วันนี้จะขอบอกเล่าถึงความประทับใจและมุมมองในเรื่องของพระ...กับการเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากเมื่อวานนี้ได้ร่วมเป็นวิทยากรและร่วมเรียนรู้กับนักเรียนเณรจากโรงเรียนปริยัติธรรมธีรวิทยา วัดกลางพระอารามหลวง จังหวัดบุรีรัมย์ มีนักเรียนเณรมาศึกษาถึง 300 กว่ารูป ที่มีมุมมองและความสนใจที่แตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะแตกต่างในวิถีการดำรงชีวิต เพราะท่านอยู่ในเพศบรรพชิต อยู่กับความพอเพียง อยู่กับทางสายกลางและความสันโดษ แต่ท่านทั้งหลายยังสนใจที่จะมาเรียน เรียนรู้ว่าเพศฆราวาสอยู่บนความพอเพียงกันอย่างไร เพื่อจะได้นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับตนเอง กับชุมชนและสังคมต่อไป เมื่อเห็นแล้วได้แต่สะเอื้อนอยู่ในอก ท่านเป็นพระ เป็นเณร เป็นโรงเรียนที่ใคร ๆ มองข้าม แต่จัดการศึกษาได้ถูกจิตถูกใจ แล้วโรงเรียนทั้งหลายทำไมจึงใกล้เกลือกินด่าง มองภาพเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสูตรสำเร็จและรายงานเท็จด้วยการสร้างภาพไม่เลิก
นักเรียนเณรทุกรูปเรียนรู้ได้ประทับใจ ท่านนำเสนอว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือธรรม ธรรมคือธรรมชาติ คือความสัจจริง เปรียบเหมือนต้นไม้ ที่เติบโตช้าแต่คุณค่ามหาศาล ต้นไม้ไม่มีบ่น ไม่มีเบื่อ ไม่มีท้อ เจริญเติบโตได้ตามปัจจัยที่มี และเมื่อปลูกต้นอะไรก็จะได้ดอกผลของต้นนั้น ปลูกมะม่วงได้มะม่วง ถ้าเป็นต้นไม้ที่โตเร็วก็เบียดเบียนสิ่งรอบข้าง คนที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงให้ประสบความสำเร็จจึงควรมีธรรมในใจ มีอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 เมื่อมีปัญหาอุปสรรคก็ไม่ควรท้อให้ยึดหลักการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนธรรมชาติ เนื่องจากท่านเป็นพระท่านสามารถเข้าใจได้ในแง่การนำธรรมมาใช้กับเศรษฐกิจพอเพียง
การเรียนรู้ในวันดังกล่าวจึงได้บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ที่แปลกใหม่ เราครูวิทยากรก็และนักเรียนเณรทั้งหลายก็ได้สรรพนามแทนตัวเองแปลกใหม่ๆ แถบลงท้ายเวลาสอนจบด้วยคำว่า สาธุ แทนคำว่า ขอบคุณค่ะ ของคุณครับ ได้ยินได้ฟังแล้วอิ่มเอิบใจเหมือนได้บุญมากองโต
ขอบคุณค่ะ
พันดา เลิศปัญญา
ตอนนี้พอจะเริ่ม ตาเห็นธรรม หรือยังครับ
จะได้เข้าทาง ลดการเสียเวลาเสียทีนะครับ