มะลิ ๒



“ถ้าความเจ็บปวดมันทรมานมาก เธอก็ควรจะคิดนะครับ ว่าจะให้มันจบอย่างไร”

ผมไม่ได้หมายความว่าให้คนไข้คนนั้นไปฆ่าตัวตายหรอกนะ เพราะท้ายที่สุดมันก็หายเจ็บเหมือนกัน แต่อย่าลืม ว่าการตายเพราะโรค ตายเพราะหมดกรรม มันก็จบที่ตายและหายเจ็บ แต่หากการตายนั้นมันเกิดจากการที่เราตัดกรรมโดยการฆ่าตัวตายนั้น มันไม่ได้ตายจริงๆแม้ร่างกายจะสิ้นลมไปแล้ว

ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้นะ แต่ขอเถิด อย่าเพิ่งไปฆ่าตัวตาย พวกผมสามารถช่วยได้ไม่มากก็น้อย
.................

หลังจากที่เรารับเธอเข้ามานอนโรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งจนมันเริ่มอยู่ตัวแล้วนั้น วันนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องมาประเมิน ว่าเธอสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านแล้วหรือยัง

“ยาแผ่นแปะผิวหนังที่ให้ไปนั้นมันดีไหมเธอ” ผมถามสาวน้อยร่างผอมบางที่นั่งยองๆอยู่บนเก้าอี้คนนั้น 

“ดีขึ้นค่ะ แต่ยังต้องขอกินมอร์ฟีนบ้างเป็นครั้งคราว” 

“อยู่ได้ไหม” ผมถาม

“ได้ค่ะ แต่มันทำให้หนูอยากหลับตลอดเวลาเลย หนูไม่อยากนอน” 

“เออใช่ หมอสังเกตเห็นว่าเธอนั่งอยู่ในท่านี้ทุกครั้งที่มาเยี่ยม” เจ้าหนูที่ผมกำลังพูดถึงนั้น เธอมักจะนั่งยองๆ ไม่บนเก้าอี้ก็บนเตียงคนไข้ เธอนั่งราบไม่ได้ เพราะเนื้องอกที่มันกดเบียดเข้ามาในก้นนั้นมันมีขนาดใหญ่ 

ยังจำมะลิกันได้ใช่ไหมครับ 

ผมกำลังพูดอยู่กับเธอ 

“มะลิ” ผมมองเรียวหน้าสวยหน้านั้น สันจมูกโด่งดูคมกริบ ผมสั้นเกลี้ยงถึงตอเพราะยาเคมีบำบัดที่ได้ไปก่อนหน้านี้

“เธอพร้อมหรือยัง” ผมกำลังหมายถึงวาระสุดท้ายที่เราเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่

“เวลาเจ็บมากๆ มันก็พร้อมนะคะ แต่เวลาหายเจ็บมันก็ไม่พร้อมสักที” เธอมองหน้าผมจมูกแดง

“กลัวมั้ย” ผมถาม

เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ

“มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างคะหมอ” 

“มะลิ” ผมเว้นระยะไว้นิดหนึ่ง

“ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่เธออยากให้หมอลองเล่าให้ฟังบ้างไหม” ผมถามออกไปแบบนี้ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “นี่เราจะบอกออกไปจริงเหรอวะ” ผมนึกในใจ

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่า อะไรมันจะก่อปัญหาให้เธอ ถ้าหากว่าเลือดมันออกจากเนื้องอก แล้วหมอไม่ให้เลือดเพิ่มเติม เธอก็จะเสียเลือดจนหมดสติไป หากก้อนที่มันกดอยู่ในก้นแล้วมันกดจนลำไส้อุดตัน เธอก็จะตดไม่ออกอึไม่ออก หรือหากก้อนในตับมันโตขึ้นจนตับไม่ทำงาน เธอก็จะเมาจากของเสียที่มันขับออกไม่ได้ หรือกระทั่งก้อนในปอดมันโตขึ้น เธอก็จะเหนื่อย” ผมสาธยายออกมา

“แล้วมันแก้ไขได้ไหมคะหมอ”

“ถ้ามะลิจะให้แก้ไข หมอต้องบอกว่า แก้ได้นะ แต่หมอก็จะถามเธอก่อนเสมอ ว่าจะแก้ไขปัญหาทึ่เกิดขึ้นมานั้นเพื่ออะไร” ผมพยายามนึกไปข้างหน้าว่าจะเรียบเรียงประโยคอย่างไรต่อไป เพราะคนฟังยังอายุน้อยนัก

“หากการแก้ปัญหานั้น ทำไปเพียงเพื่อการยืดอายุ ยืดชีวิต นั่นคือสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจพร้อมกันก่อน” เรื่องต่อไปนี้จะยากที่สุด

“มะลิต้องอย่าลืมว่า ชีวิต ไม่ได้หมายถึงแค่การลืมตาและหายใจได้ แต่มันคือการมีความรู้สึกด้วย” ผมเว้นระยะอีกนิด

“หมออยากจะบอกว่า หากเวลาแม้เพียง ๒ ชั่วโมงที่จะยืดออกไปได้นั้นมันมีความหมายกับชีวิตของเธอมาก เราก็จะทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้มันได้ยืดออกไปได้นะ แต่มะลิต้องทราบไว้ด้วย ว่าเธอจะต้องอยู่กับความเจ็บปวดทรมานจากโรคมะเร็งต่อไป ถ้าเธอเข้าใจ ถ้าเธอมีสติที่จะรับรู้ความสุขของการได้หายใจ ได้ต่อชีวิตออกไปอีกหน่อย และรับรู้ความทุกข์จากการเจ็บปวด รับรู้ทุกอย่างด้วยสติ เราก็จะสู้ไปด้วยกัน” ผมใจหายที่ต้องพูดออกมาแบบนี้แล้วพบว่าน้ำตาหยดแรกของเธอไหลออกมาจากหางตาคู่นั้น

“เวลาเราจะสู้กับมะเร็ง มันจะมีผลลัพธ์อยู่ ๒ อย่างนะครับ คือการที่มีอาการดีขึ้น กับการพ่ายแพ้มัน ไอ้ที่ว่าดีขึ้นนั้น หมอหมายถึงการที่อาจจะมีโรคที่คงที่หรือดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วท้ายที่สุดมันก็จะกลับมาอีกอยู่ดี นี่หมอหมายถึงโรคของเธอนะ”

“ค่ะหมอ หนูก็ยังอยากจะอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย หมอเชื่อไหม อยู่โรงพยาบาลมาตลอดสัปดาห์นี้ หนูมีความสุขมากเลยนะ หนูได้เห็นคนเดินไปเดินมา เห็นญาติมาเยี่ยมคนไข้คนอื่นๆ เห็นพี่พยาบาล เห็นพวกคุณหมอ มันไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ที่บ้านหนูไม่ค่อยมีคนอยู่ในช่วงกลางวัน กว่าจะได้เจอแม่กับพ่อก็ต้องหลังจากกลับจากขายของ”

ถึงตอนนี้เธอหันไปมองแม่ แล้วเอื้อมมือมาบีบไว้ 

“ไม่ได้หมายความว่าอยู่บ้านแล้วไม่มีความสุขนะแม่ มันคือที่ที่มีความสุขที่สุดนั่นแหละ เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องทำงาน หนูรู้สึกว่ามันแย่ มันเหงามากๆเท่านั้นเอง”

มะลิอยากลืมตามองผู้คน อยากมองเห็นแสงสว่างให้นานที่สุด นั่นคงด้วยเพราะเธอคงจะรับรู้ว่า อีกไม่นานนัก เธอก็จะไม่มีวันได้เห็นมันอีก

“เวลากินมอร์ฟีนเข้าไปแล้วมันออกฤทธิ์ หนูจะง่วงมากค่ะหมอ หนูพยายามจะฝืนมัน แต่พอฝืนไป มันก็จะรู้สึกเจ็บอยู่ตลอด”

“ครับ หมอเข้าใจ แต่ถึงเวลาหนึ่ง มอร์ฟีนจะทำให้เธอสบายที่สุด ไม่ว่าจะปวดที่เนื้องอก ปวดในก้น ปวดจากการเกิดลำไส้อุดตัน หรือการเหนื่อยจากเนื้องอกในปอด” ผมบอก

“แลกกันกับการที่จะต้องนอนหลับไปทั้งวัน ไม่ได้เห็นผู้คนและความเป็นไปของสรรพสิ่งรอบตัว” น้ำตาเธอไหลลงมาเป็นสายอีกครั้งหนึ่ง

“ความเจ็บปวดมันช่างทรมาน” ผมรู้สึกสงสารจับใจ 

ผมไม่อิน เพราะไม่เคยเป็นอย่างที่มะลิเป็นมาก่อน

แต่เอ๊ะ..ผมหยุดนึกเรื่องความรู้สึกอินในความเจ็บปวด เพราะครั้งหนึ่งผมก็เคยปวดเจ็บอย่างสุดชีวิตเหมือนกันนี่นา

“อูย.....มันปวดท้องเหลือเกิน” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ๆของวันหนึ่งขณะที่เรียนแพทย์ชั้นปีแรก วันนั้นเป็นวันเสาร์ และผมงีบหลับในหอพัก

มันปวดแบบระบม เหมือนจะมีอะไรสักอย่างกำลังจะแตกอยู่ในท้อง

“ไส้ติ่ง?” ผมอุทานในใจประสาคนไม่รู้ความ นักเรียนแพทย์ปีหนึ่งตอนนั้นยังไม่เคยเห็นไส้ติ่ง

พยายามประคองตัวให้ลุกขึ้นมานั่ง อาการปวดมันอยู่ในช่องท้องส่วนล่าง ร้าวระบมลงมาจนถึงขาหนีบ มันปวดมากเสียจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่ผมต้องพยายามลุกขึ้น เพื่อที่จะพาตัวเองไปหาเพื่อนทึ่เรียนหมอด้วยกัน หวังจะให้มันช่วยพาไปโรงพยาบาล

“โอย....” ผมต้องโอดครวญออกมา เพียงเพื่อหวังระบายความเจ็บปวดออกไปเสียบ้าง

ครั้นเมื่อเริ่มก้าวขาลุกออกไปจากเตียงแล้วพยุงตัวที่งองุ้มออกเดิน มันก็รู้สึกได้ว่า ความระบมมันอยู่ที่หว่างขา มันปวดเหมือนใครเอาคีมมาหนีบมาบีบลูกอัณฑะทั้งคู่

“โอย.....ปวดไข่” ผมครางอีกรอบ และหยุดยืน ยืดตัวให้สุด หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วความเจ็บปวดที่ผมสามารถบอกได้เลยว่า มันคือที่สุดของชีวิต มันเริ่มรู้สึกคลายลง 

เอามือไปลูบคลำที่หว่างขา ล้วงเข้าไปคลำอัณฑะตัวเอง มันระบม

เข้าใจในบัดดล ว่าเมื่อครู่คงนอนตะแคง อัณฑะที่หว่างขามันจึงถูกขาหนีบทับไว้ และคงหนีบไว้นานพอสมควรทีเดียว

ตัดสินใจเดินกลับห้องตัวเองด้วยความสมเพช ไม่ปงไม่ไปมันแล้วห้องฉุกเฉิน อ้าขาได้จนลูกอัณฑะห้อยโทงเทง ความระทมจากการถูกบีบมันก็ดีขึ้นเอง

ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงคราวที่ต้องนอนตะแคง จะต้องมีหมอนมารองระหว่างขาไว้เสมอ อัณฑะก็มีเพียงสองลูกเท่านี้ รักษาดีๆ จะได้อยู่กับเรานานๆ 

ดีนะ เจ็บครั้งนี้ไม่ถึงกับต้องฉีดมอร์ฟีน
.....................

ปวดลูกอัณฑะจะแตก ผมยังทุรนทุรายเสียขนาดนั้น

แต่มะลิของผม เธอต้องอยู่กับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตแทบจะตลอดเวลา ยังดีที่ยาเฟนทานิ่ลแบบแผ่นแปะผิวหนังมันออกฤทธิ์ได้ดี ร่วมกับมอร์ฟีนที่เธอจัดการปรับการกินได้เองมันช่วยทำให้ความปวดได้พอทุเลา

มะเร็งมันยังคงกัดกิน

มะลิต้นนั้น ก้านกิ่งและหมู่ใบล้วนซูบโทรม กลีบดอกถูกแทะกินจนแทบจะไร้ซึ่งความเป็นดอกไม้ที่เคยสวยงาม กระนั้น มะลิก็ยังคงเป็นมะลิ กลิ่นหอมที่แตะจมูก ต่อให้หลับตา มันก็รู้ได้ว่านี่คือ “มะลิ”

ผมกำลังเฝ้ามองวัฏสงสารของมะลิ

“กลับไปสูดดมลมที่บ้านสักระยะนะมะลิ ยังไงเสีย ที่นั่นก็คือที่ของเธอ แต่หากความเจ็บปวดมันทรมานจนเกินการควบคุม ก็ขอให้บอก แล้วหมอจะขอคำตอบที่ถามไปเมื่อกี๊นะ”

ธนพันธ์ ชูบุญยังคงจำวันที่ปวดระบมอัณฑะได้
๑๗ พค ๖๒

คำสำคัญ (Tags): #มะเร็ง#palliative#มะลิ
หมายเลขบันทึก: 673111เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 15:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท