ผู้เขียนเคยสงสัยว่า ทำไมนักวิชาการช่างเสนอความคิดเห็นติติงเก่งจริงๆ แต่ให้ทำเองไม่ค่อยได้ผล หรือบางครั้งในการเสนอความเห็นบอกแต่ข้อบกพร่อง ไม่เสนอทางแก้มาให้เลยด้วยซ้ำ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นทั้งที่บางคนก็เก่งสารพัด มีปริญญามากมายและก็รู้ทั้งรู้ว่าเสนอความเห็นไปนักปฏิบัติหรือผู้บริหารก็ไม่รับความคิดนั้น แต่ก็ยังช่างเสนอเสียจริงๆ ในการเรียนการสอนที่โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง วันหนึ่ง ได้คำตอบนี้โดยบังเอิญ จึงคิดว่าน่าจะขยายผลต่อ เพื่อความเข้าใจอันดีจะมีเพิ่มขึ้น
เหตุการณ์มีอยู่ว่า ในการระดมสมองหาคำตอบว่าวิธีการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับกองทัพอากาศนั้น มีวิธีการใดที่ นายทหารนักเรียนโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง จะช่วยกันทำได้บ้าง หนึ่งในหลายๆ วิธีที่ระดมสมองได้ คือ การทำความเข้าใจกับประชาชนผู้เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจลักษณะการทำงานของกองทัพอากาศไปในทางที่ถูกที่ควร ซึ่งก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกหน่วยงานราชการ สมควรทำเช่นนั้นกับประชาชนเจ้าของภาษีที่ราชการนำมาใช้อยู่แล้ว ความจริงบทเรียนควรจะจบไปเพียงแค่การสอนเทคนิคการระดมสมอง แต่ด้วยความช่างสงสัยของผู้เขียนซึ่งทำหน้าที่อาจารย์ประจำสัมมนา (Directing Staff) และมีความสงสัยแต่เดิมมาว่า ทำไมนักวิชาการส่วนใหญ่ เวลาพูดถึงยุทธศาสตร์การพัฒนา จะบอกว่า “ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” แต่พอผู้ปฏิบัตินำไปใช้ ข้อความนี้จะถูกจัดเรียงลำดับใหม่ใช้ว่า “ เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา” ความแตกต่างนี้เห็นได้ชัดในการพูดอธิบายผ่านสื่อมวลชน และป้ายประกาศในการประชุมของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีเพลง และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อีกหลายรายการที่สะท้อนความแตกต่างนี้ ... หากเราซึ่งเป็นข้าราชการ เข้าใจไม่ตรงกันเสียแล้ว ข้อความนี้ยังจะเรียกว่า ยุทธศาสตร์ได้อยู่อีกหรือ ? เมื่อความสงสัยกับบรรยากาศในการเรียนการสอนเอื้ออำนวย ผู้เขียนจึงถามนายทหารนักเรียนในห้องสัมมนา ซึ่งเป็นนายทหารยศเรืออากาศเอก ชาย ๑๓ คน หญิง ๑ คน โดยถามว่าระหว่าง “เข้าใจ” กับ”เข้าถึง” ในยุทธศาสตร์การพัฒนานั้น อะไรควรมาก่อนกัน คำตอบที่ได้แบ่งเป็น ๒ ฝ่ายจริงๆ ผู้เขียนถามต่อว่า ถ้าเราเข้าถึงพื้นที่หรือเข้าถึงตัวบุคคลได้ เรียกว่าเข้าถึงแล้วใช่หรือไม่ นายทหารนักเรียนมีท่าทีลังเลสงสัย ผู้เขียนเห็นว่าในกลุ่มมีผู้ชายเกือบทั้งหมด จึงถามใหม่ว่า ถ้าเรากอดผู้หญิงได้แสดงว่าเราเข้าถึงสาวคนนั้นแล้วใช่หรือไม่ หลายคนบอกว่าใช่ อีกหลายคนนั่งอมยิ้มผู้เขียนเดาว่า น่าจะกำลังคิดถึง “ระดับของการเข้าถึง” สาวคนนั้นเป็นแน่ ฉับพลันความสงสัยก็กระจ่างขึ้นมาอย่างไม่คาดหมาย เมื่อนายทหารนักเรียนหญิงคนเดียวในห้องตอบเสียงดังว่า “อย่างนี้เรียกว่า ถึงตัว แต่ไม่ถึงใจค่ะ” สรุปวันนั้นได้คำตอบว่า เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เรียงลำดับไว้ถูกต้องแล้ว แต่ผู้เขียนก็ยังไม่สิ้นสงสัยอยู่ดีว่า ทำไมนักคิดกับนักปฏิบัติ จึงเข้าใจไม่ตรงกันได้มากๆ เห็นได้จากยุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวที่ยังมีความแตกต่างอยู่จนบัดนี้ รวมไปถึงการชุมนุมต่อต้านและสนับสนุน ความคิดของการสมานฉันท์ในปัญหาชายแดนภาคใต้อีกหลายครั้งด้วยกัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกันในโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง ก็ช่วยให้ได้คำตอบ หลังการประชุมผู้เขียนถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ต่างกอง ว่า “ ทีหลังอย่า เสนอปัญหามาอีกนะ เพราะเสนอแต่ปัญหา ไม่ยอมหาทางออกมาให้ด้วย ”ผู้เขียนก็ตอบกลับไปว่า “ก็เวลามีจำกัด และเห็นปัญหาก็บอกออกไปให้ผู้ปฏิบัติหาทางแก้ไข น่าจะดีกว่าปล่อยให้ทำจนเกิดปัญหา แล้วค่อยบอกทาง
แก้ไขนะ” หลังเถียงกันพักใหญ่ เราก็ได้คำตอบว่า นักวิชาการมีหน้าที่บอก ก็ควรทำหน้าที่ คือบอกถ้าเห็นว่าจะเป็นปัญหา แต่จะดีกว่าถ้าบอกหนทางแก้ปัญหาไปด้วย เมื่อบอกไปแล้วก็ต้องทำใจว่า คนทำจะทำได้แค่ไหน ก็เป็นเรื่องของคนทำ ซึ่งอาจมีข้อจำกัดอีกหลายประการ ที่เรายังมองเห็นไม่หมด หรือยังไม่เกิดขึ้นในเวลานั้นก็ได้ ผู้ปฏิบัติเองก็ต้องยอมรับว่า การบอกนั้นเป็นการทำหน้าที่ของนักวิชาการ ซึ่งอาจไม่มีหน้าที่ ไม่มีโอกาส หรือไม่รู้ข้อจำกัดมากเท่าผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่จริง แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นความหวังดีที่จะช่วยป้องกันหรือแก้ปัญหา ก็น่าจะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างนั้นไว้ แล้วนำไปหาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสม ให้เกิดเป็นผลดีต่อไป ดังนั้นการเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
ว่าเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน และกำลังทำหน้าที่ช่วยกันอยู่ ความเข้าใจเช่นนี้น่าจะช่วยลดความขัดแย้งได้ กลับมาที่ยุทธศาสตร์การพัฒนาอีกครั้ง ผู้เขียนเกิดความคิดใหม่ หลังการมองจากปัญหาการกอดสาว ที่ถามนายทหารนักเรียนโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูงไปก่อนหน้าที่จะมีปัญหาจากการประชุมนี้ คือคิดว่า การที่ผู้ปฏิบัตินำยุทธศาสตร์การพัฒนาไปเรียงเสียใหม่ใช้เป็นว่า “เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา“ นั้น น่าจะมาจากข้อจำกัดในการปฏิบัติที่ต้องเข้าใกล้ก่อนเพื่อหาโอกาสสร้างความเข้าใจก็เป็นได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่า วิธีการ “เจ้าชู้ยักษ์” หรือการคลุมถุงชนในยุคนี้ยังจะใช้ได้ผลอยู่อีกหรือไม่ เพราะสาวยุคใหม่อาจสวนกลับมาแรงๆ ไม่ใช่แค่เพียงคำตอบอย่างที่เจอในห้องสัมมนาของโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูงก็เป็นได้ และนี่แค่เรื่องกอดสาวเท่านั้นนะ ไม่ใช่ยุทธศาสตร์การพัฒนาซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ชนิดเทียบกันไม่ได้ แต่สรุปแล้วเรื่องของ”การทำความเข้าใจ” เป็นเรื่องสำคัญจริงอย่างที่ผลการสัมมนาระดมสมองของนายทหารนักเรียน หลักสูตรชั้นผู้บังคับฝูงได้ข้อสรุปออกมานั่นเอง หากท่านผู้อ่านเห็นเป็นอย่างอื่น ขอความกรุณาช่วยชี้แนะเพื่อความเข้าใจด้วย
หมายเหตุ
โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูงจัดการศึกษาอบรมให้แก่ นายทหาร นายตำรวจ ยศเทียบเท่าเรืออากาศเอกมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ ปัจจุบันเป็นหน่วยงานในสังกัดสถาบันวิชาการทหารอากาศชั้นสูง กองบัญชาการฝึกศึกษาทหารอากาศ นายทหารนักเรียนรุ่นปัจจุบันเป็นรุ่นที่ ๑๐๙ มีจำนวน ๑๖๘ คน ส่วนใหญ่เป็นทหารอากาศ แต่ก็มี ตำรวจ ทหารบก ทหารเรือ รวมทั้งทหารมาเลเซีย มาเรียนรวมด้วย