นิติวิทยาศาสตร์กับการผ่าศพเด็ก


ไม่รู้เป็นไง วันนี้รู้สึกคิดถึงเจ้าหนูน้อยคนนั้น เด็กผู้หญิงอายุราวขวบเศษที่เราได้มีโอกาสรู้จักกันราว ๒ วัน 

แค่สองวัน และมันคือ ๒ วันที่เราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ

ถึงตอนนี้ เจ้าหนูนั่นอาจจะอายุเข้าขวบที่ ๑๑ หรือ ๑๒ ผมก็ไม่อาจจะแน่ใจสักเท่าไหร่นัก
........................

หากจะย้อนกลับไปไกลสักเกือบ ๓๐ ปี (เกือบแล้วจริงๆ) ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๒ อันเป็นปีที่รู้กันดีว่า ใครทุกคนที่จะเป็นหมอ ต่างเฝ้ารอการขึ้นตึก gross ตึกที่มีแต่ศพ ทว่าศพที่นอนเรียงกันอยู่นั้น เรากลับเรียกท่านว่า "อาจารย์ใหญ่" อาจารย์ที่สอนพวกผมโดยไม่พูดไม่จา อาจารย์ที่ไม่เคยดุด่าเวลาถูกเราเชือดเฉือน จะมีบ้างหากเราออกนอกลู่นอกทาง ท่านก็จะไปตักเตือนเราถึงที่ห้องนอน 

“เมื่อยขา” ผู้ชายตัวสูงใหญ่เดินมาหาถึงห้องพลางบอกว่าเมื่อย ไอ้เราก็นึกไปและรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเลยชวนพูดคุย นักศึกษาแพทย์ปี ๒ อย่างพวกเรายังรักษาอาการเมื่อยขาไม่เป็น ชายคนนั้นจึงพาเราไปที่ห้อง gross แล้วท่านก็นอนบนเตียงผ่าศพในท่าที่ปลายขาด้านขวายังคงพาดอยู่บนแท่นไม้นั่น 

แล้วผมก็สะดุ้งตื่น เหงื่อชุ่มตัวและหัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

เช้าวันรุ่งขึ้นจึงรีบแวะไปกราบขอโทษอาจารย์ใหญ่ ขาท่านยังคงอยู่ในท่านั้น ในฝัน จึงได้จัดขาท่านเข้าที่ปกติก่อนที่จะไปเข้าห้องเรียนวิชาอื่นใด

จบมาเป็นหมอตั้งนานแล้ว ก็ยังอดคิดถึงวันเหล่านั้นไม่ได้

แต่ความระลึกถึงห้องผ่าศพในคราวนี้คือห้องผ่าศพของโรงพยาบาล ห้องผ่าศพที่ไม่ได้มีไว้สำหรับเรียนกายวิภาคศาสตร์แบบห้อง gross แต่มันคือห้องผ่าศพสำหรับวิเคราะห์หาสาเหตุของการตายที่ผิดธรรมชาติ มันคือห้องทำงานของหมอนิติเวชนั่นเอง

ครับ ผมกำลังระลึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว วันที่ต้องเข้าห้องผ่าศพเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตาย และคนที่ตายอยู่ตรงหน้า คือเด็กผู้หญิงอายุราวขวบปีเศษ

ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ผม ในฐานะของประธานหน่วยงาน OSCC ของโรงพยาบาล หรือจะเรียกให้ดูแกรนด์หน่อยๆ คือ one stop crisis center มันคือศูนย์พึ่งได้ (พึ่งได้บ้าง พึ่งไม่ได้บ้าง แล้วแต่ว่าปัญหาของคนที่เราจะเข้าไปดูแลคืออะไร อย่างตอนนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องทำแท้ง ยังพึ่งไม่ได้) ซึ่งทำงานหลักๆในการพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี บางทีผมก็รู้สึกว่า มันคือ ศูนย์เผือก 

อย่างเช่นครั้งนี้

เราได้รับรายงานว่ามีเด็กผู้หญิงอายุราวขวบกว่าๆ ได้มารับการรักษาพยาบาลด้วยเรื่อง “หยุดหายใจ”
อาจารย์หมอสมชาย ท่านเป็นหมอเด็กที่เป็นผู้ดูแลเด็กหญิงคนนี้ในห้องไอซียูได้ตรวจพบว่ามีบางอย่างที่น่าสงสัยว่าเจ้าหนูคนนี้อาจจะถูกทำร้ายร่างกายมาก่อน

คำว่า “มาก่อน” นั้น หมายความว่า นานมาแล้วที่เธออาจจะถูกทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว

มีอะไรที่ทำให้อาจารย์คิดแบบนั้น?

“เด็กมีกระดูกต้นแขนหัก” อาจารย์บอกมา มันหักในลักษณะที่คล้ายกิ่งไม้เหนียวๆถูกบิด มันหักแบบที่คนเป็นแม่บอกว่า “ไม่เคยรู้เลยว่าลูกกระดูกหัก” ทั้งๆที่แขนข้างนั้นหดสั้นกว่าอีกข้างหนึ่ง เมื่อเห็นดังนั้น อาจารย์จึงส่งเอ็กซ์เรย์ตรวจกระดูกทั้งตัว จึงพบว่ามีกระดูกซี่โครงหักอีก ๖ ตำแหน่ง และแต่ละจุดมีร่องรอยที่บอกเราว่า “มันหักกันคนละเวลา”

เราจึงเชื่อว่า เธอน่าจะถูกทำร้ายร่างกายเรื้อรัง เพราะมีกระดูกหักหลายที่ และหักกันคนละเวลานั่นเอง

“อ๊อดครับ มาช่วยพี่หน่อย” ผมโทรศัพท์หาอาจารย์นิติแพทย์คู่ใจ เขาเป็นหมอรุ่นน้องผม ๖ ปี ในขณะนั้น เขาเป็นลูกทีมของผมใน OSCC (แต่ในตอนนี้ เขาเป็นเจ้านายของผมไปเรียบร้อย)

“ผมแจ้งความไปแล้วนะครับพี่” เขารีบจัดการในทันทีที่ทราบเรื่องราวจากในทีมของเรา

และเมื่อพนักงานสอบสวนรับแจ้งความเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหนูผู้น่าสงสารรายนี้ก็สิ้นใจไป มันจึงเป็นที่มาของการตรวจศพในครั้งนี้ครับ

ที่ชั้นเบสของโรงพยาบาลทางด้านหลังสุดจะมีห้องเก็บศพ และใกล้ๆกันนั้นจะมีห้องชันสูตรพลิกศพด้วย ห้องตรวจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจหาสาเหตุของการตาย ตอนนี้โรงพยาบาลของผมมีอาจารย์นิติแพทย์อยู่ ๔ คน ผมทราบมาว่า ปริมาณการตรวจศพมีมากขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วก็แทบจะมีวันละศพ

เมื่อต้องเดินเข้าห้องตรวจศพ อาจารย์หมออ๊อดบอกให้ผมเดินเข้าอีกทางหนึ่ง
“เป็นเคล็ดเหรอน้อง” ผมสงสัยว่าทำไมไม่ให้เดินเข้าห้องตรงๆ ที่ทางด้านที่มีป้ายชื่อห้อง สงสัยจะถือเคล็ดแบบให้เดินหันหลังเข้าคุก
“เปล่าครับ มันเป็นมาตรฐานในการจัดการด้านการระบายอากาศครับ” อาจารย์รุ่นน้องบอก
“ออ..ดูดี ดูดี” ผมสวมเสื้อกาวน์คลุมตัว สวมหมวกและหน้ากากปิดจมูก แล้วเดินเข้าไปด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก

ห้องตรวจศพดูโล่งกว้าง มีเตียงตรวจอยู่หนึ่งเตียง บนนั้นมีร่างไร้ลมหายใจนอนรออยู่ เธอคนที่มีอายุขวบเศษคนนั้นนั่นเอง และเธอพร้อมที่จะได้รับการตรวจจากทีมงานนิติเวชแล้ว ผมเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้ามา 

พวกเราพร้อมแล้ว

ผมใช้คำว่า “เรา” เพราะในทีม OSCC นั้น เรายังมีหมอเด็กอีกคนที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด นั่นคือ “อาจารย์พี่โอ๋” เธอคนนี้นี่เอง ที่แจ้งทีมให้เข้ามาช่วยดูเจ้าหนูรายนี้

อาจารย์อ๊อดเริ่มพลิกร่างกายเด็กเพื่อหาร่องรอยภายนอกอย่างละเอียดยิบ ดูไปก็อธิบายให้เราฟัง มีน้องเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์คอยช่วยถ่ายภาพและบันทึกผลการตรวจอยู่ด้วยหนึ่งคน ถ่ายภาพไป บ่นเวียนหัวไป “เธอจะเป็นลม”

“อ้าว..แล้วกัน นี่เธอยังไม่ชินอีกเหรอครับ” ผมออกจะงงเล็กน้อย เพราะโดยปกติ ศพที่มาตรวจนั้นมีความหลากหลายมาก และหลายรายมาพร้อมกลิ่น บางรายมาพร้อมหนอนยั๊วะเยี๊ยะ เธอน่าจะชินนี่นา
“เปล่าค่ะอาจารย์ หนูกำลังแพ้ท้อง” ฮา...

เมื่อตรวจภายนอกเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็ใช้มีดผ่าตัดกรีดที่หนังศีรษะเพื่อเริ่มการตรวจสมอง เราพบว่าไม่มีร่องรอยการแตกของกระโหลก เยื่อหุ้มสมองดูปกติดี อาจารย์อ๊อดเล่าว่า หากเราเปิดดูสมองแล้วพบก้อนเลือด นั่นแสดงว่า เลือดนี้ออกก่อนเด็กตาย แต่ที่เราพบคือ “เลือดไหล” นั่นคือเลือดที่ออกมาเพราะเราผ่าเข้าไปตอนนี้นี่เอง
จากนั้นไปเพียงอีกครู่หนึ่ง สมองก็ออกมาทั้งก้อน มันถูกนำไปชั่งน้ำหนัก และถูกส่งต่อไปให้พยาธิแพทย์เพื่อเตรียมการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่ง

ต่อจากนั้น อาจารย์อ๊อดก็เริ่มใช้มีดกรีดผิวหนังตั้งแต่ระดับคอลงไปจนถึงท้อง ดูชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้ออย่างละเอียดยิบ เขามองหาร่องรอยเลือดออกจากบริเวณชั้นเหล่านี้ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง อวัยวะภายในทั้งหมดก็ถูกนำออกมารับการชั่งน้ำหนักและตรวจหาความผิดปกติ

เวลาเดินไปราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาดูกระดูกเสียที คราวนี้ก็ได้ระทึกใจเพราะเมื่อผ่าลงไปถึงกระดูกต้นแขนที่หักจนแขนสั้น ลักษณะกระดูกที่บิดตัวนั้นเป็นการหักที่นานระยะหนึ่งและมันเชื่อมติดแล้ว

“เธอไม่เจ็บแย่เลยเหรอ” 
เออสินะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ไปหาหมอ ผมจำที่แม่เธอยืนยันกับทีมเราว่าเธอไม่รู้ว่าลูกแขนหัก แค่เอายามานวดให้ลูกเพราะลูกบ่นว่าเจ็บ

น้ำลายแห้งติดคอ เราเชื่อไม่ลง เพราะกระดูกชิ้นใหญ่ที่หักแบบนี้เด็กคงไม่น่าแค่บ่นว่าเจ็บ ผมจำได้ว่า เมื่อครั้งที่ลูกสาววิ่งหกล้มจนเข่าถลอกเพียงนิดเดียว เธอยังเดินกะเผลก โวยวาย และร้องไห้ไม่ยอมอาบน้ำไปทั้งคืน แต่นี่คือกระดูกหักเชียวนะครับ ไม่เชื่อก็ลองให้หักดูบ้างสักครั้ง ขนาดผมศอกแตกยังขนลุกซู่ทุกทีที่ลมพัดผ่าน แล้วอีหนูนี่มันจะเจ็บสักขนาดไหน ผมแทบจะไม่กล้าจินตนาการเลย

บริเวณซี่โครงมีจุดรอยหักเก่าๆอยู่ด้านละ ๓ จุด แต่ละจุดมีลักษณะการเชื่อมติดที่ต่างระยะเวลากัน แล้วในช่วงเวลานั้น เธอจะหายใจด้วยความทรมานสักขนาดไหน ผมจำได้ว่า ในตอนนั้น ตัวเองแอบหันหลังกลับไปเพื่อปาดน้ำตา

ร่างของหนูน้อยได้รับการตรวจตราจากทุกซอกทุกจุดและถูกเย็บร่างกายให้เหมือนปกติที่สุด 

เธอหลับตานิ่ง

ผมมองหน้าเธออีกครั้งพลางส่งจิตอธิษฐานไปให้
“ไปเถิดลูก ไปเกิดใหม่เสีย ไปเกิดกับคนที่เขาอยากให้เราเกิดและรักเรา อย่าได้ถูกรังแกเหมือนชาตินี้ภพนี้ สิ้นเวรสิ้นกรรมไปแล้ว อย่าได้จองเวรจองกรรมซึ่งกันและกันเลยนะครับ”

“พี่แป๊ะครับ จำเจ้าเด็กคนนั้นได้ไหม แม่เค้าถูกจับติดคุกไปเรียบร้อยแล้วนะครับ” เสียงอาจารย์อ๊อดดังมาทางสายโทรศัพท์ในบ่ายวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังจะตรวจคนไข้คนต่อไป

.....................

ผมละสายตาจากมือถือ และหยุดจากการบันทึก

ถ้าเจ้าหนูคนนั้นมันยังมีชีวิต ตอนนี้คงอายุราว ๑๑ หรือ ๑๒ ปี

สายการบินไทยสไมล์ในเช้าวันนี้บริการสปาเก็ตตี้ซ้อสไก่ มันคือเมนูโปรดของลูกสาวผมทั้งคู่

วันนี้ผมขึ้นมากรุงเทพฯเพื่อรอรับน้องจ้า ตอนนี้เธอกำลังอยู่เหนือน่านฟ้าอิหร่านด้วยโบอิ้ง ๗๗๗ ลูกสาวของผมไปเรียนภาคฤดูหนาวที่อังกฤษเดือนหนึ่ง และเราจะกลับบ้านกันในค่ำนี้ด้วยไทยสไมล์อีกรอบ ผมรอลุ้น ว่าเขาจะบริการอาหารอะไร คาดว่าน่าจะเป็นเบอร์เกอร์

ลูกสาวของผมมันเกิดมาโชคดี

การถูกลงโทษที่รุนแรงที่สุดจากพ่อหรือแม่ของมัน อาจจะเป็นแค่การใช้มือตีตูดดังเผียะ (แต่นั่นก็คงนับเป็นจำนวนครั้งได้) แค่เผียะเดียว เธอยังคงน้ำตาเล็ดได้นานเป็นชั่วโมงด้วยความเสียอกเสียใจเป็นล้นพ้น

ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าหนูคนนั้นมันจะต้องร้องไห้ดังขนาดไหนด้วยความเจ็บปวด หรือว่าเสียงร้องไห้นั้นมันแทบจะไม่มีเสียง เพราะมันแหบแห้งไปตั้งแต่เธอเริ่มคว่ำได้กระมัง

ธนพันธ์ ชูบุญคิดถึง
๒๘ เมย ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673108เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 14:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 14:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท