ผมจำได้อย่างติดตาตรึงใจ ในปี ๒๕๕๔ และเป็นช่วงที่น้ำท่วมหนักมาก ผมใช้เวลาเดินทางจากสุพรรณบุรีเข้ากรุงเทพฯ ใช้เวลานานถึง ๕ ชั่วโมง
จุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในสมองน้อยด้านซ้าย ผมถึงมือคุณหมอในช่วงบ่าย..จากนั้นคุณหมอก็ดูฟิล์มเอ็กซเรย์อยู่พักใหญ่
คุณหมอหนุ่มและหล่อมาก..หันมายิ้มให้ผม แล้วพูดว่า..ก้อนเนื้อไม่ใหญ่ แต่ถ้าปล่อยไว้ จะปวดหัวมากขึ้น จะเดินเอียงและหูก็จะไม่ได้ยินเสียง..หรือหูดับ นั่นเอง
ผมจะต้องอดน้ำอดอาหาร และเตรียมตัวผ่าตัดในเช้าวันรุ่งขึ้น..คุณหมอให้ผมนั่งรอเจ้าหน้าที่สักครู่ เพื่อพูดคุยถึงค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะเข้าพักรักษาตัว
ระหว่างที่นั่งรอ..ผมสังเกตเห็นคนป่วยและญาติพี่น้องที่เป็นชาวต่างประเทศ เดินกันขวักไขว่คล้ายตลาดนัด มีทั้งฝรั่ง แขก จีน เกาหลี ญี่ปุ่นและชาวตะวันออกกลาง
สิ่งที่ผมคิดในเวลานั้น..ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย ซึ่งผมไม่รู้สึกกังวล แต่ผมมองว่าโรงพยาบาลเอกชนของไทยต้องดีจริงๆ เพราะคนต่างชาติที่มานั้น ประเทศของเขาก็มีหมอ และคุณหมอต่างก็จบมาจากสถาบันชั้นนำทางการแพทย์เหมือนกันหมด
ผมไม่ได้คิดว่าชาวต่างประเทศมีเงิน..จึงบินมาไกลเพื่อมารักษาโรคต่างๆที่เมืองไทย..แต่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อมั่นในฝีมือการแพทย์ของไทย..ศรัทธาในการรักษาของหมอไทยต่างหาก
แน่นอน..ผมก็คิดเช่นนั้น จึงดั้นด้นเข้ากรุงเทพ แม้ว่าจะยากลำบากก็ตาม สักพักเจ้าหน้าที่สาวสวยที่เป็นฝ่ายการเงิน..เข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรไมตรี
สรุปใจความที่พูดคุยก็คือ ผมต้องจ่ายเงินก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งเป็นตัวเลขหกหลัก..ผมก็พร้อมและยินดีที่จะจ่ายเป็นเงินสด เพราะผมไม่มีบัตรเครดิต
จากนั้น..ผมก็เข้าห้องพิเศษ เพื่อเตรียมตัวขั้นพื้นฐานก่อนเข้ารับการผ่าตัดในช่วงเช้ามืด..ผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ราวๆ ๑๑ โมง...
ตลอดเวลาเกือบ ๒ สัปดาห์ที่ผมรักษาตัวที่โรงพยาบาล..ที่สุดยอดแห่งความทันสมัย ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณหมอและพยาบาลเป็นอย่างดียิ่ง..
จึงเป็นความประทับใจแรกที่ได้รับจากการป่วยและการรักษาตัว คุณหมอที่ผ่าตัด พยาบาลและผู้ช่วย ตลอดจนบรรยากาศที่สะอาดสดใส ประทับใจผมอย่างไม่รู้ลืม..
ต่อมา..ผมก็มีโอกาสได้ใช้บริการที่โรงพยาบาลพญาไท ๒ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน สภาพทั่วไปและการให้บริการไม่แตกต่างจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ในช่วงนั้น มีคนไทยและต่างชาติมาเข้ารักษาตัวอย่างมากมายเช่นเดียวกัน
ปี ๒๕๕๘..ผมโชคดีที่ได้ใกล้ชิดคุณหมออีกครั้ง เข้ารับการผ่าตัดใหญ่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่ใกล้บ้านที่สุด
มีอาจารย์หมอมือหนึ่งของโรงพยาบาล และมีชื่อเสียงโด่งดังไปในหลายๆจังหวัด คนไข้หลายคน ต้องรอคิวผ่าตัดกันนานนับเดือน เพื่ออยากได้คุณหมอท่านนี้เป็นเจ้าของไข้..และอาจารย์หมอก็ให้โอกาส...เป็นมือผ่าตัดให้ผม
ผมจึงเป็นข้าราชการผู้น้อยคนหนึ่ง ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับโรงพยาบาล เคยผ่านเงื้อมมือที่ถือมีดของคุณหมอ ผ่านการผ่าตัดถึงสองครั้ง ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ..ฝ่าฟันการเจ็บป่วยมาได้ก็เพราะฝีมือของคุณหมอและพยาบาล...
ผมจึงสำนึกได้อย่างหนึ่งในวันนี้..มีความรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน”
พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง เนื่องจากพระองค์ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง ในฐานะที่ทรงเป็นผู้สนับสนุนและสนพระทัยในการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์
ผมคิดถึง..9 ทุนการศึกษาพระราชทาน พระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรวมถึงทุนมูลนิธิ “ภูมิพล”
ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยมหิดล) ตั้งเป็นทุน “ภูมิพล” ขึ้น เพื่อเก็บดอกผลพระราชทานเป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ผู้ที่มีผลการเรียนดี แต่ขัดสนทุนทรัพย์
นับถึงบัดนี้ที่ต่อเนื่องยาวนาน.."ทุนเล่าเรียนหลวง”ได้มอบให้นิสิตเป็นจำนวนมาก ได้ศึกษาวิชาแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ ประสบความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้า เติบโตไปพร้อมๆกับวิทยาการและโรงพยาบาลของไทย
คุณหมอทุกท่าน ที่อยู่ภายใต้พระบารมีแห่งจักรีวงศ์ จึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ..และตอบแทนคุณแผ่นดิน..พวกเราจึงได้ยินเสียงชื่นชมจากนานาอารยประเทศ ยกย่องคุณหมอของไทย.. ให้เป็นที่หนึ่งในโลกไปแล้ว..อย่างที่ไม่ต้องสงสัย
วันนี้..มีความรู้สึกมั่นใจว่าโควิด ๑๙ ต้องมลายหายไป เกิดภูมิคุ้มกันใหม่ให้คนไทยด้วยฝีมือคุณหมอ ที่ไม่ใช่ดูแลคนป่วยด้วยหน้าที่เพื่อหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป...
แต่คุณหมอทุกท่าน ทุ่มเทแรงกายและ ใช้ ”หัวใจ” ทำงานอย่างมุ่งมั่น ด้วยมุ่งหวังให้ประชาชนบนผืนแผ่นดินนี้..ต้องรอดและปลอดภัย...ทุกคน
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๗ เมษายน ๒๕๖๓
ดีจัง สมัยที่พี่แก้วทำงานอยู่ รพ กรุงเทพฯ มีหมอผ่าตัดเก่งมาก ตั้งแต่ ปี 2523