เรียนสมาธิแล้วดีจัง…ให้อะไรกับชีวิตมากมายคะ เตือนใจ เจริญพงษ์
รู้สึกปลื้มปิติและยินดีที่มีเรื่องดีงามเกิดขึ้นในชีวิตสืบเนื่องเพราะได้ไปสมัครเรียน “ หลักสูตรครูสมาธิ รุ่น 43 “ ของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์สิรินทโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ที่วัดสิริกมลาวาส สาขา 4รวมระยะเวลา 6 เดือนเต็มๆคือเลือกลงเรียนรอบวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ ช่วงตอนเย็นเรียนไปเรียนมาแล้วรู้สึกชอบมาก เพราะเรียนแล้วมีความสุข จึงเรียนเพิ่มเติมอีกในวันเสาร์และอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับตนเอง จนสัมผัสได้ว่ามีประโยชน์มากมายสมควรแก่การถ่ายทอดกันในทุกกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นหลักสูตรและมีบทเรียนที่เหมาะสมแก่ผู้เรียนและผู้สนใจเรื่องสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ผู้เขียนขอน้อมคารวะยกย่องพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ผู้สร้างหลักสูตรนี้ขึ้น ซึ่งมีความเรียบง่ายสำหรับคนทุกกลุ่มไม่ว่าจะเคยบำเพ็ญสมาธิมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ก็จะสามารถเข้าใจบทเรียนซึ่งมีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติอย่างถ่องแท้ เรื่องราวของพระพุทธศาสนามักมีอะไรดีๆมากมาย ที่ชาวพุทธรู้แล้วว่ามีของดีแต่ยังไม่ลงมือปฎิบัติ เช่น เรื่องของสมาธิก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทรงคุณค่าแก่มวลมนุษย์ “ อาตมาตั้งความหวังไว้ว่าเมื่อนักศึกษาครูสมาธิเรียนจบหลักสูตรแล้ว ก็จะสามารถสอนสมาธิให้แก่ผู้อื่นได้เพราะจะรู้และเข้าใจเรื่องของสมาธิทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนได้เน้นการวางพื้นฐานของการทำสมาธิแบบง่ายๆเห็นผลสัมฤทธิ์ด้วยตนเอง คือ เกิดความสุขกายสบายใจ ทำให้จิตใจอ่อนโยนบรรเทาความเครียด คลายกังวล ระงับความร้ายกาจ ทำให้สมองเกิดปัญญา เจริญวาสนาบารมีเป็นกุศล และเวลาสิ้นลมพบทางดี “ พระธรรมมงคลญาณ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กล่าวไว้ตอนหนึ่งในหลักสูตรครูสมาธิ เล่มที่ 1 มาบัดนี้เรื่องการทำสมาธิได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับทั้งในเมืองใหญ่ๆ และชนบทของบ้านเรา และนานาประเทศทั่วโลก ทั้งนี้เพราะคนส่วนใหญ่ใช้พลังจิตกับกิจการงานมากเกินไป ทำให้เกิดความเครียด ความทุกข์ใจมากมาย จึงได้แสวงหาหนทางแห่งความสงบทางใจ นั่นก็คือการทำสมาธินั้นเอง สถาบันพลังจิตตานุภาพ จึงได้ดำเนินการสร้างหลักสูตรครูสมาธิขึ้นแบ่งเป็น 3 ภาค คือ สมาธิ ฌาน และญาณเพื่อจะได้แนะนำหนทางที่ถูกต้อง เพื่อสอนให้ประชาชนรู้จักการทำสมาธิ เมื่อมีครูสมาธิที่มีความรู้เรื่องสมาธิเป็นอย่างดีมากขึ้น ก็จะสามารถขยายเป็นวงกว้างต่อไปอย่างทึ่วถึง เนื่องจากการทำสมาธิจำเป็นต้องมีครูสอนที่มีความรู้จริง จึงจะสามารถแนะนำทางที่ถูกต้อง และได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง “ ด้วยใจ เชื่อมั่นและศรัทธา ด้วยวาจา ถามหาใครคือผู้รู้ ด้วยกายา ยังคงปฏิบัติสมาธิอยู่ ด้วยพลังจิต มีมากพอจึงพบผู้รู้ ด้วยผู้รู้ จึงพบจุดพลังอำนาจ” พระธรรมมงคลญาณ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล เรื่องราวต่างๆที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ ผู้เขียนได้ร่ำเรียนมาในหลักสูตรครูสมาธิ รุ่น 43 และยังศึกษาที่มาของเรื่องนี้จากหนังสือเรียนที่พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์เขียนขึ้น จากที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากการอยู่ปรนนิบัติใกล้ชิดกับหลวงปู่กงและหลวงปู่มั่นมานาน จนนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาประมวลไว้ในหนังสือหลักสูตรครูสมาธิ เล่ม 1,เล่ม2และเล่ม3 ชนิดที่ใครได้อ่านและศึกษาต้องบอกว่า “คุณภาพคับแก้วจริงๆ“ หรือยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจ และทราบซึ้ง แม้เวลาจะผ่านพ้นไปสักเท่าไรก็ตาม การฝึกสมาธิเป็นการเอาจิตปราศจากอารมณ์เครื่องยึดเหนี่ยวมิใช่ตลอดไป แต่เป็นชั่วขณะ ตามแต่จะแก้ไขได้ ทั้งนี้เพื่อมิให้จิตของบุคคลนั้นๆที่ไม่เคยพบกับสมาธิเลย มีสมาธิเพิ่มมากขึ้นก็จะสามารถยับยั้ยจิตที่ฟุ้งซ่านเป็นอันตรายที่เกิดจากความเครียดของมนุษย์ แต่สมาธิแก้ความเครียดได้ แม้จะเป็นการแก้ชั่วคราว ถ้าทำไปอย่างต่อเนื่องความเครียดต่างๆ ก็จะลดลงตามลำดับ และเกิดความสุขขึ้นในชีวิตได้เป็นอย่างดี ลักษณะของอากัปกิริยาของสมาธินั้น มีทั้งที่เป็นสมาธิธรรมชาติ ทั้งที่เป็นการนอนหลับหรือการทำงานอย่างใจจดใจจ่อ ส่วนสมาธิสร้างขึ้นนับแต่วินาทีแรก ของการบริกรรมด้วยความตั้งใจที่เริ่มต้นขึ้นว่าจะทำสมาธิ ถือได้ว่าเป็นสมาธิสร้างขึ้น คือการก่อตัวของจิตที่นอกเหนือจากธรรมชาติการทำสมาธิขั้นต้นต้องปูรากฐาน ด้วยความระมัดระวังสำคัญตอนเริ่มต้นควรจะต้องมีผู้รู้คอยแนะนำให้ สมาธิจะมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขณิกะสมาธิ ,อุปจาระสมาธิ และอัปปนาสมาธิ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เรื่องของสมาธิตื้น และสมาธิลึกอีกด้วย ตลอดจนเรื่องราวของฌาน เรื่องของญาณ และเรื่องของวิปัสนา ตามมาเป็นลำดับ สำหรับบรรยากาศการจัดการเรียนการสอนสมาธินั้น เริ่มด้วยการฟังคำสอนจากครูสมาธิรุ่นกูรู ใช้เวลา 15 นาที ต่อด้วยฟังคำสอนด้วยเสียงของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์อีก 15 นาที ต่อด้วยการย้ายไปเรียนการเดินจงกรมที่ห้องเดินจงกรมราว 30 นาที และการนั่งสมาธิที่ห้องนั่งสมาธิอีก 30 นาที รูปแบบเรียนปฎิบัติยึดแนวนี้ และกำหนดให้ผู้เรียนต้องเรียนจนครบ 100 ชั่วโมง มีการคุมเวลาเรียน เพื่อจะได้เข้าใจคำสอนอย่างถ่องแท้ กำหนดให้มีการสอบภาคทฤษฎีและสอบปฏิบัติ ต่อด้วยการไปธุดงค์ที่ดอยอินทนนท์และต้องกลับมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลรุ่นน้องอีก 6เดือน เป็นอันจบหลักสูตร หลายท่านคงแปลกใจว่าการนั่งสมาธิที่เป็นการนั่งเฉยๆแล้วกำหนดลมหายใจนั้น จะได้อะไร หากท่านลงมือปฏิบัติจริงๆ ก็จะพบว่าทำให้จิตเรานิ่ง ถือเป็นการกรองอารมณ์ และมีสติมากขึ้น ใหม่ๆความคิดอาจฟุ้งซ่าน ถือเป็นเรื่องปกติเมื่อได้ทำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะพบกับความสุขอันพิเศษ เพราะเป็นการทำจิตให้ว่างไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆทั้งสิ้น และเป็นการตัดกิเลสให้สิ้นในชั่วครู่ หากทำอย่างต่อเนื่องจนได้ผล ก็จะสัมผัสกับ…ฌาน, ญาณ และวิปัสสนาในที่สุด นอกจากนี้ขอกล่าวถึงเรื่องการทำบุญและสร้างกุศลกันสักหน่อย บุญ หมายถึงการกระทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่น เช่น ตักบาตร การบริจาคสิ่งของ เป็นต้น ส่วน กุศล หมายถึง การกระทำสิ่งดีๆนั้นให้กับตนเอง เช่น การนั่งสมาธิ เดินจงกรมเจริญสติการเวียนเทียน การฟังธรรมจนเข้าใจ เป็นต้น ดังนั้นผู้ทำกุศล แค่เพียง นั่งสมาธิเจริญสติก็จะได้กุศล ดังนั้นกุศลอันยิ่งใหญ่สุดก็คือ “ผู้ที่เห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่เที่ยง ล้วนมาจากการปรุงแต่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา " ประเด็นดังกล่าวนี้เราจึงควรพยายามใช้สติกำหนดความคิด คำพูด การกระทำ และอาชีพให้ถุกต้องตามสัมมาทิฐิ เมื่อทำได้อย่างนั้นจะมีผลสะสมตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ และทำสมาธิเพื่อ ลด ละ ล้างกิเลส ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง จึงน่าเชื่อได้ว่า การทำสมาธิได้บุญมาก เมื่อพิจารณาเรื่องของสมาธิ ผู้รู้บอกว่าสมาธิจะก่อให้เกิดบุญ คือสมาธิที่เกิดขึ้นควบคู่กับปัญญา เพราะสมาธิทั่วๆไปใครๆก็ทำได้ เช่น การจดจ่ออยู่กับการงาน การนอนหลับ ก็เกิดสมาธิเช่นกัน ในภาคพระไตรปิฎกกล่าวถึงสัมมาสมาธิไว้หลายแห่งโดยได้อธิบายความหมาย ตลอดจนลักษณะของสัมมาสมาธิ ดังเช่น จาก สติปัฏฐานสูตร พระสุตตันตปิฎกมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สติปัฏฐานสูตร เล่ม 17 หน้า 628-9 ดังนี้ “ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้า ถึงปฐมฌานมีวิตกวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอเข้าถึงทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป เข้าถึงตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญ ว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอเข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ “ ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนมาฝึกสมาธิกันเถอะ ก่อนจะเดินจงกรม และนั่งสมาธิ จะต้องหาฐานที่ตั้งของจิตก่อน - ฐานจิต คือที่อยู่ของจิต เช่น สมมุติว่าเราควรนำความรู้สึกมาไว้ที่ หน้าผาก จิต (ตัวรู้) จะอยู่ที่หน้าผาก คือบานที่ตั้งของจิต ถ้านำความรู้สึกมาอยู่ที่สะดือ จิตก็จะอยู่ที่สะดือ - เวลาฝึกสมาธิ เราจะพยายามให้จิตอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่แกว่่งไปมา - ดังนั้นจึงต้องหาฐานจิตที่กำหนดง่ายที่สุดสำหรับแต่ละคน - พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ แนะนำฐานที่ตั้งของจิตไว้ 3 ที่ คือ 1.หน้าผาก 2.หัวอกด้านซ้าย 3.สะดือ ฐานจิตเวลาฝึกสมาธิและเดินจงกรม วิธีหาฐานจิต 1.หลับตา 2.ทดสอบกำหนดจิตไปไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง ใน 3 จุดแล้ว ## การกำหนดจิต คือการนึก หรือเอาความรู้สึกของเราไว้ที่ตรงนั้น 3.เลือกฐานจิตที่ดีที่สุดไว้ 1 ฐาน สำหรับเวลาทำสมาธิ 4.เวลาเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ ควรจะกำหนดจิตไปไว้ที่ฐานจิต พยายามไม่ให้จิตส่ายไปมา วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น วิธีเดินจงกรม และนั่งสมาธิ จิตเป็นหนึ่ง คือกุญแจของการทำสมาธิ การบริกรรมจะทำให้จิตเป็นหนึ่ง ยิ่งจิตเป็นหนึ่งได้มากเท่าไร ก็จะเป็นสมาธิได้มากเท่านั้น ยิ่งเป็นสมาธิมากจิตจะผลิตพลังจิต หลายคนชอบคิดว่าการฝึกสมาธิจิตจะต้องนิ่งสงบ พอเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิแล้ว จิตไม่สงบเป็นเรื่อง ปกติของทุกคน แค่นึก พุทโธ ได้ ก็เริ่มเป็นสมาธิแล้ว ดังนั้นระหว่างเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ ถ้าจิตไม่สงบก็นึกพุทโธต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาที่จิตสงบ ## การเดินจงกรม เป็นการฝึกสมาธิตื้น ส่วนการนั่งสมาธิ เป็นการฝึกสมาธิลึก ทั้ง 2 อย่าง จะต้องทำควบคู่กันการฝึกสมาธิถึงจะสมบูรณ์ ##
ท่านใดสนใจ รีบสมัครได้ที่สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขา4 วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนา )สอบถามข้อมูล ที่ 096 762 7990 ด่วนhttps://goo.gl/KLdH3X
ไม่มีความเห็น