นักปราชญ์หลายท่าน พูดเหมือนกันเกี่ยวกับ..การให้ “หนังสือ”มีความหมายว่า อุปสรรคปัญหาและความท้าทายในชีวิตของคนเรา จะผ่านไปได้ก็มาจาก “การเรียนรู้”
ไม่ได้มาจากการร้องขออย่างเดียว...
การมอบพระ..คือความเมตตาที่อยากให้ทุกคนระลึกถึง การมีธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจในทุกๆวันเวลา ไม่ว่างานหนักเบาชีวิตย่อมสุขสงบ
เมื่อพูดถึงหนังสือ..ผมเริ่มเขียนหนังสืออย่างจริงจังมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถมต้น ตั้งใจคัดลายมือตามที่ครูสอน..ครูเข้มงวดกวดขันก็ไม่เคยย่อท้อ เพียรพยายามจนลายมือสวย..
พอลายมือสวย..เรียนวิชาใด หรือเขียนหนังสือเมื่อใด ก็จะเขียนด้วยความตั้งใจ ให้ลายมือสวยคงเส้นคงวา เรียบร้อยและน่าอ่านอยู่เสมอ
อาจจะช้ายืดยาดไปบ้าง แต่ก็เขียนไปจนจบภารกิจ เสร็จทันเวลาตามที่ครูกำหนด จำได้ว่าการเขียนหนังสือในวัยเด็กนั้น ไม่มีเจตนาว่าจะอวดใคร แต่เป็นนิสัยขั้นพื้นฐานในการเขียนหนังสือด้วยความรักและอดทน
เมื่อรักการเขียนหนังสือให้สวยงาม ก็ทำให้รักภาษาไทยและกลายเป็นรักการอ่านในที่สุด เมื่อมีอาชีพครูก็ยังต้องอ่านหนังสือและศึกษาค้นคว้าไม่สิ้นสุด ตลอดจนเขียนหนังสืออย่างไม่หยุดยั้ง ..ชีวิตจึงผูกพันกับตัวหนังสือมาโดยตลอด
ผมเขียนหนังสือที่บ้านและสอนการเขียนหนังสือที่โรงเรียน นักเรียนทุกคน..ผมจะฝึกให้เขียนเรื่องราวเกือบทุกวัน..แม้กระทั่งลายมือ..ก็ต้องเขียนตัวบรรจงทุกครั้ง..
ผมเชื่อว่า..นักเรียนมีขีดความสามารถที่จะเขียนสวยได้ทุกคน แต่ครูต้องเข้าใจก่อนว่า..สวยในแบบของเขาแต่ละคน ที่อาจจะแตกต่างกันไป..เพียงแต่ว่าเด็กทุกคนต้องเขียนให้ถึงขีดสูงสุดของศักยภาพของตน นั่นหมายถึงต้องพยายามและพิถีพิถัน..
ในสภาพแวดล้อมของการจัดการศึกษาในปัจจุบัน อาจทำให้มองไม่เห็นความสำคัญของลายมือและการเขียนหนังสือเพื่อการสื่อสาร แต่เชื่อเถอะว่า..ความเป็นคนไทย ที่มีภาษา..ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย ยังไงก็ต้องใช้ภาษาที่เป็นตัวหนังสือ สื่อสารด้วยการอ่านและการเขียน...เพื่อการเรียนรู้
ลองนึกย้อนไปในวัยเด็ก เราใช้ดินสอเพื่อเขียน ก็เพราะเราสามารถแก้ไขและลบเพื่อเขียนใหม่ได้..เราจึงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้เสมอ..ผิดแล้วรีบแก้ไข..ยังไงก็ต้องดีขึ้น
เขียนจนกว่าเราจะเขียนได้สวยงามและถูกต้อง เวลานั้นเราใช้ดินสอทำงานเขียนทุกอย่างที่ขวางหน้า..ที่แท้ก็คือการเรียนรู้..ที่ลึกซึ้ง เป็นการทำในสื่งที่ยากมากมาย..
เช่นเดียวกัน..งาน..เขียนหนังสือก็เหมือนกัน..ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น..หมายความว่า..การเขียนด้วยลายมือที่สวยงามว่ายากแล้ว..การเขียนหนังสือให้ผู้คนทั่วไปได้อ่าน..ยิ่งยากกว่า
ผมฝึกฝนการเขียนมาตลอดเกือบ ๒๐ ปี..การที่มีงานประจำก็ทำให้เขียนได้เพียงบันทึกหรือบทความสั้นๆเท่านั้น เชื่อว่าหลังเกษียณไปแล้ว รูปเล่มหนังสือที่เป็นผลงานของผมเอง ก็น่าจะฝันเป็นจริงได้อย่างที่มุ่งมั่นตั้งใจไว้
เพราะโอกาสของผมเปิดกว้างให้ผมได้เรียนรู้เสมอ และเมื่อลงมือปฏิบัติ พบปัญหาอุปสรรคให้ต้องแก้ไข..จึงเป็นกำไรชีวิต ให้คิดที่จะเขียน โดยเฉพาะเรื่องเล่าในโรงเรียนเล็ก ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของการเรียนการสอน เร้าใจและท้าทายเหลือเกิน
อีกทั้ง “ศาสตร์พระราชา” ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง..ที่ผมต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า ทำไมต้องทำ แล้วเมื่อทำแล้วได้อะไร? ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ใฝ่ดี
“พอเพียง” จึงไม่ได้อยู่แค่วิธีคิด แต่อยู่ที่การปฏิบัติอย่างจริงจังและจริงใจต่องาน จะช่วยสานต่องานให้มีคุณค่า เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ชุมชนและสภาพแวดล้อม
ผมจึงใช้งาน..เขียนหนังสือ เพื่อบอกเล่าและบอกตัวเองว่าจงเขียนต่อไป สักวัน..ชีวิต..ต้องก้าวเดินออกจากถนนสายนี้..ไม่มีวันหวนคืน แต่ทุกเรื่องราวแห่งความทรงจำ..ยังคงอยู่แน่นอน....
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๒ มกราคม ๒๕๖๓
สุดยอดครับ ท่าน ผอ. ;)…
รีบเขียนตอนนี้เลยค่ะ เกษียณแล้วจะไม่ค่อยได้เขียนค่ะ