หากอ่านเพียงแค่หัวข้อเท่านั้น บางคนอาจจะสงสัยว่า บันทึกนี้เกี่ยวกับอะไรกันนะ? "บันทึกน้ำตา 1 ลิตร" คืออะไร? เป็นเรื่องเศร้าหรือเปล่า? ก่อนอื่นก็ต้องแนะนำให้ทุกคนได้รู้ที่มาของชื่อบันทึกนี้เสียก่อน "บันทึกน้ำตา 1 ลิตร" เป็นชื่อของหนังสือที่ฉันชื่นชอบ และประทับใจมากที่สุด จากชื่อหนังสือ ทุกคนก็คงจะต้องคิดว่าหนังสือเล่มนี้ต้องเศร้ามากแน่ ๆ ซึ่งหากจะบอกว่าไม่เศร้าก็คงจะโกหก แต่ภายใต้ความเศร้านั้นก็มีแง่คิดดี ๆ มากมายอยู่ในนั้นที่ทำให้ฉันหลงรัก
.
.
.
.
ฉันรู้จักหนังสือเล่มนี้จากซีรี่ย์ญี่ปุ่นเรื่อง "บันทึกน้ำตา 1 ลิตร" ซึ่งเป็นซีรี่ย์ที่สร้างมาจากหนังสือเล่มนี้ โดยหนังสือเล่มนี้เป็นการเขียนบันทึกของคุณ Aya Kito ที่บันทึกเรื่องราวของเธอหลังจากที่ร่างกายของเธอเริ่มมีปัญหาในการควบคุมกล้ามเนื้อจนเขียนอะไรต่าง ๆ ลำบากขึ้น สาเหตุของอาการของเธอมาจากการที่เธอป่วยเป็นโรค Spinocerebellar Degeneration/Spinocerebellar Ataxia โดยโรคนี้เกิดจากสมองส่วน Cerebellum ที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการค่อย ๆ หดตัวลง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการส่งข้อมูลไปยังสมองส่วนอื่น ทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว การรักษาสมดุล
.
.
.
Aya Kito เป็นเด็กมัธยมคนหนึ่งที่มีชีวิตประจำวันไม่ต่างจากเด็กมัธยมคนอื่น ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเริ่มสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองในการควบคุมร่างกาย เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ดั่งใจในบางครั้ง หรือแม้กระทั่งตอนที่ล้ม โดยปกติมือจะต้องคอยยันพื้นไว้เพื่อป้องกันการกระแทก ซึ่งเป็นการตอบสนองอัติโนมัติของร่างกาย เธอกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอล้มจนคางแตกแต่มือเธอกลับไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ นั่นทำให้คุณหมอสงสัยเป็นอย่างมาก และได้ทำการตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด รวมไปถึงการทำ CT Scan
.
.
ผลจากการตรวจร่างกายครั้งนั้นทำให้พบว่าสมองส่วน Cerebellum ของเธอเกิดความผิดปกติ มีการหดตัวลง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมีปัญหาในการควบคุมร่างกายของเธอ และสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอเสียใจมากคือ โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ ทำกายภาพบำบัดเพื่อให้อาการทุเลาลง และอาการจะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ จนพูดไม่ได้ และสุดท้ายอาจต้องนอนอยู่เฉย ๆ ซึ่งในตอนนั้นเธออายุเพียงแค่ 14 ปี เท่านั้น และนี่คือสิ่งที่เด็กอายุ 14 ปี ต้องแบกรับ และต่อสู้กับมันไปตลอด
.
.
หากเป็นเรา เมื่อรู้ว่ามันไม่มีทางรักษาให้หายขาดก็คงจะหมดกำลังใจ อาจไม่พยายามที่จะสู้กับมันแล้ว แต่กับ Aya ไม่เป็นเช่นนั้น เธอพยายามต่อสู้กับโรคนี้ พยายามใช้ชีวิตทั้งที่บ้าน และในโรงเรียนแบบปกติ พยายามพึ่งพาคนอื่นให้น้อยที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอไม่สามารถเดินได้ เป็นอุปสรรคในการเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ เป็นอย่างมาก นั่นทำให้เธอต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับผู้พิการ
.
.
ก่อนที่เธอจะย้ายไป เธอพยายามพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เพราะเธอไม่อยากย้ายโรงเรียน จนวันที่เธอทำใจยอมรับได้ว่ายังไงเธอก็ต้องย้ายไปโรงเรียนสำหรับผู้พิการ เธอก็ได้กล่าวลาเพื่อน ๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก และเธอเสียน้ำตาไปมากกว่า 1 ลิตรกว่าเธอจะตัดสินใจได้
.
.
เมื่อเธอย้ายโรงเรียน เธอก็ใกล้ชิดกับหมอ พยาบาล นักกายภาพบำบัดมากขึ้น จนช่วงหนึ่งเธอเริ่มมีปัญหาในด้านการพูด การเขียน เริ่มเขียนไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอเขียนบันทึกเรื่องราวของเธอลงในสมุดตามคำแนะนำของคุณหมอ โดยบันทึกทั้ง 46 เล่มของเธอได้ถูกตีพิมพ์ ให้ผู้คนได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจ ซึ่งในบันทึกมีเนื้อหาต่าง ๆ มากมาย แต่มีประโยคที่ฉันอ่านแล้วรู้สึกจุกมาก นั่นก็คือ "ฉันมีชีวิตต่อเพื่ออะไรกันนะ" "โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ" แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามมีชีวิต ต่อสู้กับโรคของตัวเองอยู่ตลอด จนกระทั่งเธออายุ 25 ปี เธอก็จากโลกนี้ไป
.
.
.
เรื่องราวของคุณ Aya Kito ทำให้ฉันคิดได้ว่าชีวิตของเราไม่แน่นอน อุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาก็เพื่อให้เราได้ต่อสู้กับมันเพื่อที่จะเกิดเป็นเราคนใหม่ที่แกร่งมากขึ้น อย่างคุณ Aya ที่ต้องต่อสู้กับโรคนี้ ต้องเห็นตัวเองไม่สามารถทำในสิ่งที่เคยทำได้ไปทีละอย่างเรื่อย ๆ นั้นมันทรมานหัวใจมากแค่ไหน แต่การที่คุณ Aya สามารถผ่านความเสียใจนั้นไปได้ แล้วกลับมาต่อสู้กับโรคนี้ได้นั้นก็เพราะกำลังใจที่ดีจากครอบครัว และเพื่อน ๆ ฉันจึงคิดได้ว่าเราไม่ควรจะมองข้ามคนใกล้ตัวที่อยู่เคียงข้าง และเป็นกำลังใจให้ฉันมาโดยตลอด เพราะในยามที่เราเจออุปสรรคต่าง ๆ เราสามารถหากำลังใจได้จากพวกเขา แล้วเราก็ตวรตอบแทนด้วยการเป็นกำลังใจที่ดีให้กับพวกเขาเช่นกัน
เขียนบันทึกขนาดนี้ ก็ต้องให้คะแนนเต็มนะสิ ;)..
อ่านบันทึกแล้วเหมือนได้อ่านหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ
เหมือนได้อ่านไปพร้อมๆกัน
หนังสือดีมาก ๆ เลยค่ะ
หนังสือเล่มนี้น่าอ่านมากๆ
ชีวิตของคนเราไม่แน่นอนจริงๆ ค่ะ
หนังสือเล่มนี้น่าสนุกนะคะ
น่าอ่านนะคะครู
เป็นหนังสือที่ดีค่ะ
ควรให้ความสำคัญที่อยู่ใกล้เรา เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เห็นด้วยครับ
หนังสือน่าอ่านมากเลยคะ ^^
น่าอ่านมากเลยครับ
หนังสือเล่มนี้น่าอ่านมากครับ
เป็นหนังสือที่ดีครับ.
เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากค่ะ
น่าอ่านมากค่ะ
น่าสนใจมากจ้า
น่าสนใจมากคะ
ซาบซึ้งมากเลยค่ะหนังสือเล่มนี้
เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งคะ
เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากค่ะ