งนี้ ขอแสดงความยินดี สำหรับ น.ศ. ร.อ.หญิงวรางคณา  อินทร์ไทยวงศ์  สำหรับการเรียนครั้งที่สอง ถือเป็นคนแรกที่ส่ง Blog  ทั้งสองท่านเป็นส่วนหนึ่งที่บอกได้ว่าท่านเป็นผู้สนใจใฝ่รู้ และรวดเร็วที่สุดในรุ่น  นอกจากนี้ ยังเขียนได้ประเด็นน่าสนใจ 

 

สำหรับ ร.อ. หญิงวรางคณา เขียนกระชับ ได้สาระ เช่น กลยุทธิ์ และจิตวิทยาเหมือนแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย และจิตวิทยาก็ช่วยทำให้การทำงานไปสู่เป้าหมายนั้นได้ราบรื่นขึ้น ในการเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบทั้งองค์กรโดยเฉพาะคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญประเด็นที่เป็นกลยุทธ์คือ

การ Reengineering ต้องมีการศึกษาและพัฒนากระบวนการ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบปัญหาต้องหาแนวทางการแก้ไขและกำหนดยุทธศาสตร์ หาแนวทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาได้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการมีตัวชี้วัด มีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าสิ่งใดควรส่งเสริม และสิ่งใดควรร่วมมือกันเข้าไปช่วยเหลือ”   

 

 

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่นักศึกษากล่าวถึงอยู่ สามประการคือ

  • กลยุทธ์
  • จิตวิทยา
  • การ Reengineering กระบวนการ

 

ซี่งในความเห็นของผม เป็นเรื่องสำคัญ บางองค์การนำสามเรื่องนี้ ไปกำหนดเป็นยุทธ์ศาสตร์พัฒนาองค์การ ได้แก่
  • ยุทธศาสตร์การบริหารงานเชิงกลยุทธ์
  • ยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์
  • ยุทธศาสตร์ การบริหารเชิงจิตวิทยา
  • ยุทธศาสตร์การขจัดความขัดแย้งด้วยวิธีจิตวิทยา
  • ยุทธศาสตร์การปรังปรุงกระบวนการทำงานด้วยการ Reengineering   

 

  ซึ่งแต่ละยุทธ์ศาสตร์จะมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ และมีการติดตามประเมินผล การรายงานผล และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ Learning Organization และ Knowledge Management ครับ     

 

ส่วน น.ศ. นุชรี เจี๋ยนเจริญ เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 16:55 (125196)  จับประเด็นได้น่าสนใจ คือ“Reengineering ก็คือ การสร้างความพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย ส่วนนี้เองที่เราจะเรียกว่า Reengineering ด้วยกลยุทธ์อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีเรื่องของจิตวิทยามาร่วมด้วย จึงจะประสบความสำเร็จ”   

 

ร.ท.หญิง ดวงพร พันธุ์เอี่ยม เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 17:27 (125239) จับประเด็นได้น่าสนใจ เช่นกันคือ“Reengineering   เริ่มจากการมี Executive Leadership ก่อนแล้วจึงมองถึงเรื่องของ Process และจบลงด้วยการพยายามพัฒนาด้วยการเข้าใจในปัญหาต่างๆ  ในขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอน ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของจิตวิทยาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของการคัดเลือก Executive Leadership, การตระหนักถึง process และการพยายามทำความเข้าใจปัญหาเพื่อให้เกิดการพัฒนา

Mr. Micheal นั้นเป็นแบบรุกเปลี่ยนแบบฉับไว และค่อยๆ ลดลงเพื่อให้เกิดความ balance สิ่งนี้ก็หมายถึง นอกจากจะมีการใช้กลยุทธ์ในการ Reengineering องค์กร แล้วยังต้องใช้วิธีเพื่อให้เกิด Hamony ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาด้วย      

 

ขอชื่นชม และยกย่องให้เป็นนักศึกษาที่กล่าวมา เป็นนักศึกษาตัวอย่าง สำหรับรุ่นนี้ 

 

ส่วนนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าเรียน หรืที่ยังไม่ได้ส่งขอให้ศึกษา ปรึกษาหารือจากเพื่อน ๆ แล้ว ทยอยส่งมา ผมกับ ศ.ดร.จีระ กำลังรอ และทยอยพิจารณา  อย่าลืมว่ากำหนดส่งตั้งแต่วันพฤหัสฯที่ผ่านมา จนถึงวันจันทร์นี้  คนส่งหลังสุดคงจะทำยากขึ้นเพราะข้อมูลเพื่อน ๆ เขียนไปเกือบหมดแล้ว น.ศ.ที่ส่งก่อน สบายก่อน ไม่ซ้ำใคร และหากมีเวลามากพอ ผมจะช่วย comment ให้  ครับ   

ยม   

น.ศ. ป.เอก  รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต   081-9370144  

 [email protected]  

http://gotoknow.org/portal/yom-nark

พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล

กราบเรียน ท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ที่เคารพ และขอกล่าวสวัสดีคุณโรช คุณยม และคุณโลตัส ที่นับถือ และสวัสดีเพื่อนร่วมรุ่นจิตวิทยาชุมชน และผู้อ่านทุกท่าน

       ใน blog นี้ ดิฉันจะขอกล่าวถึงสิ่งที่ได้จากการจับประเด็นในทาง psychology และ strategy จากการได้รับชมบทสัมภาษณ์ระหว่าง ท่านอาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และ Dr.Michael Hammer ในเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการปรับองค์กรระบบ รีเอ็นจิเนียริ่ง (Re-engineering)” ซึ่งออกอากาศทางรายการโทรทัศน์สู่ศตวรรษใหม่ ครั้งที่ 18 วันที่ 20 กรกฎาคม

     

      Re-engineering ถือเป็นรูปแบบการบริหารองค์กรรูปแบบหนึ่งซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันตก และได้มีการถ่ายโอนองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาสู่โลกตะวันออก โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ Re-engineering จากบทสัมภาษณ์ผนวกกับบทวิเคราะห์เพิ่มเติมดังนี้

        -                    Re-engineering ถือเป็นการปฏิวัติหรือปฏิรูประบบการทำงานในองค์กรแบบเดิมที่ด้อยประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น

         -                    ในวัฒนธรรมตะวันตก คุณMichael Hammer ได้กล่าวว่า การใช้ Re-engineering ในการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานขององค์กรอย่างสิ้นเชิง โดยใช้วิธีการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงและจริงจัง หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง และมีเป้าหมายอยู่ที่ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

        -                    แต่การนำ Re-engineering มาใ้ช้ในวัฒนธรรมตะวันออก ซึ่งเป็น soft culture โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัฒนธรรมไทยที่ค่อนข้าง sensitive กับการเปลี่ยนแปลง การนำมาใช้จึงควรเป็นลักษณะการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม สอดคล้อง เข้าำกันได้ดีกับวิถีชีวิตและวิถีการทำงานของคนไทย ซึ่งยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลงได้ยาก การประยุกต์ใช้ดังกล่าวจึงจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ในหลายขั้นตอน และมีลักษณะการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีจังหวะมากกว่า ซึ่งมีลักษณะที่ค่อนข้างตรงข้ามอย่างมากกับโลกตะวันออก หากแต่เป้าหมายหลักยังคงเน้นที่ความพึงพอใจของลูกค้าเหมือนกัน

       -                    ภายใต้โลกแห่งยุค globalization ไม่มีการปรับเปลี่ยนในระบบการทำงานในรูปแบบใดที่ถือเป็นที่สุดและหยุดนิ่ง ดังคำกล่าวของคุณ Michael Hammer ที่ว่า “Change is fast and unpredictable” ฉะนั้น สิ่งที่องค์กรควรตระหนักอยู่เสมอ คือ การเตรียมความพร้อมของตนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการปรับตัวและการแข่งขันในอันจะนำมาซึ่งความได้เปรียบเิชิงการแข่งขัน (competitive advantage) ขององค์กร

         -                    ในการนำหลักของ Re-engineering มาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ผู้นำองค์กรที่มีความเข้มแข็งถือเป็นสิ่งสำคัญมากในระยะแรกเริ่ม ซึ่งเป็นผู้ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ขั้นต่อไปในการศึกษากระบวนการ Re-engineering อย่างจริงจัง โดยเชื่อมโยงและบูรณาการในแต่ละส่วนงานให้เป็นภาพรวม (part to hold) ทั้งระบบให้ได้

     ดิฉันได้จดจำคำคมข้อคิดมาประโยคหนึ่ง จากการที่เคยมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม New Life Camp ของบริษัท AIA ที่ว่า ทันทีที่คนเราเปลี่ยนความคิด เราสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชีวิต ซึ่งดิฉันคิดว่าคำกล่าวนี้มีความสอดคล้องกับ Re-engineering ค่อนข้างมาก เพราะในทางจิตวิทยานั้น การจะศึกษาพฤติกรรมบางอย่างของคนที่เป็นเรื่อง sensitive ไม่สามารถศึกษาได้โดยตรง มักจะศึกษาจากทัศนคติของคนต่อพฤติกรรมนั้น ๆ แทนเสมอ นั่นคือ ความคิดนำมาซึ่งการกระทำพฤติกรรม และการกระทำพฤติกรรมย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในองค์กร ทั้งในระหว่างองค์กร ชุมชน สังคม และในประเทศชาติตามมาในที่สุด ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้กลไกการปรับเปลี่ยนจุดเริ่มต้นทางความคิดอย่างมีกลยุทธ์หรือ strategy นั่นเอง นั่นหมายความว่า ในแต่ละประเด็นของ Re-engineering ดังกล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้น จำเป็นต้องใช้ทั้ง Psychology และ Strategy ควบคู่กันไปอย่างมิอาจทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ ถ้าจะเปรียบไป Strategy ก็เหมือนฟันเฟืองเครื่องจักรที่มีหลายวงล้อ และต้องเคลื่อนตัวขบฟันกันไปอย่างลงตัว และต้องหมั่นคอยหยอดน้ำมันซึ่งก็คือ Psychology เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการบำรุงรักษาการทำงานของฟันเฟืองให้มีอายุยืนยาวอีกด้วย แต่การจะใช้สิ่งใดเป็นสัดส่วนเท่าใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งต้องอาศัยวิจารณญาณจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้นำองค์กรเป็นเครื่องนำทาง นั่นเอง 

       ด้วยความเคารพอย่างสูง

       พิมพ์ลดา  บวรวิชญ์ศรีกุล

     รหัสประจำตัวนิสิุต 48684443      [email protected]

กราบเรียนอาจารย์จีระ และสวัสดีทีมงานทุกท่านค่ะ

 

   ประเด็น แนวคิดเรื่อง Re-engineering จาก VCD บทสัมภาษณ์ระหว่าง ดร.จีระ และ Dr.Hammer

 

1.    Re-engineering เป็นเรื่องสำคัญมาก สิ่งที่ต้องเน้นคือ

    -        เรากำลังอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น

     -        องค์กรจะต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่จะต้องมีการแข่งขัน

   -        องค์กรไหนก็ตามถ้าอยากจะปรับปรุง จะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง และจะต้องศึกษาอย่างเป็นกระบวนการ

    -        ศึกษาปัญหาในองค์กร หาจุดอ่อนจุดแข็ง สิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจ

     -        สร้างกระบวนการใหม่ให้เกิดขึ้น เช่น

      -        การจัดการ Technology และ

-        การจัดการกับคน เช่น สร้างทักษะแบบใหม่ให้เกิดขึ้น สร้างค่านิยมใหม่ ๆ คนหนึ่งคนมีความสามารถหลายอย่าง สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานกันได้

 

2.    สรุป

   หนูคิดว่าเท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นะคะ เป็นทั้งกลยุทธ์และจิตวิทยาเลยค่ะ เพราะ 2 อย่างนี้แยกออกจากกันยากค่ะ เช่น เรากำลังอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง เราจะต้องมีการปรับตัวหรือปรับองค์กรอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะทุกอย่างต้องมีการแข่งขันเกิดขึ้น ในแง่จิตวิทยาก็เช่นกัน เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน พฤติกรรมคนก็ย่อมเปลี่ยนตามเสมอ

 

          ด้วยความเคารพ

 

           อนัญญา  สุขใจ

   รหัสประจำตัวนิสิต 48684716

        [email protected]
เรียนกราบศ.ดร. จีระ  ที่เคารพ                วันที่  26 ธ.ค. 2549  เป็นครั้งที่  2  ของการเรียน  ได้รับความรู้จากท่าน  และคณะของท่านเป็นอย่างมาก         เนื่องจากการเรียนในวันนี้  มีการบ้านให้สรุปในการดู VDO การสัมภาษณ์ของศ.ดร. จีระ กับ Mr. Micheal  Hammer เกี่ยวกัRe-engineering  รายการ  สู่ศตวรรษใหม่แล้วให้วิเคราะห์ว่า  อะไร  คือกลยุทธ์ ( Strategy )  อะไรคือจิตวิทยา ( Psychology )   สรุปได้ดังนี้  1)      ประเด็นที่เป็นกลยุทธ์ ( Strategy ) ได้แก่-         การคำนึงถึงสิ่งที่ทำอยู่  กับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต-         กระบวนการผลิต-         เรากำลังอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  และมีการแข่งขันสูง-         การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง-         การพัฒนาอย่างเป็นกระบวนการ-         เราต้องมีการเตรียมตัว/ปรับปรุง/พัฒนาอยู่ตลอดเวลา-         เน้นวิธีการต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา-         การจัดตั้งองค์กรใหม่ให้เป็นแนวนอน-         การจัดตั้งทีมงานเฉพาะ   2)      ประเด็นที่เป็นจิตวิทยา  ( Psychology )  ซึ่งในแต่ละประเด็นที่กล่าวมานั้นมีความจำเป็นต้องใช้หลักจิตวิทยาควบคู่กันไปเพื่อศึกษาปัญหาขององค์กร   กระบวนการต่าง ๆ  ปัญหาของลูกค้า   ให้เกิดการขับเคลื่อไปสู่ผลสำเร็จ   เป้าหมายหลักที่สำคัญของ  Re-engineering  คือ ความพึงพอใจของลูกค้า  เนื่องจากงานที่ทำให้คนพึงพอใจ  ไม่ได้ขึ้นกับองค์ใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น  สุพรรษา  กตัญญูนิสิตปริญญาโท  จิตวิทยาชุมชน รุ่น 4รหัส  48684666

สวัสดีค่ะ นักศึกษาปริญญาโท จิตวิทยาชุมชนทุกท่าน

ศ.ดร.จีระ ได้แจ้งว่าท่านอาจารย์มีความประสงค์ อยากให้นักศึกษา ที่ส่ง Blog การบ้านขอให้ ทุกท่าน ใส่รหัสนักศึกษา พร้อมเบอร์โทรศัพท์มือถือและเบอร์อีเมล์ของท่าน ด้วย เพื่อสะดวกต่อการแชร์ไอเดียโดยพูดคุยโดยตรงกับอาจารย์ ค่ะ รบกวนคุณพิมพ์ลดา และคุณอนัญญา ใส่เบอร์โทรศัพท์ให้อาจารย์ด้วยนะคะ

สวัสดีค่ะ

A' Lotus  Moblie : 081-582-9478

นักศึกษาปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต

ผมขอขอบคุณที่หลายคนได้ส่งการบ้านเรื่อง Reengineering ทั้ง ๆ ที่ ถึงไม่ได้ส่งก็ไม่เป็นไร เพราะสำหรับเรื่อง HR กับ Psychology ได้จบหลักสูตรไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ 25 ธ.ค.49 ที่ผ่านมา ทำให้ผมได้เห็นสัญญาณของการเกิด L ที่ 4 คือ สังคมของการเรียนรู้

ผมจะขอเสริมประเด็นที่ได้พูดกันไปเกี่ยวกับเรื่องรีเอ็นจิเนียริ่ง คือ

  • จากบทสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ สู่ศตวรรษใหม่ เมื่อ 12 ปีที่แล้ว เรื่อง Re-engineering ที่ผมได้พูดคุยกับ ดร.ไมเคิ้ล แฮมเมอร์ และก็ได้นำมาถ่ายทอดไว้ในหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ยังคงเป็นแนวคิดที่ยังสามารถปรับใช้ได้ในยุคนี้ แต่อย่างไรก็ดีเรื่องรีเอ็นจิเนียริ่งก็ยังคงมีจุดอ่อนตรงที่ว่าการปรับองค์กรแบบประเทศตะวันตกไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการนำมาใช้กับประเทศตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎี 3 วงกลมของผมมาวิเคราะห์ ดังนี้
  • การทำงานยุคใหม่ให้ได้ผลนั้น องค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของโครงสร้างองค์กร หรือการบริหารจัดการ องค์กรในยุคแห่งการแข่งขันนี้จะต้องเน้นความคล่องตัว เป็นลักษณะของ Flat Organization หรือมีระบบการบริหารจัดการแบบแนวราบที่ทุกส่วนในองค์กรพุ่งเป้าหมายไปที่ตัวลูกค้าเป็นสำคัญจึงจะอยู่รอดและแข่งขันได้ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มปรับ ซึ่งเรื่องนี้ในหนังสือเรื่อง Winning ของ Jack Welch เขาก็พุดถึงไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว
  • หากจะยกตัวอย่างขององค์กรแบบไทย เช่นระบบราชการจะเห็นได้ว่าเป็นการบริหารจัดการแบบแนวดิ่ง คือต้องบริหารเจ้านายแทนที่จะบริหารลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จหรือความเป็นเลิศได้ยากเพราะว่าแนวดิ่งจะเน้นเรื่องตำแหน่ง เช่น ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้อำนวยการกอง ฯลฯ  ทำให้เกิดการยึดติด และเปลี่ยนแปลงยาก หรือไม่ยอมเปลี่ยนเลย มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างงาน โครงสร้างตำแหน่ง โครงสร้างเงินเดือนให้กับธนาคารแห่งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็พบว่าการเปลี่ยนแปลงทำได้ยากมาก เพราะคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ยังคงชอบการมีตำแหน่ง การมีโต๊ะทำงาน ห้องทำงานใหญ่ ๆ แต่ว่าผลงานนั้นไม่ได้มุ่งไปที่ตัวลูกค้าเป็นสำคัญ แม้ว่าองค์กรบางแห่งจะรู้ว่าจำเป็นจะต้องปรับ แต่ก็ยังไม่สามารถทำใจให้ยอมรับการปรับเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงได้ ถึงตรงนี้ผมเองอยากจะฝากผู้บริหารที่สนใจเรื่องนี้ว่าการปรับองค์กรหรือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเหมาะสมหรือสิ่งที่ดีกว่านั้นเป็นเรื่องที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะหากเราไม่ยอมปรับ ไม่ยอมเปลี่ยน สักวันหนึ่งลูกค้าก็จะเปลี่ยนเราไปสู่ทางเลือกที่ตอบสนองเขาได้ดีกว่านั่นเอง หากแต่ทำอย่างไรการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทุกฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ หรือ win – win นั่นเองที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
  •                                     จีระ  หงส์ลดารมภ์
น.ส.พจนาถ ธรรมาภิรมย์
เรียน อ.ศ.ดร.จีระ คุณยม คุณโลตัส จากวันที่ 25/12/2549 ที่ได้ดูเทปรายการ สู่ศตวรรษใหม่ ที่มีบทสัมภาษณ์ของ Mr.Hammerนั้น ทำให้ได้ข้อคิดหลายประการเกี่ยวกับ Re-engineering เนื่องจากองค์กรที่ดิฉันทำอยู่ได้มีการ Re-engineering ไปไม่นาน ซึ่งตัวดิฉันเองก็ได้รับผลกระทบซึ่งถือได้ว่าโดยตรงเลยทีเดียว ซึ่งจากคำกล่าวของ Mr.Hammer ที่กล่าวไว้ว่า การใช้ Re-engineering ในการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานขององค์กรอย่างสิ้นเชิง จะใช้วิธีการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงและจริงจัง หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง และมีเป้าหมายอยู่ที่ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลักนั้น ตัวดิฉันคิดว่าในประเทศไทยไม่ได้คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก แต่ที่จริงแล้วเน้นที่ผลกำไร หรือ ผลประกอบการเป็นหลักเสียมากกว่า ถ้าจะเน้นลูกค้าควรเน้นทั้งลูกค้าภายนอกและภายใน จึงทำให้การ Re-engineering ในไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร                 ยิ่งทุกวันนี้โลกเราอยู่ในภาวะ Globalization และ Networking เพราะฉะนั้นหากเราหยุดอยู่นิ่งกับทีไม่ก้าวเดินต่อไป ไม่ปรับปรุง พัฒนาสิ่งใหม่ที่เข้ามาตลอดเวลา อาจทำให้เราไม่สามารถก้าวขึ้นสู่อีกระดับได้ เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมของการแข่งขัน เราต้องก้าวให้ทันคนอื่นๆ ไม่ใช่มองเค้าก้าวแต่เราอยู่กับที่         จากเทปรายการ การมองว่า Psychology – Strategy ตามบทสัมภาษณ์นั้นต่างก็มีอยู่ในตัวของมันเอง จะปฏิบัติอะไรกลยุทธ์ถือเป็นสิ่งสำคัญแต่ถ้าปฏิบัติแล้วโดยไม่ใช้หลักจิตวิทยากลยุทธ์นั้นก็อาจไม่สัมฤทธิ์ผลได้ เช่น การที่จะดำเนินการทำงานแบบใหม่ มองไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรง โดยเน้นความพึงพอใจของลูกค้า ถ้ามีแต่ Strategy อย่างเดียวดำเนินการไป แต่ไม่มี Psychology ช่วยหล่อลื่น อาจทำให้เครื่องยนต์ที่กำลังเดินหน้าหยุดชะงักกลางคันได้         เพราะฉะนั้นตามความคิดของดิฉัน Strategy – Psychology เปรียบเหมือน เครื่องยนต์ กับ น้ำมันหล่อลื่น ที่ช่วยกันขับเคลื่อนไปข้างหน้า หรืออาจเปรียบเหมือนตะเกียบที่ต้องใช้เป็นคู่ ซึ่งถ้าแยกออกจากกันการทำงานก็จะไม่เกิดขึ้น                 ด้วยความเคารพ        น.ส.พจนาถ ธรรมาภิรมย์ 48684427        [email protected]
รท.หญิง สุกัญญา นิยมวัน
กราบเรียน ศ.ดร. จีระ และทีมงานทุกท่านตามที่ดิฉันได้ชมเทปบันทึกรายการ  สู่ศตวรรษใหม่ทำให้ดิฉันซึ่งทำงานอยู่ในวงการราชการได้รู้ว่าระบบราชการนั้นยังต้องมีการพัฒนาในหลายด้าน           ในการปรับองค์กรระบบนั้นจะต้องให้ความสำคัญในด้านต่างๆมากมายดังนั้นเราจะต้องมี strategy ในการที่ทำการปรับองค์กรที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นหลักเพื่อการมีเป้าหมายชัดเจนและเราจะต้องมีกระบวนการ(Process)ในการทำตามยุทธศาสตร์นั้นและยุทธศาสตร์ที่ว่านี้จะต้องคำนึงถึง  การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก  คำนึงถึงความต้องการของลูกค้า   รวมทั้งทรัพยากรต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ที่เรามีอยู่ในองค์กรนั้นจะต้องให้ความสำคัญในด้านของ Psychology ด้วยเพราะบุคคลจะทำอะไรได้อย่างเต็มที่นั้นขึ้นอยู่กับ Attitude และ Believeที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้น                                                                                                                                            ร.ท. หญิง สุกัญญา  นิยมวัน                                          รหัส  48684633

 

น.ส.มัตติมา คณานุวัฒน์
          กราบเรียนศ.ดร.จีระ และพี่ๆทีมงานทุกท่านคะ จากVDO ที่ได้ชมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นการสัมภาษณ์ระหว่างศ.ดร.จีระ และ Dr.Hammer เกี่ยวกับการ Re-engineering นั้น ทำให้พบว่าองค์กร/บริษัทต่างๆในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก แต่สนใจเกี่ยวกับผลกำไร/ยอดขายที่ทางองค์กร/บริษัทจะได้รับ แต่เนื่องจากโลกในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นกว่าในอดีต ดังนั้นการที่องค์กร/บริษัทไม่มีหลักเกณฑ์ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริการ อาจทำให้ความพึงพอใจของลูกค้าลดลงและก่อให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา      ดังนั้นองค์กร/บริษัทควรนำหลักการ Re-engineering มาใช้ปรับปรุงการบริหารงาน จากหลักการ Re-engineering ของ Dr.Hammer ที่กล่าวมานั้นข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหลักการเปลี่ยนแปลงที่ดีมากๆหลักการหนึ่ง แต่การจะนำหลักการใดๆมาใช้นั้น ข้าพเจ้าคิดว่าควรมีการศึกษาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับพนักงานภายในองค์กรด้วย เช่น วัฒนธรรมองค์กร เป็นต้นเนื่องจากทรัพยากรภายในองค์กรเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องอื่นๆ การที่องค์กรจะขับเคลื่อนไปได้นั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงทรัพยากรส่วนนี้ด้วย ดังนั้นทางผู้บริหารระดับสูง ควรใช้แนวกลยุทธ์ต่างๆทั้งในด้านจิตวิทยา และด้านเศรษฐศาสตร์มาใช้ในสัดส่วนที่เข้ากัน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งในส่วนของพนักงาน ผู้ถือหุ้น และตัวลูกค้า           เมื่อได้หลักการที่ลงตัวแล้วนั้น ควรนำหลักการเหล่านี้มาใช้กับผู้บริหารระดับสูงก่อน เพื่อให้เกิดการยอมรับ และเกิดการนำไปใช้อย่างเป็นระบบ หลักการ Re-engineering มิใช่การเปลี่ยนแปลงระยะสั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหยุดนิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับกระแสโลกในปัจจุบัน
อัญญรัตน์ เตชะโกมล
เรียน ศ.ดร.จีระ และสวัสดีทุกท่านจากการเรียนในวันอังคารที่ 26 ธ.ค.49 ที่ผ่านมาทำให้ได้รับความรู้ต่างๆ ดังนี้ 
  1. จากกิจกรรมแชร์ความรู้ของเพื่อนๆ ถึงแนวทางการนำความรู้ของศ.ดร.จีระ คุณพารณ และคุณหญิงทิพาวดีไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ถือว่าเป็นประโยชน์มากทีเดียวค่ะ
 
  1. การชมวีดีโอการสัมภาษณ์ Dr. Hammer เกี่ยวกับ Reengineering นั้น นับว่าทำให้เข้าใจความหมายของการ Reengineering มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ การปรับโครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นการใช้ Psychology ในการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า รวมถึงการใช้ Reengineering  ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรเพื่อให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วฉับพลันได้ และการปรับแนวความคิด ทัศนคติของพนักงานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ Reengineering  ขององค์กรเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีคุณภาพ
 
  1. สิ่งที่ประทับใจจากแนวคิดของท่านเรือโทโรช ถึงเรื่องของการ มีดีไม่ควรถือไว้ และปรัชญาต่างๆ ของท่านถือว่าเป็นประโยชน์มากทีเดียวค่ะ (แต่เสียดายที่เวลามีน้อยไปนิดนึง)
 สุดท้ายต้องขอบขอบคุณศ.ดร.จีระ และทีมงานที่มาให้แนวคิด และทฤษฎีต่าง กับนิสิตสาขาจิตวิทยาชุมชน รุ่น 4 มก. ค่ะ 

ขอแสดงความนับถือ

 

อัญญรัตน์ เตชะโกมล

กราบเรียนท่านอาจารย์ศ.ดร.จีระ ท่านทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ และขอกล่าวสวัสดีเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชน และผู้่อ่านทุกท่าน  

 

       ตามทรรศนะของดิฉัน เห็นว่ากลยุทธ์เป็นส่วนหนึ่งของ HR การที่จะดำเนินการตามแผนงานใด ๆ ได้นั้น ก่อนอื่นจำเป็นต้องสร้างให้เกิด Happiness ขึ้นเสียก่อน เมื่อคนเกิด Happiness แล้ว Head จึงจะตามมา ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เราต้องช่วยตนเองก่อน และในการให้บริการลูกค้านั้น ต้องคิดถึงการเอาใจใส่เขามาใส่ใจเรา เช่นเดียวกัีนเมื่อเราต้องการอย่างไร ลูกค้าก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ องค์การอื่นก็จะดึงลูกค้าจากเราไป เราก็มีรายได้เข้าสู่องค์การที่ลดน้อยลง การจะวางแผนดำเนินงานใด ๆ ให้เป็นไปได้ด้วยดีนั้น ต้องทำงานเป็นทีม เพราะเราไม่สามารถที่จะมีความคิดหรือลงมือทำคนเดียวได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ได้ หรือถ้าสามารถทำได้ก็ต้องใช้เวลาในการทำมาก คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีกลยุทธ์ กฎ กติกา หรือจิตวิทยาการไม่ยอมแพ้ ทำให้ประเทศไทยสู้ประเทศที่พัฒนาแ้ล้วไม่ได้ ดังนั้น การที่จะพัฒนา HR ได้ต้องใช้ทั้งกลยุทธ์และจิตวิทยาทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไป เปรียบเสมือนแขนขาในร่างกายของคนเราที่ต้องใช้ควบคู่กัน ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกว่า พิการ ไป 

              ด้วยความเคารพอย่างสูง

 

                กาญจนา  สร้อยระย้า

           รหัสประจำตัวนิสิต 48684260

                [email protected]

   (ขออนุญาตติดต่อทางอีเมล์จะสะดวก

          กว่าทางโทรศัพท์ค่ะ)

พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล

สวัสดีค่ะ คุณโลตัส ที่นับถือ

        ตามที่คุณโลตัสได้แจ้งความประสงค์ขอทราบเบอร์โทรศัพท์มือถือติดต่อ ขอเรียนแจ้งให้ทราบค่ะ  

พิมพ์ลดา 081-000-6223  

และคุณอนัญญาได้ฝากให้แจ้งข้อมูลค่ะ โดยเบอร์ติดต่อของคุณอนัญญาคือ 081-550-1420            ขอแสดงความนับถือ

        พิมพ์ลดา  บวรวิชญ์ศรีกุล  

       [email protected]

 

พงศ์เทพ ลีลาภิวัฒน์
กราบเรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ สวัสดีทีมงานทุกๆท่าน และเพื่อนๆนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน Reengineering เกิดมาในบ้านเราค่อนข้างนานมาแล้ว ซึ่งช่วงนั้นเป็นที่ตื่นเต้นมาก ธนาคารกสิกรไทย หน้าจะเป็นผู้เริ่มต้นนำมาใช้ในองค์กร การตีความกันมากมายว่า   Reengineering กันแน่ จะมีการลดคนงานหรือเปล่าเนื่องมีการลดขั้นตอนการทำงานมากมาย ขวัญกำลังใจของพนักงานหดหายเกิดความไม่แน่ใจในสถานการณ์ในองค์กรว่าเป็นอย่างไรแน่ จากการที่ผมพูดถึงด้านบนเพื่อจะบอกให้ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงใดในองค์กรก็ตามจำเป็นอย่างยิ่งที่เดียวที่ผู้บริหารต้องทำให้ชัดเจน แจ้งให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ว่า ทำอะไร ทำอย่างไร ทำเมื่อไหร่ ทำที่ไหน ใครทำ และข้อสำคัญต้องคำนึงถึงจิตใจของพนักงานด้วยว่ามีผลกระทบด้านใดบ้าง อย่างคิดแค่ผลประโยชน์ และผลกำไรขององค์กรอย่างเดียว ต้องอย่าลืมว่าคนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดขององค์กร เทคโนโลยีหรือระบบใดๆที่จะนำมาปรับเปลี่ยนให้องค์ดีขึ้น ก็ต้องขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรคนอยู่ดี ดังนั้น กลยุทธ์ และ จิตวิทยา ต้องเดินไปด้วยกันองค์กรจึงจะประสบความสำเร็จ ความแตกต่างที่นักจิตวิทยาชุมชนมองอาจให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของคน มากกว่าที่จะรีดเอาแต่ศักยภาพของคน แน่นอนบ้างทีการที่เราให้ความสำคัญกับพนักงาน อาจทำให้ผลตอบแทนน้อยลงบ้าง แต่เขาก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี มีความรักและจงรักภัคดีกับองค์กรมากกว่า การ Turn over ก็น้อยลงหรืออาจไม่มีเลย ทำให้องค์กรไม่ต้องมาเสียเวลาและงบประมาณในการการหาพนักงานอยู่บ่อยๆ งานขององค์กรก็มีโอกาสที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ  ขอบคุณครับ
พ.ท.หญิงพัชรี เบ็ญจขันธ์
กราบเรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ สวัสดีทีมงานทุกๆท่าน และเพื่อนๆนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน สถาบันใครๆก็รัก ชุมชนใครๆก็รัก องค์กรใครๆก็รัก แล้วทำอย่างไรให้ก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ Reengineering เป็นวิถีการหนึ่งที่เชื่อว่าสามารถทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมายตามที่องค์กรต้องการ Reengineering เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับองค์กร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการชี้แจงให้กับพนักงานทุกระดับเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำอย่างไร และจะมีผลกับทบด้านใดบ้าง ด้วยเฉพาะด้านทรัพยากรมนุษย์ เนื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเกิดประโยชน์ด้านความสำเร็จขององค์กร แต่อาจมีผลกระทบต่อจิตใจของพนักงานก็เป็นได้ เพราะเขาอาจไม่เคยเจอการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขนาดนี้ เพราะฉะนั้น Strategy และ Psychology  จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไปพร้อมๆกัน พูดง่ายถ้ามีแต่กลยุทธ์ ไม่มีจิตวิทยา ก็ได้แต่เงินแต่ไม่ได้ใจของพนักงาน หรือถ้ามีแต่จิตวิทยา ไม่กลยุทธ์ ก็ได้แต่ความสุขแต่ขาดความก้าวหน้า เป็นต้น
กราบเรียนท่าน ศ. ดร. จีระ  หงส์ลดารมภ์และทีมงานทุกท่าน  รวมทั้งเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน จากการชมเทปวิดีโอเรื่อง สู่ศตวรรษใหม่  ในเรื่อง Reengineering  ในโลกปัจจุบันของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  มีการพัฒนากระบวนการ  มีการศึกษากระบวนการที่ดี  มีการจัดตั้งทีม มีศึกษาปัญหา  ศึกษาสิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจ  มีการสร้างกระบวนการความคิดใหม่  นำไปสู่การทำใหม่  ทำให้การทำงานที่เกิดขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ทำให้เกิดข้อคิดว่า  การที่เราจะพัฒนาองค์กรของเราควรมีการเริ่มต้นตั้งแต่ระดับบุคคลคือตัวเราก่อน กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเราในด้านการทำงาน กล้าที่จะคิด กล้าทำ  กล้านำเสนอและมีการทำงานร่วมกัน  โดยที่ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ  ร่วมรับผิดชอบ และคิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของงานในลักษณะการทำงานเป็นทีม  ก็จะเกิดการทำงานเป็นระบบ  ทำให้งานที่เกิดขึ้นมีประสิทธิภาพและทำให้ทุกคนที่ทำงานมีความพึงพอใจ และลูกค้าก็จะเกิดความพึงพอใจด้วย  องค์กรก็จะก้าวสู่ความสำเร็จในทุก ๆ  ด้าน   และเราก็นำความรู้ในส่วนของ Reengineering  เข้ามาเป็นแนวทางในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับระบบการทำงานของเรา ซึ่งในการทำงานต้องมีการใช้ทั้ง  Strategy  และ  Psychology  เราไม่สามารถที่จะใช้เพียงตัวหนึ่งตัวใดในการทำงานได้  เพราะเป็นตัวส่งเสริมสนับสนุนกันและกัน  จนทำให้เกิดการทำงานมีประสิทธิภาพและคุณภาพ ด้วยความเคารพอย่างสูง มาลินี  ชมชื่นรหัสประจำตัวนิสิต  48684484[email protected]
กราบเรียนท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์ สวัดดีทีมงานทุกๆท่านกราบเรียนท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์ สวัดดีทีมงานทุกๆท่าน และเพื่อนๆจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ทุกท่าน             จากการดู VDO ประเด็นที่ได้คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพราะอยู่ในโลกแห่งการแข่งขัน โดยกลยุทธที่ใช้คือศึกษาขบวนการ ตั้งทีมข้างนอก ข้างใน ศึกษาปัญหาของขบวนการแล้วนำมาสร้างขบวนการใหม่และใช้จุดแข็งของแต่ละแห่งมาช่วยขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ในการไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จต้องมีหลักจิตวิทยาเข้าไปช่วยเพราะเราใช้ คน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญเพื่อให้การดำเนินงานคล่องตัวต้องให้คนเกิดทัศนคติที่ดีต่อองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการพัฒนาองค์กรให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้              กชพร วิวัฒน์ถาวรวงศ์ รหัส 48684237
น.ส.ปนัดดา เบ้าทอง

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ก่อนอื่นดิฉันขออวยพรให้ท่าน อาจารย์ทุกท่านมีความสุขตลอดปี 2550 และปีอื่นๆตลอดไป จากการที่ได้ดู VDO ก็ขอสรุปเข้าคำถามเลยนะคะว่า

 จับประเด็นที่เกี่ยวกับ Reengineering 1 การทำงานเราต้องมองไปข้างหน้าอย่ามองย้อนดูอดีต2 ผลงานลูกค้าต้องประทับใจ3 การเปลี่ยนแปลงอย่างแรง4 โลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ5 องค์กรต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา วิเคราะห์ให้ได้ว่าอะไรคือจิตวิทยา อะไรคือกลยุทธ์กลยุทธ์ คือ ใช้จุดแข็งให้ดีที่สุด เพราะถ้ามองในรูปการจัดการแต่ละประเทศไม่เหมือนกันถ้าเราใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ถือว่ากลยุทธ์ที่ใช้จุดแข็งอย่างเข้าใจและคุ้มค่าอย่างแท้จริง จิตวิทยา คือ การเปลี่ยนงานที่ทำ และการจัดการฝึกอบรม เพราะการทำงานแต่ละอย่างต้องมีการใช้ทางจิตวิทยาร่วมด้วย ฉะนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีแบบแผนและมนุษย์มีการพัฒนาต้องมีการใช้จิตวิทยาอย่างเข้าใจ.. ปนัดดา เบ้าทอง รหัส 48684377 
น.ส.ปนัดดา เบ้าทอง

Phone No. 089-1634997

 

สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ข้างบนนี้นะคะ

รอ.หญิง กฤษณา สมุดสร

สวัสดีปีใหม่ 2550  เเด่ท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระและทีมงานทุกท่านดิฉันขอถือโอกาสเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ขออาราธนาและอำนวยพรให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ท่านอาจารย์และทีมงานทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมีพละกำลังในการถ่ายทอดความรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ  รำรวยความสุขและสนุกอยู่เสมอกับการประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่นิสิตนักศึกษาและผู้ที่ใฝ่รู้ทุกๆคน

         สำหรับตัวดิฉันเองต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงในเรืองการเรียนเนื้อหาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งอาจารย์ได้เน้นอยู่ 3 ด้าน ในเรื่องของการที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วย  การมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม  การมีจิตวิทยาที่ดี  ผสมผสานกันอย่างดีก็จะทำให้เกิด  Re-engineering ต่อการพัฒนาตนเองและองค์กรอย่างไม่หยุดนิ่ง  ซึ่งการพัฒนานับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด

         สุดท้ายนี้ดิฉันรู้สึกชื่นชมในความเป็นตัวตนของ ศ.ดร.จีระ  พลเรือเอก  วิโรจน์   อ.ยม คุณโลตัสและทีมงานทุกท่านที่ได้พยายามในการถ่ายทอดความรู้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าแก่นิสิตคณะ สังคม  สาขา จิตวิทยาชุมชน  รุ่น 4 จึงขอขอบพระคุณมา ณ  โอกาสนี้ค่ะ

                             รอ. หญิง กฤษณา  สมุดสร

                                     48684252

    เรียน ท่าน  อาจารย์ ศ.ดร.จีระและทีมงานที่เคารพทุกท่านในวโรกาสขึ้นปีใหม่  2550 นี้ขอให้ทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าในชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว   คิดหวังสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาทุกประการ

          จากการที่ดิฉันได้เรียนรู้ในชั้นเรียนในเรื่องของ Strategy   Psychology and Re-engineering  ทำให้ ดิฉันเกิดการเรียนรู้  ถึงความสัมพันธ์และความสำคัญถึงการพัฒนาที่ จะต้องมาปรับใช้ ในการพัฒนาองค์กร  และการพัฒนาคนให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน  ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจทำให้การพัฒนานั้นเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง  และการพัฒนาอาจจะขาดประสิทธิภาพตามมา  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักการปรับใช้ทั้งกลยุทธ มีจิตวิทยาในการใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาองค์กรและประเทศชาติต่อไป

                              หรรษา     พิมพิพัฒน์

                                     48684690 

อาริสา จิตต์จำนงค์
Strategy  Phycology และStrategy   Psychology and Re-engineering              การเชื่อมั่นในคุณค่าของคน เชื่อในศักยภาพของคน ทาง Phycology เน้นเรื่อง คนให้ความสำคัญในเรื่องของ     การเชื่อมั่นในคุณค่าของคนนั้นเป็นส่วนสำคัญ  ที่ทำให้คนสามารถแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ถ้ามองทางด้าน Strategy เรื่องของการบริหารงานบุคคล  เป็นหัวใจขององค์กร  ถ้าบุคคลขององค์การไม่มีความสามารถ หรือความจงรักภักดี  โอกาสที่จะนำองค์การไปสู่ความสำเร็จเป็นไปได้ยาก  คือถ้ามองทาง Strategy  จะเน้นการแสดงออกของคนที่มีการกระทำออกมาใน รูปของพฤติกรรมต่างๆ มีกฎระเบียบ ข้อบังคับ ให้คนแสดงออกมาอย่างถูกต้อง ซึ่งทาง Phycology มองด้านข้างใน ภายในจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดเป็นนายที่ส่งให้ภายนอกแสดงออกทางพฤติกรรม              ถ้ามีการบริหารคนให้ดีโดยใช้ Phycology มาวิเคราะห์เข้าใจพฤติกรรมของคนก็จะสามารถตอบสนอง Strategy ได้อย่างมี  ประสิทธิภาพ  ด้วยเนื่องจากคนได้รับความรู้ใหม่ๆ  คนยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นซึ่งตรงข้ามกับวัตถุที่มีคุณค่าลดลง
กราบเรียน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ที่เคารพ รวมทั้งคณะของอาจารย์ทุกๆท่าน สำหรับการให้ความรู้แก่นักศึกษาปริญญาโทสาขาจิตวิทยาชุมชน เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วนั้นในครั้งนี้ที่อาจารย์ให้ดูเทปในหัวข้อเรื่อง Reengineering เพื่อให้พิจารณาว่าสิ่งใดคือ Psychology และสิ่งใดคือ Strategy ซึ่งจริงๆแล้วการใช้ Reengineering นั้นในความรู้สึกของดิฉันจำเป็นต้องประกอบด้วย Psychology และ Strategy มิอาจใช้อันใดอันหนึ่งได้ เช่นการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร Re-Organization จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัย Psychologyเพราะสิ่งที่มีการดำเนินปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานเสมือนเป็นวัฒนธรรมขององค์กรนั้นปรับเปลี่ยนได้ยาก แม้ว่าเราจะมีกลยุทธ์ดีเพียงใดหากไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ปฏิบัติแล้วก็สามารถเกิดปัญหาความขัดแย้ง ความไม่ยุติธรรม หรือ อคติได้ สรุปแล้วการบริหารองค์กร หรือการจัดการกับชุมชนให้ได้ผลเลิศนั้น Psychology และ Strategyจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บุคคลใดวางกลยุทธ์ได้ดีแต่ไม่มีความยืดหยุ่นในเชิงจิตวิทยาก็มิอาจประสบความสำเร็จได้ เช่นเดียวกันบุคคลใดมีความคิดปรัชญาทางจิตวิทยาเป็นเลิสหากกระทำโดยไม่รู้ข้อดีข้อด้อยของการจัดการก็ไม้สามารถนำองค์กรหรือชุมชนให้เป็นเลิศได้เช่นกัน  ด้วยความเคารพอย่างสูงนางสาตพร เทพคุ้มกันเลขประจำตัว 48684625  
นงลักษณ์ แก้วประกิจ
กราบสวัสดีอาจารย์  และทีมงาน        แนวคิดProcess  Re-engineering  จาก  VDOเป็นการปรับองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้า  เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจต้องมีหลายองค์ประกอบ   เช่น  มีผู้นำที่เข้มแข็ง  ,  มีการศึกษาทั้งขบวนการ,  มีการตั้งทีมคนนอก-คนใน,   ศึกษาปัญหาใหม่(work  process)   ในขบวนการ Re-engineeringมีทั้ง  Psychology และStategy     กลยุทธ์  ในการ  Re-engineering  คือ1.       ทำงานแบบใหม่  คือมีขบวนการผลิตที่ตอบสนองลูกค้า2.       มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง  ชัดเจน3.       สามารถวัดได้  มีตัวชี้วัดความสำเร็จที่มุ่งสัมฤทธ์ผล  ส่วนทางด้านPsychology  คือการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า  เพระในการ  Re-engineering   ที่ดีและได้ผลคงต้องมีทั้ง  กลยุทธ์  และการใช้จิตวิทยาร่วมกัน   จึงจะประสบผลสำเร็จ  เพระในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น  จึงมีการแข่งขันสูง ทำให้ต้องมีการพัฒนาองค์กรอยู่ตลอดเวลา  โดยใช้ทั้ง 8K s  และ  5K s  ร่วมด้วย                         นงลักษณ์  แก้วประกิจ  รหัส  48684328
จันทร์พร บุญประเสริฐ

กราบเรียนท่าน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์และทีมงานทุกท่าน รวมทั้งเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน จากการชมเทปวิดีโอเรื่อง “สู่ศตวรรษใหม่” ในเรื่อง Re – engineering เป็นการปรับปรุงองค์กรอย่างรุนแรง โดยใช้กระบวนการผลิตหรือ Process แบบใหม่ ซึ่งต้องใช้ทั้งกลยุทธและจิตวิทยาควบคู่กันไปเพื่อตอบสนองลูกค้าให้ดีที่สุด และต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการแข่งขันทางธุรกิจอยู่ตลอดเวลา การที่จะ ทำRe–engineering ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น องค์กรต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีความมุ่งมั่น (commitment) ที่จะอธิบายถ่ายทอดให้แก่ลูกน้อง รู้ว่าจังหวะไหนที่จะเหมาะกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการทำ Re – engineering ในระบบราชการไทยนั้นประสบปัญหาค่อนข้างมากเนื่องจากยังยึดติดกับระบบการทำงานแบบเดิม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะรู้สึกต่อต้าน จึงต้องสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการมีส่วนร่วมจากทุกๆส่วนขององค์กร จึงจะประสบความสำเร็จ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

จันทร์พร บุญประเสริฐ รหัส 48684278

กราบเรียนท่าน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์และทีมงานทุกท่าน รวมทั้งเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน จากการชมเทปวิดีโอเรื่อง “สู่ศตวรรษใหม่” ในเรื่อง Reengineering

Psychology ต้องคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้รับบริการ หรือความพึงพอใจต่อตัวสินค้าที่นำเสนอ ต่อลูกค้าและลูกค้านั้นมีความพึงพอใจ ต้องมีความจงรักภักดีต่อองค์กร

Strategy (มองอนาคตในเรื่องของจุดอ่อน จุดแข็ง)

  • การปรับเปลี่ยนองค์กรในระบบราชการยังขาดการแข่งขัน
  •  

  • ถ้าอยากปรับปรุงต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง
  •  

  • ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
  •  

  • ต้องวัดความเปลี่ยนแปลงได้
  •  

ทุกองค์กรหากมีการลดขั้นตอนลงไป มีการทำงานอย่างเป็นระบบ งานนั้นๆจะประสบความสำเร็จได้สูง ดังนั้นจะพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศต้อง

1.มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล

2.ผู้นำต้องมี commitment ผู้นำต้องมีความสามารถในการถ่ายทอด

3.รู้จังหวะและความสามารถจะทำให้ประเทศไทยในอนาคตปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

ด้วยความเคารพอย่างสูง

สุวดี วงษ์พนม

 

 

สวัสดี ศ.ดร. จีระ   ทีมงาน และเพื่อน ๆ นิสิต ป.โททุกท่าน จากเวทีแชร์ไอเดียในชั้นเรียนทั้งสองครั้งที่ผ่านนั้นในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรที่มีค่าที่สุดนั่นคือ คนหรือ มนุษย์   ก้อมีความเห็นว่าไม่ว่าเราจะใช้ด้วยยุทธวิธีการใด กระบวนใด หรือทฤษฎีใด ๆ ก็ตาม เพื่อที่จะนำมาพัฒนาทรัพยากรที่มีค่า คน หรือ มนุษย์ในองค์กร หรือชุมชนนั้น เราจำเป็นต้องนำมาใช้ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวังไว้  ในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งส่งผลกระทบต่อความคิด  และความรู้สึกของคน   ดังนั้นแล้วเราจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจของคนด้วย นั่นคือ Strategy และ Psychology จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ผสมผสานไปพร้อมๆกันค่ะ  ขอบคุณค่ะ  ปาริชาติ มณีโชติ 

 

น.ส.ศุภธิดา ไขรัศมี
กราบเรียน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ที่เคารพ รวมทั้งคณะของอาจารย์ทุกๆท่าน สำหรับการให้ความรู้แก่นักศึกษาปริญญาโทสาขาจิตวิทยาชุมชน เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วนั้นในครั้งนี้ที่อาจารย์ให้ดูเทปบทสัมภาษณ์ระหว่างดร.จีระ หงส์ลดารมภ์และ Dr.Michael Hammer ในหัวข้อเรื่อง Re-engineering เมื่อได้ดูก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการ Re-engineering นั้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้องค์กรของเราพัฒนาให้ทันกับโลกปัจจุบันอยู่ตลอด แต่ในสิ่งที่ดีทุกสิ่งในโลกก็อาจแฝงด้วยความอันตรายหากผู้นำไปใช้นั้นไม่เข้าถึงสิ่งที่จะนำไปใช้หรือไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมของผู้ที่ถูกใช้ เช่น การทำงานของเมืองไทยจะมีteam work ดีแต่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการ Re-engineering ในไทยนั้นจะใช้ Strategy เพียงอย่างเดียวมิได้จะต้องคำนึงถึง Psychology ควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นประสบความสำเร็จ สามารถแข่งขันในโลกปัจจุบันได้ คนในองค์กรก็จะมีความสุขซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญซึ่งได้กล่าวไว้ใน 8Kและ  5K ซึ่งจะทำให้เกิดความรักและทุ่มเทให้กับองค์กร

น.ส. ศุภธิดา ไขรัศมี รห้ส  48684583

กราบเรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และสวัสดีทีมงานทุกๆท่าน รวมถึงเพื่อนๆนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคนค่ะ         จากการที่ได้รับชมการสัมภาษณ์ ของDr. Hammer เกี่ยวกับ Reengineering นั้น ได้รับความรู้เพิ่มเติมและเห็นความสำคัญของการ Reengineering มากขึ้นว่ามีความสำคัญอย่างไรกับองค์กร แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรเล็งเห็นความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในองค์กรนั้นด้วย คือ ทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องอาศัยกระบวนการทางจิตวิทยาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยง หรือการสื่อสาร ให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพต่อไปซึ่งเป็นส่วนสำคัญของจิตวิทยาที่จะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ และมีวิธีการเพื่อให้สมาชิกมีความสุขความพึงพอใจในการทำงานหรือการมีวิถีชีวิตที่มีความสุข โดยผู้นำในองค์กรมีส่วนสำคัญให้สมาชิกเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับวิธีหรือกระบวนการต่างๆ ที่จะช่วยให้บรรลุผลสำเร็จ        ท้ายที่สุดแล้ว ดิฉันเห็นว่าทุกๆกระบวนการที่จะให้บรรลุเป้าหมายแล้วนั้น จำเป็นต้องอาศัยศาสตร์ทุกศาสตร์ผสมผสานเข้ากันเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่นที่สุด อย่างเช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการใช้ Reengineering โดยต้องอาศัยจิตวิทยาเข้ามาเป็นส่วนช่วย ขอบคุณค่ะที่ให้โอกาสแสดงความคิดเห็นค่ะ น.ส.ภิรดี  ยนต์อินทร์  รหัสนิสิต 48684468 e-mail: [email protected] tel: 081-495-3027 
กราบเรียนท่าน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานทุกท่าน รวมทั้งเพื่อนนิสิตจิตวิทยาชุมชนรุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคน จากการชมเทปวิดีโอเรื่อง สู่ศตวรรษใหม่ในเรื่อง Reengineering การเพิ่มผลผลิตด้านการจัดการ (Reengineering)การพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการ การผลิต การตลาด การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการเงิน การจัดสำนักงาน ปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน ทำให้ผลผลิตสูงขึ้น Reengineering  ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจเป็นกระบวนการสร้างวิธีการทำงานขึ้นใหม่ในองค์กรเพื่อใหวิธีการทำงานใหม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ลดต้นทุน บริการ ให้ทันความต้อง การของลูกค้าด้วยวิธีการที่ทันโลกทันเกม Reengineering แตกต่างจากการปรับปรุงของเดิมไม่ได้เริ่มจากของเก่าที่ใช้อยู่ไม่ได้ปรับแต่งคุณภาพหรือโครงสร้างแต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการทำงาน นำวิธีใหม่มาทำแทนวิธีเก่าหน่วยงานที่เหมาะสมจะทำ Reengineering เช่น กำลังเผชิญปัญหา  กำลังจะมีปัญหาในอนาคต หรือ ดีอยู่แล้วและอยากเป็นเลิศในธุรกิจ เริ่มจากการมองวิธีการปฏิบัติงานในปัจจุบันให้รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ทำแบบนี้ทำไม มีปัญหาอย่างไร แล้วร่วมกันกำหนดวิธีการใหม่มาเพื่อใช้แทนที่วิธีการเดิมดังนั้น ไม่ใช่การปรับแต่ง แต่นำวิธีการใหม่มาใช้ในการทำงานเพื่อประโยชน์ต่อองค์กรในอนาคตสุนทรี  ธูปพนม48684658
ยม "สวัสดีปีใหม่ นิสิต ที่รักทุกคน"

สวัสดีปีใหม่ นิสิต ป.โท จิตวิทยาชุมชน ม.เกษตรฯ ทุกคน 

ปีใหม่นี้ ขอให้ นิสิต ป.โท จิตวทยาชุมชน ม.เกษตรฯ ทุกคน มีความสุข ความสำเร็จ เจริญก้าวหน้าด้วย ศีล สมาธิ สติ ปัญญา เงิน ทอง ลาภ ยศ และให้สมปราถนาทุกประการ  ขอให้ยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง เป็นกรอบแนวความคิดในการดำเนินชีวิต ปีหมู พ.ศ. 2550 ผมได้อ่านบทความที่ นิสิตหลายคนเขียนลงไว้ใน blog นี้ ขอขอบใจที่ได้ทำตามคำแนะนำ และได้แชร์ไอเดียสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้นี้  หากเรียนรู้และสร้างสังคมแห่งการเรียนอย่างต่อเนื่อง จะเป็นประโยชน์กับตนเองและสังคมอย่างยิ่ง   ขณะนี้ มีนิสิต ส่งข้อความมาใน blog นี้ ทั้งหมด  27 ราย ได้แก่ 
  1. ร.อ.หญิง วรางคณา อินทร์ไทยวงศ์ เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 13:13 (124986)
  2. นุชรี เจี๋ยนเจริญ เมื่อ พ. 27 ธ.ค. 2549 @ 16:55 (125196)
  3. พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล เมื่อ พฤ. 28 ธ.ค. 2549 @ 15:40 (125723)
  4. อนัญญา สุขใจ เมื่อ พฤ. 28 ธ.ค. 2549 @ 15:58 (125742)
  5. สุพรรษา กตัญญู เมื่อ ศ. 29 ธ.ค. 2549 @ 00:27 (125984)
  6. น.ส.พจนาถ ธรรมาภิรมย์ เมื่อ ศ. 29 ธ.ค. 2549 @ 21:38 (126672)
  7. รท.หญิง สุกัญญา นิยมวัน เมื่อ ส. 30 ธ.ค. 2549 @ 03:46 (126787)
  8. น.ส.มัตติมา คณานุวัฒน์ เมื่อ ส. 30 ธ.ค. 2549 @ 11:27 (126908)
  9. อัญญรัตน์ เตชะโกมล เมื่อ ส. 30 ธ.ค. 2549 @ 14:51 (126947)
  10. กาญจนา สร้อยระย้า เมื่อ อ. 31 ธ.ค. 2549 @ 10:06 (127349)
  11. พิมพ์ลดา บวรวิชญ์ศรีกุล เมื่อ อ. 31 ธ.ค. 2549 @ 10:25 (127357)
  12. พงศ์เทพ ลีลาภิวัฒน์ เมื่อ อ. 31 ธ.ค. 2549 @ 15:47 (127467)
  13. พ.ท.หญิงพัชรี เบ็ญจขันธ์ เมื่อ อ. 31 ธ.ค. 2549 @ 16:56 (127493)
  14. มาลินี ชมชื่น เมื่อ อ. 31 ธ.ค. 2549 @ 17:57 (127512)
  15. กชพร วิวัฒน์ถาวรวงศ์ รหัส 48684237 จ. 01 ม.ค. 2550 @ 10:36 (128020)
  16. .ส.ปนัดดา เบ้าทอง เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 10:49 (128029)
  17. รอ.หญิง กฤษณา สมุดสร เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 12:52 (128075)
  18. หรรษา พิมพิพัฒน์ เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 13:15 (128088)
  19. อาริสา จิตต์จำนงค์ เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 14:37 (128196)
  20. สาตพร เทพคุ้มกัน เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 18:55 (128349)
  21. นงลักษณ์ แก้วประกิจ เมื่อ จ. 01 ม.ค. 2550 @ 20:06 (128368)
  22. จันทร์พร บุญประเสริฐ เมื่อ อ. 02 ม.ค. 2550 @ 00:19 (128509)
  23. สุวดี วงษ์พนม เมื่อ อ. 02 ม.ค. 2550 @ 00:21 (128510)
  24. ปาริชาติ มณีโชติ เมื่อ อ. 02 ม.ค. 2550 @ 01:46 (128534)
  25. น.ส.ศุภธิดา ไขรัศมี เมื่อ อ. 02 ม.ค. 2550 @ 11:09 (128687)
  26. ภิรดี ยนต์อินทร์ เมื่อ อ. 02 ม.ค. 2550 @ 13:16 (128768)
  27. สุนทรี ธูปพนม เมื่อ พฤ. 04 ม.ค. 2550 @ 01:24 (129629)
 

ขอให้ทุกคนจงโชคดี

 

ยม   

น.ศ. ป.เอก  รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต   

081-9370144  

 [email protected]  

http://gotoknow.org/portal/yom-nark

  
กราบเรียนท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ ก่อนอื่นกระผมต้องขอโทษที่ส่งการบ้าน อาจารย์ล่าช้าครับ  การที่ได้มีโอกาสได้ฟังการบรรยายของอาจารย์เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รับโอกาสเรียนรู้จากท่าน การได้ฟังการบรรยายในครั้งนี้สามารถจุดประกายให้มีความรู้ที่จะศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นจากการที่ได้อ่านหนังสื่อเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้และ   2 พลังความคิดชีวิตและงานทำให้ได้ข้อคิดดังนี้ครับ บุคคล หรือบุคลากร นับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดขององค์กร ทั้งนี้เพราะการที่องค์กรหนึ่งๆ จะบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานได้นั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรภายในองค์กรนั้นๆ  นอกจากนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยอื่นๆ ของการดำเนินการ อันได้แก่  เงิน  วัตถุดิบ  เครื่องจักร  การตลาด และการจัดการแล้ว  ทรัพยากรมนุษย์คือปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นกระบวนการที่ทำให้บุคคลมีประสบการณ์ในการเรียนรู้  และพร้อมที่จะนำความรู้ไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้   องค์กรใดที่มีบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถ ก็จะอยู่รอดในสังคมที่มีการแข่งขันได้ดี  แต่ถ้าองค์กรใดมีบุคลากรที่ไม่มีคุณภาพ องค์กรนั้นก็จะไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้ นอกจากนี้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ยังเกี่ยวข้องกับวิทยาการต่างๆอีกหลายด้าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการรับรู้ (Perception) นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการรับรู้คือการที่บุคคลได้รับข่าวสารข้อมูลต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว และมีการวิเคราะห์ตีความ  ข่าวสารข้อมูลนั้น จนเกิดความเข้าใจในข่าวสารข้อมูลนั้น  สำหรับบุคลากร หากมีการรับรู้บทบาทหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดังนั้นเราควรเอาทฤษฎี 8H’s และ 8K’s ของทั้ง 2 ท่าน มาประยุกต์ใช้กับตัวเราและในองค์กรครับชัยสิทธิ์ พงษ์ลิมานนท์48684294
ชัยสิทธิ์ พงษลิมานนท์
สวัสดีอีกครั้งครับอาจารย์  ศ.ดร. จีระ   จากการที่กระผมได้เรียนในชั้นเรียนในเรื่องของ Strategy   Psychology ในวันอังคารที่ 26 ธ.ค.49   และรับชมการสัมภาษณ์ ของDr. Hammer เกี่ยวกับ Reengineering   นั้นที่ผ่านมาทำให้ได้รับความรู้ต่างๆ ดังนี้การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยที่ยังคงยึดติดกับฐานโครงสร้างปัจจุบันอยู่ และก็ไม่ใช่เป็นการปรับปรุงซ่อมแซมระบบปัจจุบันให้ดีกว่าเดิม แต่เป็นการละทิ้งกระบวนการที่ทำมายาวนานแล้วหากระบวนการที่ทันสมัยตามที่สภาพงานในขณะนั้น เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรบรรลุผลเป็นรูปแบบการนำกระบวนการจัดการใหม่มาใช้แทนกระบวนการที่ใช้อยู่เดิมอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อฉกฉวยข้อได้เปรียบจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยยึดการสนองตอบต่อกลยุทธ์หลักขององค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการ Reengineering จะเน้นกระบวนการ Process orientation การไม่ยึดติดกับกฎข้อบังคับเดิม Rule breaking และการใช้เทคโนโลยีการสร้างบรรยากาศขึ้นในองค์กร   ต้องสร้างบรรยากาศให้งานต่าง ๆ มีสภาพ คล่อง มีความเร่งด่วน ผลักดันงานให้มีความต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง สร้างบรรยากาศที่ให้พนักงานในองค์การดังนั้นการ Re-engineering ในไทยนั้นจะใช้ Strategy เพียงอย่างเดียวมิได้จะต้องคำนึงถึง Psychology ควบคู่ไปด้วยขอขอบคุณที่ให้โอกาสส่งงาน ทั้ง2ครั้งครับด้วยความเคารพอย่างสูงชัยสิทธิ์ พงษ์ลิมานนท์48684294
 

ขอประทานโทษค่ะ ที่ส่งงานช้า พึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังเหลือการบ้านที่ต้องส่งอีกเรื่อง ยกโทษให้ด้วยนะคะ คราวนี้ดิฉันขอแหวกแนวนิดนึงค่ะแต่ก้ยังเกี่ยวเนื่องกับที่เรียนนะค่ะ เพราะว่าอาชีพของดิฉันเป้นงานบริการ ซึ่งดิฉันค่อนข้างให้ความสำคัญมากๆ ทุกวันนี้ดิฉันคิดว่าการให้บริการมีความสำคัญต่อองค์กรทุกแห่งไม่ว่าจะทำกิจการอะไรก็ตาม การพัฒนาการบริการเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับยุคนี้ ซึ่งถ้าเราต้องการจะให้บริการเป็นเลิศนั้น เราควรจะพัฒนาคน สำคัญที่สุด ทักษะต่าง ๆ ที่พนักงานให้บริการใช้อยู่ในปัจจุบันจะไม่เพียงพออีกต่อไป สำหรับงานให้บริการในอนาคต ดังนั้นพนักงานทุกคนจะต้องสามารถเติบโต และปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ รวมไปถึงความต้องการใหม่ ๆ ของลูกค้าไห้ได้ โดยความสามารถในการสนทนากับลูกค้าอย่างประสบผลสำเร็จจะยังคงมีความสำคัญต่อไปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการทำงานบริการในระดับสูงให้สำเร็จในระยะยาวก็ต้องการความรู้ ทักษะ และการศึกษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้แก่ความสามารถในการระบุและแก้ไขปัญหา ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ความเข้าใจวิธีการประยุกต์ใช้สินค้าหรือบริการของลูกค้า ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผลกระทบที่มีต่อลูกค้า และความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของลูกค้า ฯลฯ เราพัฒนาการบริการไปทำไม ก็เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด ความพึงพอใจของลูกค้านั้นมีผลดีต่อองค์กรมากมาย คือเมื่อลูกค้ามีความพึงพอใจและมั่นใจก็เกิดการใช้บริการประจำก็คือการซื้อซ้ำและเกิดการซื้อที่มากขึ้น ถ้าผู้ให้บริการมีการบริการที่ดีมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ลูกค้านั้นมีความประทับใจชอบองค์กรมากขึ้น หรือชอบสินค้ามากขึ้นก็เกิดการบอกต่อทำให้มีลูกค้ามากขึ้นเป็นลูกโซ่ ทำให้องค์กรเติบโตมีรายได้กำไรดีทำให้ใครๆก็อยากมาร่วมลงทุนด้วย หรืออยากมาทำงานในองค์กรมากขึ้นทำให้องค์กรมีโอกาสเลือกและได้พนักงานที่ดีมาร่วมงานด้วย เมื่อมีพนักงานที่ดี ได้รับการฝึกอบรมที่ดี ได้รับการสนับสนุน และมีการซึมซับความเป็นสังคมในองค์กรที่มีบริการที่ดีทุกฝ่ายช่วยกัน ก็ส่งผลให้การบริการมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น   เพื่อองค์กรจะได้เติบโตเหนือคู่แข่ง และก็ส่งผลถึงตัวเราเองด้วยก็จะได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ถ้าเราสามารถพัฒนาการบริการที่เป็นเลิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลยุทธ์อย่างเดียวไม่พออีกต่อไป เราจะต้องใช้จิตวิทยาร่วมด้วยซึ่งก้จะต้องได้รับการพัมนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเป็นความรับผิดชอบอันดับต้น ๆ ของผู้จัดการ เนื่องจากผู้จัดการในธุรกิจการบริการนั้นจำเป็นจะต้องรักษามาตรฐานในการให้การบริการเอาไว้ และการฝึกอบรมก็เป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่งในการที่จะช่วยคุณได้ในจุดนี้ พนักงานในปัจจุบันคาดหวังว่าจะได้รับการอบรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเขาในโลกที่เทคโนโลยีและตลาดมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พนักงานใหม่นั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อปรับตัวเขาให้เข้ากับองค์กร ส่วนพนักงานเก่าก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกอบรมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เทคโนโลยีและตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การที่องค์กรใดย่ำอยู่กับที่ก็เหมือนกับการก้าวถอยหลัง ส่วนพนักงานเองนั้นก็มีความคาดหวังต่อการฝึกอบรม ว่าจะเป็นบันไดไปสู่ความก้าวหน้าในอาชีพของตนต่อไป ในธุรกิจการให้การบริการนั้น เราจะทำการฝึกอบรมอยู่ 3 อย่างคือ ความรู้ ทักษะความชำนาญ ทัศนคติ สมาชิกในทีมต้องเพิ่มพูนพัฒนาและหมั่นทบทวนความรู้เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์หรือการบริการของบริษัท ส่วนทัศนคติเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การบริการที่ดีนั้นเกิดขึ้นได้ เช่น การมีทัศนคติที่ดีต่อการช่วยเหลือลูกค้า และการรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆ ของลูกค้า สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาตนเอง หลาย ๆ บริษัทเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองมากกว่าการประคบประหงมกันในแบบที่บริษัทต้องรับภาระในการให้การฝึกอบรมทุกอย่างแก่คุณ เพื่อที่จะสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาตนเอง คุณจะต้องให้ทุกคนได้ใช้ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ พูดคุยและค้นหาว่าสิ่งใดคือความมุ่งหวังของเขา และอะไรคือสิ่งที่คุณสามารถจะตอบสนองให้ได้ ซึ่งอาจจะทำในการประชุมเพื่อยกย่องชมเชยผลงานที่ดี นอกจากนั้นคุณยังสามารถขอให้ทีมของคุณระบุถึงความต้องการในการฝึกอบรมพัฒนาตนเอง และยังสามารถที่จะสนับสนุนให้เกิดการอบรมกันเองในกลุ่มโดยหัวหน้าทีม หรือผู้ร่วมทีมคนอื่นในฐานะผู้ฝึกสอน คุณควรสนับสนุนให้เกิดการเลื่อนตำแหน่งภายในองค์กร มันเป็นสิ่งที่เย้ายวนในการพยายามรักษาคนดีมีพรสวรรค์ให้อยู่ในทีม แต่ในระยะยาวแล้วบริษัทจะได้รับประโยชน์จากบุคคลเหล่านี้ในด้านอื่นมากกว่า ในทางเดียวกันคุณอาจจะได้รับประโยชน์ เนื่องจากการเลื่อนตำแหน่ง จะทำให้ทีมของคุณมีชื่อเสียงที่จะสามารถดึงดูดพนักงานคนอื่น ๆที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับคุณ การบริการส่วนใหญ่นั้นเกิดขึ้นรอบ ๆ ทีมงานนั่นเอง ทีมจะช่วยทำให้คุณได้รู้ว่าสิ่งใดที่จำเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและอบรมจากทรัพยากรภายในทีมนั้นเองบ้าง เหตุผลที่ต้องทำอะไรอย่างมีระบบแบบแผน สมมติว่าคุณคือหัวหน้าของแผนกที่ทำหน้าที่ให้การบริการลูกค้า คุณได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าสองรายที่โทรมาต่อว่า ในเรื่องการรับโทรศัพท์ของลูกน้องของคุณเมื่อตอนเช้า พอสายหน่อยลูกน้องอีกคนเดินเข้ามาหาคุณด้วยน้ำตานองหน้าและคร่ำครวญว่าเธอไม่สามารถทนต่อความกดดันจากลูกค้าได้อีกต่อไป และบอกว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ ส่วนอาทิตย์ก่อนหน้านี้หัวหน้าของคุณเข้ามาปรึกษากับคุณในเรื่องที่มีทีมงานบางคนไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความก้าวหน้าในการทำงาน เนื่องจากพนักงานเข้าใหม่คนหนึ่งได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่ง แทนที่จะเป็นการเลื่อนตำแหน่งจากคนใน มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดี หากคุณจะเริ่มจากการพินิจพิเคราะห์ว่าบุคลากรของคุณต้องการพัฒนาการในด้านใดบ้าง จากนั้นจึงลงมือวางแผนการในการฝึกอบรม และพัฒนาบุคคลกรในแผนกเพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่าการอบรมชนิดใดบ้างที่เป็นที่ต้องการ กระบวนการนั้นควรจะเริ่มจากการถามตนเองว่า คุณต้องการให้ทีมของคุณก้าวไปถึงจุดหมายใด ที่จะเรียกได้ว่าถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาอยู่ ณ จุดใด ยิ่งตอบคำถามเหล่านี้ได้ละเอียดเพียงใดก็ยิ่งเป็นการดี เพราะคุณจะสามารถประเมินได้ว่าความสามารถใดที่ขาดหายไป และวางแผนได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น คุณควรจะมุ่งที่จะเขียนแผนการพัฒนาคนของคุณ โดยมีพื้นฐานจากการวิเคราะห์ถึงความต้องการที่จะได้รับการอบรมของแต่ละคน เป็นที่แน่นอนว่าคุณจะต้องทำการเลือกเป้าหมายที่คุณสามารถนำมาปฏิบัติได้ ความเข้าใจว่าสิ่งใดมีความจำเป็นเร่งด่วนกว่ากันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรจะให้ทีมของคุณมีส่วนในการตัดสินใจนี้ด้วยต้องแน่ใจว่าเรามีวัตถุประสงค์สำหรับการอบรมที่ชัดเจนซึ่งหมายความว่าเราจะต้องสร้างมาตรฐานของการปฏิบัติงานหรือกำหนดว่าพฤติกรรมที่เราต้องการจะให้เกิดขึ้นภายหลังการอบรม เราต้องการให้เขาเรียนรู้ หรือทำอะไรให้ต่างจากที่เคยทำ และจะทราบได้อย่างไรว่าเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นขึ้นแล้ว ผลของการตั้งวัตถุประสงค์สำหรับการอบรมนี้ก็เพื่อคุณจะได้มีมาตรฐานที่ใช้วัดผลว่าการฝึกอบรมที่เสร็จสิ้นลงไปได้เกิดผลเพียงใด เพราะฉะนั้น Psychology และ Strategy จะต้องเดินคู่กันตลอดเวลา เพื่อการพัฒนามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ  //ขอขอบพระคุณค่ะที่ให้โอกาสในการส่งงานครั้งนี้/รัฐธิดา พันธุ์เจริญ  รหัส 48684518

ขอบคุณอาจราย์มากค่ะ /ลูกสิทศ์ ญ.ว.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท