๗๕๕. โลกเปลี่ยนแปลง..ด้วยแรงบันดาลใจ


ผมอยู่ในสังคมชนบท เป็นอำเภอที่สงบเงียบยังไม่เจริญเท่าที่ควร สิ่งที่ผิดแผกแปลกตาไปกว่าเดิมคือการคมนาคมขนส่งมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามภาพที่คุ้นตาและชัดเจนมาก ก็เห็นจะเป็นภาพเกษตรกรรม ของเกษตรกรที่ทำนาและทำไร่อ้อย...

        ผมคิดว่าถ้าเรามีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง..จะรู้สึกถึงความน่าอยู่ของโลกใบนี้ ที่มีวิวัฒนาการในทุกๆด้าน..จึงไม่ควรมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป

    ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยี จากผู้คนในทุกมุมโลก ทุ่มเทและสร้างสรรค์ เพื่อความสงบสุข และสิ่งที่ตามมาคือความสะดวกสบาย..ของประชาคมโลก

        นับวันโลกที่เราอยู่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว..ทั้งในด้านบวกและลบ เราจะรู้สึกมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสัมผัสใกล้ชิดอยู่กับสิ่งใด และอยู่ในสิ่งแวดล้อมใดมากกว่า..

        ผมอยู่ในสังคมชนบท เป็นอำเภอที่สงบเงียบยังไม่เจริญเท่าที่ควร สิ่งที่ผิดแผกแปลกตาไปกว่าเดิมคือการคมนาคมขนส่งมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามภาพที่คุ้นตาและชัดเจนมาก ก็เห็นจะเป็นภาพเกษตรกรรม ของเกษตรกรที่ทำนาและทำไร่อ้อย...

        กิจกรรมเกษตรเล็กๆในโรงเรียน ทำให้ผมฉุกคิดถึงวัสดุที่มีการปรับปรุงแล้ว และอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ใกล้จะเปลี่ยนแปลง..ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง..

        บางทีที่อื่นๆ อาจคิดแล้วทำแล้ว..แต่ยังไม่เข้ามาแพร่หลายในชุมชนที่ผมอยู่ ผมมาบริหารโรงเรียนนี้เมื่อปี ๒๕๔๙ ตอนนั้น..กิจกรรมการปลูกผักต้องใช้ฟางข้าวเข้ามาช่วยคลุมดิน..เด็กจะนำมาจากบ้านโดยใส่กระสอบปุ๋ยมาเทไว้ที่โรงเรียนจนสูงท่วมหัว..

        ตอนนี้นักเรียนไม่ต้องนำมาจากบ้านแล้ว..เพราะที่บ้านไม่มีเศษฟางหลงเหลือ ฟางจะถูกขายให้นายทุนเพื่อนำไปอัดเป็นก้อนแล้วจำหน่ายให้แก่ผู้ที่เลี้ยงวัว..

        บ้านผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมีก้อนฟางอัดวางเรียงอยู่ข้างยุ้งฉาง ผมไปขอซื้อได้ก้อนละ ๓๐ บาท ก้อนเดียวได้ฟางมากมายและใช้ได้นานมาก

        ผมเคยคิดว่า..ฟางยังอัดได้แล้วทำไมจึงไม่นำใบอ้อยไปอัดบ้าง..ที่ผมคิดเพราะรำคาญ ในทุกๆปีช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม เศษขี้เถ้าจากการเผาไร่อ้อย เผาใบและตอซัง จะปลิวฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ

        ผมอยู่กับมลพิษ..ในสังคมชนบท ที่มีไร่อ้อยนับหมื่นไร่ ทุกครั้งที่เผาควันจะอบอวล หิมะสีดำเกลื่อนถนนหนทาง ปลิวว่อนเข้าสู่อาคารเรียนและบ้านเรือน..

        ปีนี้..พ.ศ.๒๕๖๑ กำลังจะผ่านไป พร้อมการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวเข้ามา แทบจะไม่มีการเผาไร่อ้อยให้เห็น ผมกับนักเรียนไม่ต้องแสบจมูกและไม่ต้องเก็บกวาดหิมะสีดำอีกแล้ว...

        ผมแปลกใจอยู่หลายวัน..มารู้สึกคลี่คลายและสบายใจเมื่อมองไปยังทุ่งกว้างที่เคยเป็นไร่อ้อย..แต่ตอนนี้เหลือเพียงใบอ้อยแห้งกระจายปูพรมอยู่บนพื้น มองดูอ่อนนุ่มเหลือเกิน..

        ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็พบใบอ้อยก้อนใหญ่ ที่ถูกเครื่องจักรบดอัดจนแน่น แต่ละก้อนเท่ากัน วางไว้เต็มพื้นที่นับร้อยก้อน มองไกลออกไปก็เห็นรถเครื่องจักรกลกำลังทำงานเพื่อบดอัดใบอ้อยให้แล้วเสร็จ..

        อย่างนี้นี่เอง..ที่ทำให้ผมไม่เห็นเปลวไฟและควันดำฟุ้งกระจาย..นับเป็นนิมิตหมายที่ดี และนี่คือสิ่งหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของโลก..ที่สร้างสรรค์

        ขอบคุณ...ใครก็ไม่รู้ที่มีแรงบันดาลใจที่ดีงาม ช่วยให้สังคมโลกน่าอยู่และช่วยลดปัญหาโลกร้อน ตลอดจนคิดเทคโนโลยีมาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ใบอ้อย อย่างน้อยก็ได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป..เช่นทำกระดาษ ทำกระดานชานอ้อย หรืออาจนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ก็อาจเป็นได้

        ดังนั้น..การดำรงอยู่บนโลกใบนี้ สำคัญที่สุดคือวิธีคิด..คือคิดอย่างพอเพียงและมีเหตุมีผล บนพื้นฐานที่พอดี..นั่นเอง

        ผมลดสายตาจากการมองไกลไปในทุ่งกว้างของไร่อ้อย หันกลับมามองดูแปลงนาผืนน้อยของผม วันนี้ผมจะไม่ไถกลบและไม่เผาตอซัง แต่ผมจะหว่านเมล็ดงาลงไป..เพื่อบำรุงดินและสร้างผลผลิตหลังฤดูทำนา..

        แรงบันดาลใจจากไร่อ้อย..ทำไรได้ต้องรีบทำ....

ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๑๘  ธันวาคม  ๒๕๖๑

หมายเลขบันทึก: 658811เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2018 21:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม 2018 21:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อ่านเพลินดี ชอบมากครับภาพช่วยเล่าเรื่องได้ชัดเจนดีครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท