มะลิ ๓


“หมอถามหน่อยได้ไหม ทำไมต้องเป็นแป้งฝุ่นศรีจันทร์” ผมถามเธอ หลังจากที่ได้ขออนุญาตอ่านจดหมายที่เขียนเป็นร่างการจัดการศพและงานศพให้ตัวเองก่อนที่การตายจะเกิดขึ้นมาจริงๆ

เธอบอกว่า เมื่อวันนั้นมาถึงก็ขอให้ช่วยแต่งหน้าให้หน่อย ไม่ต้องลงรองพื้น เอาแค่ BB แต่อยากให้ใช้แป้งฝุ่น “ศรีจันทร์”

“นั่นสิ ทำไมต้องศรีจันทร์” ผมยังคงสงสัย

........................

“ถ้าความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากก้อนเนื้อมะเร็งก้อนนั้นคือความทุกข์ ดังนั้นการที่จะต้องตายจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุแห่งโรค มันคงเป็นการดับความเจ็บปวดที่แสนจะทรมานนั้นเสียที สินะ”

ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้คุยกับเธอในเรื่องโรคร้ายที่กำลังรุมกัดกินร่างกายของเธออยู่นั้น ผมไม่มีโอกาสได้เห็นน้ำตาสักหยดไหลออกมาจากดวงตาแสนสวยแต่หม่นหมองคู่นั้นเลย

เธอคนนั้นยังคงดูสะสวย ผิวขาวนวลเนียน จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้าอย่างเหมาะเจาะ เพียงแต่ความซูบโทรมจากโรคร้าย ที่ทำให้แก้มตอบลงบ้าง กับผมบนหัวร่วงเตียนจากยาเคมีบำบัดที่เพิ่งได้รับไปถูกทดแทนด้วยวิกผมและหมวกปีกสีสดใส

“ตอนนี้โรคมันไปถึงไหนแล้ว เธอรู้ไหม” ด้วยวัยวุฒิที่สูงกว่าจนเกือบจะเป็นพ่อได้ ผมจึงเลือกใช้คำว่า “เธอ” แทนตัวคนไข้ที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นคันนั้น

“มันไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดที่ให้ไปเลยค่ะ ตอนนี้มันมีก้อนเพิ่มขึ้นที่ตับอีกด้วย” เนื้อร้ายกระจายไปยังปอดและตับของคนไข้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกผม 

ตับเป็นอวัยวะสำคัญ 
มันจะรับเลือดส่วนหนึ่งมาจากลำไส้ นั่นคือ การพาสารอาหารเข้ามาให้ตับได้ลองชิมดูก่อนที่มันจะตัดสินใจว่าจะส่งไปเลี้ยงร่างกายและสมองได้ หรือต้องทำลายสารพิษที่ดักจับได้ไว้ก่อน หรือเลือกที่จะเก็บตุนเอาไว้ แล้วค่อยๆปล่อยมาให้ร่างกายใช้ในอนาคต 
และแน่นอนว่า มะเร็งในช่องท้อง ลำไส้ และอุ้งเชิงกราน มันก็อาจจะถูกส่งผ่านไปยังตับได้ด้วยกระบวนการนี้เช่นเดียวกัน “มะเร็งแพร่กระจายไปที่ตับ”

เธอคนนี้ ถูกพบก้อนที่ตับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายก้อน ทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด

นั่นคือ มันไม่ตอบสนองต่อการรักษา 

และเช่นเดียวกัน มะเร็งที่ก่อกำเนิดตัวเองจากโพรงมดลูก ในตอนนี้มันก็กำลังกัดกินร่างกายในตำแหน่งบ้านเกิดของมันอย่างหนักหน่วง

ถึงตอนนี้ ใครที่ไม่มีสติ ย่อมน่าสงสารเป็นที่สุด

“แล้วตอนนี้พ่อแม่และน้องๆของเธอว่ายังไงบ้างล่ะ” ที่ผมถามเช่นนี้ก็เพราะว่า ตัวเธอเองเข้าใจในเรื่องของโรคทั้งหมด และเริ่มทำใจยอมรับกับการเจ็บป่วยที่แสนจะทรมานนี้ได้ แต่คนที่อยู่ใกล้เคียงนั้นต่างหากที่ยังคงมีความหวัง มีความเศร้าโศก และยังมีความสับสนอยู่ในใจมากกว่าคนป่วย

“แม่ยังไม่ยอมอ่านจดหมายแผ่นนี้เลยค่ะ แกบอกว่าค่อยอ่านก็ได้” เธอบอกผม

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าหมอก็ได้อ่านก่อนน่ะสิ” ผมเย้าออกไป และเธอก็เพียงยิ้มตอบกลับมา มันคือรอยยิ้มเหมือนกับที่เคยเจอกันครั้งแรก เพียงแต่คราวนี้ ความซูบตอบที่แก้มมันทำให้ดูแตกต่างออกไป

“เธอคงเจ็บมากเลยสินะ” ผมถามออกไป เพราะท่าทางที่นั่งคุยกันนั้นคือการโน้มตัวมาด้านหน้า มันคือการเผยอให้ก้นพ้นจากการถูกกด ก้อนเนื้อมะเร็งมันขยายขนาดลงมากดเข้าไปชิดทวารหนักจนทำให้เธอรู้สึกปวดหน่วงอยู่ตลอดเวลา

“หนูต้องกินยามอร์ฟีนทุก ๔ ชั่วโมงเลยค่ะ มันปวดจนทรมาน แถมตอนนี้ก็ท้องผูกมากๆอีกด้วย คุณหมอบอกว่า ท้องผูกเกิดจากมอร์ฟีน”

“เออ รู้ และที่เรียกเธอมาวันนี้ก็เพราะจะจัดการเรื่องอาการปวดของเธอให้นี่แหละ” ผมได้รู้ถึงความทรมานจากความเจ็บปวดอันนี้ จึงสื่อสารออกไปให้เธอมาโรงพยาบาล ในขณะเดียวกันก็ได้โทรศัพท์ไปปรึกษาอาจารย์รุ่นพี่ที่เป็นปรมาจารย์ด้านการจัดการความเจ็บปวด

“เธอเรียกเด็กมานอนโรงพยาบาลเลย เดี๋ยวชั้นจัดการให้เอง” เสียงปลายสายดูยุ่งๆ แต่เมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้น เธอคนนี้จึงได้มาเจอผมในวันนี้

“หมอได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้ว มันดีจังเลยนะ การได้ออกแบบงานของตัวเองมันโคตรเจ๋งเลย” ผมเองก็ยังคงนึกถึงงานศพของตัวเองเช่นกัน รูปเด็กนักเรียนหัวเกรียนใส่แว่นกรอบหนาชั้น ป.๖ รูปเด็กชายหน้ายาวในทรงผมรองทรงชั้น ม.๖ ที่ช่างถ่ายรูปแต่งหน้าให้เสียจนดูเหมือนลิเก และรูปหมอหนุ่มในชุดครุยรับปริญญา ทั้งหมดจะถูกจัดเรียงไว้หน้าโลงศพ เออ..และรวมถึงรูปปัจจุบันวันก่อนตายด้วย

“กลัวมั้ย” มันคือคำถามที่คนถามก็รู้สึกจุก

“กลัวค่ะ เพราะไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง” เธอตอบ

“นี่คงไม่ได้ถามหมอใช่ไหม เพราะฉันก็ไม่เคยตายสักที” ผมตบมุขไปให้อย่างผิดเวลา แต่เอาเหอะ ผมก็มีของเหมือนกันน่า

“หนูไม่อยากให้หมอใส่ท่อช่วยหายใจ” 
“เออ รู้” ผมตอบ
“หมอเคยบอกว่ามอร์ฟีนช่วยทำให้สบายขึ้นได้”
“ใช่ มันเป็นอย่างนั้น มันจะช่วยทำให้สงบลงได้” มันคือตำราที่บอกมาอย่างนั้น และผมก็รู้เพียงเท่านี้ บอกแล้วไงยังไม่เคยใกล้ตาย

“หมอคะ” เธอเรียกผมเบาๆ แล้วก็หยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้นครู่หนึ่ง

“บางทีหนูก็รู้สึกว่าหนูเป็นคนเห็นแก่ตัว” เสียงเบาจนเกือบกระซิบ เธอยังคงก้มหน้า จมูกแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลลงมาสักหยด

“ทำไมเธอคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ก็หนูรู้สึกว่า ความรู้สึกอยากให้มันตายโดยหมอไม่ต้องช่วยเหลือนั้น มันคือการช่วยให้หนูตายเร็วขึ้น หนูตายเร็วขึ้นในขณะที่ทุกคนยังอยากให้หนูอยู่”

ผมปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน

“หมอรู้ไหม ตอนนี้แม่ใช้เวลาอยู่กับหนูตลอดเวลา แม่ร้องไห้ทุกทีที่หนูปวดทรมาน น้องชายก็จะดร็อปเรียน เพื่อจะมาดูแลหนูในช่วงเวลานี้ น้องสาวก็เป็นกำลังใจที่ดี” อืม..มันดีจริงๆ ไม่ใช่สิ..มันโคตรจะดีจริงๆ ต่างหาก ผมคิดในใจ

“หมอคะ การร้องขอแบบนี้มันไม่ใช่การฆ่าตัวตายใช่ไหม” เธอสบตาผม

“ไม่ใช่หรอก มันคือการสิ้นสุดของความเจ็บป่วยนี้ต่างหาก” ผมหยุดนิดหนึ่ง

“เธอรู้ไหม เมื่อครู่ หมอคุยกับแม่ของเธอในช่วงสั้นๆ แม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดอันนี้ แม่รู้ตลอดเวลา ว่าทุกนาทีที่เธอยังคงเจ็บปวดอยู่ มันคือความทรมานของเธอเอง ซึ่งมันรวมถึงความเจ็บปวดทรมานของแม่ด้วย” ใช่ แม่ของเธอบอกผมมาอย่างนี้

“สิ่งที่เธอร้องขอให้ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อต่ออายุไปนั้น มันคือเรื่องปกติ มันไม่ใช่การฆ่าตัวตาย และหมอก็ไม่เห็นว่าจะเป็นการเห็นแก่ตัวตรงไหน เพราะความเจ็บมันเป็นของเธอ” 
.......................

เราได้ให้เธอนอนในโรงพยาบาลเพื่อปรับยามอร์ฟีนลดอาการปวด เช้าวันถัดมาหน้าตาเธอดูสดชื่นขึ้นมาก ความเจ็บมันลดลง และเมื่อคืนเธอสามารถนอนหลับได้

“หมอถามหน่อยได้ไหม ทำไมต้องเป็นแป้งฝุ่นศรีจันทร์” ผมถามเธอ หลังจากที่ได้ขออนุญาตอ่านจดหมายที่เขียนเป็นร่างการจัดการศพและงานศพให้ตัวเองก่อนที่การตายจะเกิดขึ้นมาจริงๆ

“มันเป็นของคนไทยค่ะหมอ หนูใช้มาตั้งนานแล้วด้วย ตอนนั้นที่เลือกใช้เพราะว่ามันราคาถูกกว่าของยี่ห้อฝรั่ง และมันก็ดีด้วย” เธอตอบมาหน้าตาสดใส และผมเชื่อเธอหมดใจ เพราะนั่นคืองานของเธอ 

รอยยิ้มรอยนั้นยังคงเหมือนเดิม

ผมรู้สึกโล่งใจ เพราะในวันก่อนหน้านั้น ผมได้เห็นว่า แม่ของเธอได้อ่านจดหมายความประสงค์ในวันสุดท้ายของชีวิตลูกสาวที่เธอได้ออกแบบไว้ด้วยตัวเอง 
ผมไม่ได้เห็นแววตาของผู้เป็นแม่ ว่ามันจะฝ้าฟางจากหยาดน้ำตาที่ทำให้พร่ามัวสักเพียงใด แต่แววตาที่เธอผู้เป็นลูกสาวมองแม่ขณะที่แม่ก้มลงอ่านจดหมายฉบับนั้น มันช่างดูอ่อนโยนเสียเหลือเกิน

มะลิเอ๊ย

แม้กลีบมะลิจะชอกช้ำเสียหายจากการถูกกัดแทะของแมลงกลุ่มนั้นจนหาร่องรอยของความสวยงามมิได้ แต่กลิ่นหอมจากมะลิที่เจือจางผ่านอากาศมานั้น มันรัญจวนใจ

ผมไม่รู้ว่าควรจะเศร้าใจ สุขใจ หรือวางใจดี

ยังจำมะลิได้ใช่ไหมครับ

ธนพันธ์ ชูบุญไม่เอารองพื้นเหมือนกัน
๔ พค ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #มะลิ#มะเร็ง#palliative
หมายเลขบันทึก: 673112เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท