วันก่อนมาดูบันทึกตัวเองรู้สึกว่าบันทึกย้าวยาว จะมีคนอ่านไม๊นี่ แต่มองดูอีกทีก็คิดว่าดีแล้วครับที่รวมทีเดียวไม่ต้องทำลิงค์ให้เหนื่อย อิอิ ใครเข้ามาอ่านก็เหนื่อยหน่อยนะครับ วันนี้วันที่ผมเริ่มจับจิกซอร์ต่อทีละตัวจนเริ่มมองเห็นภาพรวมแล้ว
เป็นเพราะหลักสูตรเรียนรู้วันนี้มาจากหลายหน่วยมาก แต่ผมฟังแล้วมันมีบางอย่างที่ร่วมกันอยู่ นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของแต่ละโครงการนั่นเอง
พอแต่ละอันแย้มเปิดออกมาทีละนิด ทีละนิด ผมเองก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นเป้าหมาย (กรุณาอย่าคิดลึกนะครับ)
ยกตัวอย่างนะครับ
คนแรกที่เปิดให้ผมเห็น คือนพ.ทวีทอง กออนันตกูล จากรพ.ทรวงอกและท่านทำให้ผมรู้ว่าท่านเองเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มทำ HOMEC มาให้พวกผมได้ใช้ แถมเป็น Open source software (คือทำให้ฟรี+ให้โค้ดข้อมูลอีกต่างหาก) ส่วนที่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกวันนี้คือ ค่าดูแลรักษาจากบริษัทที่เราจ้างมา (จริงดิ)
ท่านเองก็รับตำแหน่งหลายอย่างควบด้วย อย่างหนึ่งคือ เกี่ยวกับการดูแล+สนับสนุน Open source software ที่เกิดใหม่นี้เอง ด้วยท่านมองว่า คนทำโปรแกรมรพ. มีการเอาเปรียบภาครัฐมากพอควร กล่าวคือ ชาร์จค่าโน่น ค่านี่บานตะไท แถมพอให้ไปลงที่ใหม่เพิ่มก็ชาร์จเท่าเดิมอีก (ทั้งๆ ที่ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย มาลงอย่างเดียว) แทนที่จะมีลดอะไรมั่ง
ท่านจึงได้หาทางโดย พยายามรวมเหล่านักคิดพัฒนาซอฟแวต์จากในวงการเดียวกันมาช่วยกันและสนับสนุนพวกเขาให้สร้างขึ้นมาเองและแจกจ่ายให้ทุกที่ๆ มีความต้องการเดียวกันได้ใช้
ผมฟังแล้วขนลุกเลยครับที่มีเหล่าพวกท่านอยู่ ที่เจียดเวลาว่างมาทำงานเพื่อส่วนรวมจากงานประจำที่เหนื่อยอยู่แล้ว แถมทำให้ฟรีๆ อีก....
ที่ผมพูดบันทึกที่แล้ว กล่าวถึงพี่ชัยพรที่เป็นผู้พัฒนา HOSXP ขึ้นมา วันนี้ผมได้คุยกับพี่อู๋ เขาบอกว่าถ้าเอาไปขายนั่นเอาไปขายได้เป็นล้าน/รพ.เลยนะนั่น...ผมอึ้งไปนิดนึงครับ คนที่สามารถทำเงินได้ขนาดนั้น เขามาทำให้ 100 กว่ารพ. แต่เขากลับทำโดยไม่ได้หวังค่าอะไรเลย เขาทำไปเพื่ออะไร เขายอมเหนื่อยเช่นนี้เพราะอะไรยิ่งช่วงแรกๆ ได้ข่าวว่าพี่เขาวิ่งจากงานประจำมาลงโปรแกรมให้ที่ต่างจังหวัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไร ผมตอนนั้นคิดในใจว่าเรื่องจริงหรือ
เอ่อ..เดี๋ยวจะไปไกลครับ
พูดถึงเรื่องมุมมองอยู่นะครับท่านอาจารย์มองงี้ครับ การให้คนในวงการหันมาใช้โปรแกรมพวกนี้เพราะเพื่อจัดการให้ทุกหน่วยได้ทำงานได้ง่ายขึ้น และถ้าคนในวงการมาทำเองแล้วด้วยมันก็จะง่ายไปอีก คือ สามารถพัฒนาต่อยอดได้ ซ่อมแซมบำรุงเองได้ โยไม่ต้องไปง้อต่างประเทศหรือเอกชน เข้าหลักเศรษฐกิจพอเพียงเลยครับ
แพทย์ทำ
แพทย์ใช้
แพทย์ซ่อม/ปรับปรุง
เงินไม่ไหลออกนอกระบบ
(จริงๆ ไม่มีเงินจะให้ไหลเท่าไหร่ด้วย)
ซึ่งในงานเช้านี้มีอาจารย์มาพูดถึงโครงการตนเอง 7 คน ด้วยกัน แต่ละท่านมีไอเดียที่ทำลงมือแล้ว ได้ผลแล้ว ซึ่งย่าทึ่งทั้งนั้นครับไม่ว่าจะเป็น
จบช่วงเช้าแล้วครับ พักสายตานิดนะคร้าบ......
ช่วงบ่ายเริ่มจากโปรแกรมต่ออีกแล้วครับเริ่มด้วย
KPbook เอกสารไร้พรมแดน+paperless
เป็นโปรแกรมส่งจดหมายอิเล็คโทรนิคในหน่วยงานครับวิทยากรมี 2 ท่านแหนะครับ
ท่านหนึ่งเป็นสสจ.ขอนแก่น อธิบายผลดีจากการใช้โปรแกรมดังกล่าว ผลลัพธ์คือ ลดการซีร็อกเอกสาร+ใช้กระดาษลงมาก
อีกท่านที่มาให้อีกมุมคือ ท่านมาจากรพ.ชุมชนที่รับเรื่องจากส่วนกลาง พบว่าการที่ส่วนกลางลดงานพิมพ์ลงแต่กลายมาเป็นปลายทางพิมพ์แทน ท่านเลยหาทางแก้อยู่ครับเพราะกลายเป็นให้ข้างล่างแบกภาระไป...(เอ..รู้สึกเข้าตัว แฮะ)
ท่านก็หาวิธีแก้อยู่ครับ แต่ไม่ได้มีข้อไม่ดีอย่างเดียวนะครับการรับส่งแบบนี้จะทำให้การจัดเอกสารทำได้ง่าย ลดพื้นที่ๆ ใช้เก็บ เวลาหาก็สะดวกด้วยครับฟังแล้วได้ไอเดียหลายอย่างครับ เกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสาร
ต่อมา นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ มาพูดเรื่อง
โปรแกรมระบบงานหน่วยบริการปฐมภูมิ (e-care-1) ที่ทำให้ท่านได้รางวัลมาแล้ว
คือ การนำ PDA มาบันทึกข้อมูลผู้ป่วยทั้งในและนอกสถานีอนามัยทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวกไม่ต้องรื้อ+แบกแฟ้มบันทึกไปไหนมาไหนเอาไปบันทึกด้วย
นอกจากนี้ท่านยังทำให้มีการส่งข้อมูลไปยังส่วนกลางเพื่อไปอัพเดตข้อมูลและที่ส่วนกลางนี่เองที่เป็นฝ่ายดูแลข้อมูลแทน+ทำให้มีการใช้ข้อมูลได้ทั่วทุกฝ่ายผ่านทางเว็บดังนี้ครับ
เช้า-สถานบริการอัพเดตข้อมูลจากส่วนกลาง ลงข้อมูลคนไข้ที่มารักษา
บ่าย-เจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมชุมชน บันทึกอาการ/การดูแล+อื่นๆ เช่น ที่อยู่(ถ่ายรูปบ้านด้วย)
เย็น-เจ้าหน้าที่เอาข้อมูลลงคอมพิวเตอร์และส่งต่อที่ส่วนกลาง
ท่านทำให้ผมมองเห็นว่านี่แหละคือ สิ่งที่พวกท่านอาจารย์ทั้งหลายพยายามทำมา เพราะท่านทำสำเร็จมาแล้วขั้นหนึ่ง ขั้นต่อไปคือ การแชร์ข้อมูลการรักษาจากรพ.มาร่วมด้วย และรวมทั้งจากสสจ. มารวมไว้ด้วยกันเป็นฐานข้อมูลการแพทย์ขนาดใหญ่ที่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าไปดึงมาใช้ได้ โดยท่านพัฒนาเป็น
e-care-2 สำหรับ รพ.
e-care-3 สำหรับ สสจ.
ท่านยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ที่น่าทึ่งครับ เช่น
ถ้าเราระบุพิกัดที่อยู่ครบเราก็จะสามารถจิกตามได้ครับว่า คนไข้ป่วยโรคระบาดอยู่จุดไหน ถ้าแถบไหนมากอาจต้องจัดหน่วยแพทย์ลงไปดู, หรือถ้าใครมีหมู่เลือดหายากอาจเข้าไปขอความร่วมมือบริจาคเลือดได้เลยแทนที่ต้องไปป่าวประกาศโท่งๆ ขอบริจาค
แฮ่กๆ พักยกดูดนมก่อนครับ (ไม่น่าเชื่อ 3 หน้ากระดาษแล้ว)
ต่อมาคุณนภดล มาแนะนำการใช้ PHP มาทำประโยชน์ในการวิจัยโดยทำให้สามารถคำนวณสูตรต่างๆ ได้เลยโดยไม่ต้องใช้ SPSS แต่ท่านบรรยายด้วยเวลาอันรวดเร็วมากจนผมตามไม่ทันเลยได้แค่นี้ครับ (5นาทีจบเป็นได้ไงเนี่ย)
ช่วงท้ายครับ บ่ายสามโมง เรื่องสุดท้าย
“การพัฒนา Electronic Medical Records ในโรงพยาบาล”
โดย พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ จากรพ.บำรุงราษฎร์
เนื่องจากผมเริ่มเหนื่อยแย้ว ขอสรุปสั้นๆ นะครับท่านบรรยายถึงความเป็นสากลของการลงรหัสโรคและยาและอื่นๆ ครับว่ามันยังตกลงพัฒนาต่อยอดกันอยู่รวมทั้งความยากลำบากในการแปลงข้อมูลทุกอย่างมาเป็นดิจิตอล ว่ายากเย็นแสนเข็ญยังไง กว่าจะได้แบบทุกวันนี้สุดท้ายท่านโชว์โปรแกรมที่จะใช้ในอนาคตครับว่ามันยอดเยี่ยมกระเทียมดองแค่ไหน เป็นระบบให้แพทย์ติ้กครับว่าตรวจอะไรบ้าง ได้ผลยังไง
แพทย์ไม่ต้องคีย์เลยครับแค่ติ้กๆๆๆๆ เสร็จตรวจหมดติ้กต่อว่าตรวจแล็บหรือสั่งยาต่อ (มันจะยอดไปแล้วนะ)เป็นการเข้าดูด้วยความอิจฉาตาร้อนจริงๆ ครับ ที่ได้เห็นรพ.ที่มีไอทีเพียบพร้อม
แต่ท่านสอนผมอย่างหนึ่งครับการสอนคน(ผู้ใช้) นั้นยากเย็น โดยเฉพาะแพทย์นี่แหละ ท่านบอกหลักให้ดังนี้ครับ
· ผู้นำต้องชัดเจน ชี้ขาด ไม่หวั่นไหว
· Comunication ให้เข้าใจว่าทำไมเราทำอย่างนี้
· Training โดยคนสอนต้องเตรียมพร้อมที่จะสอนตลอดเวลา 24 ชม. 365 วัน... (ท่านว่าถ้าไม่ทำยังงี้เดี๋ยวแพทย์จะอ้างว่าไม่มีคนสอน)
· Comunication ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำได้
สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปตัวเองจากที่ได้วันนี้ครับ
ทุกอย่างในการทำงานเรากำลังทยอยกลายเป็นข้อมูลดิจิตอล เพราะมีข้อดีดังนี้ครับ
· การจัดเก็บค้นหาสะดวก
· ลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล(งาน)
· การส่งต่อเชื่อมโยงข้อมูลทำได้ง่าย
· ข้อมูลครบถ้วน อัพเดตใหม่เสมอ
· ทำให้ทุกหน่วยทำงานได้เร็วขึ้น+มีประสิทธิภาพมากขึ้น
· คนทำงานมีเวลาไปพัฒนางานของตน+ค้นข้อมูลทำวิจัยได้ง่ายขึ้น ข้อเสียไม่ใช่ว่าไม่มีครับเพียงแต่ประโยชน์มันมากกว่ามากลองนึกภาพเล่นๆ นะครับ
คุณหมอถามพยาบาล
-ขอดูข้อมูลคนไข้ปอดบวมปีนี้หน่อย
...3 นาทีผ่านไปได้คำตอบ
-ขอดูหน่อยสิว่าเคสไหนตายบ้างในปีนี้
....5 นาทีผ่านไปจากการเปิดดูแฟ้มตะกี้ทุกอัน
-ช่วยดูหน่อยสิว่าคนไข้ที่ตายอยู่ที่ไหนบ้าง ที่ไหนพบบ่อยสุด
.......10 นาทีผ่านไป จากการนั่งจดข้อมูลทีอยู่ทุกคนมาให้ดู+นั่งนับให้
ซึ่งหมอคงจะไม่อยากถามต่ออีก ถ้าเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ
แล้วถ้าระบบดังกล่าวจะช่วยคุณได้ โดยคุณเพียงเปิดเน็ตแล้วคลิ้กหาเหมือนหาจาก google ตั้งค่าที่ต้องการหา “ปอดบวม”,”ที่อยู่”,”ช่วงวันที่ค้น”เรียงลำดับจากชื่อ จำนวน ตามใจชอบ แล้วเซพงานหรือจะพิมพ์ออกมาก็ได้ในเวลาไม่ถึงนาที ถ้าเป็นคุณจะเลือกวิธีไหนครับ
ทั้งนี้ระบบนี้เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเลยต้องมีการเชื่อมข้อมูลทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน ซึ่งตอนนี้มีระบบแปลงข้อมูลให้เข้ากันได้อยู่ที่ส่วนกลางแต่ที่ยากที่สุด คือ “คน”ครับ
ทุกวันนี้ซอฟแวต์ เทคโนโลยีไปไกลแล้ว แต่คนละครับก้าวตามทันหรือยัง ตามไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่องานตนเอง รวมทั้งต่อยอด+แก้ปัญหาได้คนใช้ที่บันทึกข้อมูลต้องใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง ข้อมูลจึงจะน่าเชื่อถือและนำไปใช้ได้จริง
แล้วระบบในฝัน (ที่เคยเห็นในหนัง) จะเป็นจริงขึ้นมาได้ซะที
ปล.ผมยังมองภาพของหน่วยงานตัวเองไม่ออกครับว่าจะเอามาโยงยังไง ต้องตั้งสตินึกดีๆ
บันทึกนี้ยาวกว่าเมื่อวานอีกครับ 1 ชั่วโมงครึ่งกับความยาว 4 หน้าเต็ม...บรื๋อ
มาให้กำลังใจอีกคนค่ะ เห็นด้วยค่ะว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จอยู่ที่ คน จริงๆ
พี่ไมโต
อ.จันทวรรณ
แหะๆ ไม่เจอขอนับแต่ได้เห็นอ.แวบๆ พอดีต้องไปเข้าห้องอีกห้องครับเรื่อง opensource พลาดมา 2 รอบแล้วผม ฮือๆ
พี่ปิ่ง