851. พูดให้ชนะแบบ "สุมาอี้"


ผมยิ่งศึกษาสามก๊ก ยิ่งมองเห็นอะไรบางอย่าง ยิ่งล่าสุดผมได้อ่านงานวิจัยทางจิตวิทยา เขาบอกว่าคนที่แตกฉานในเรื่องอะไร จะพูดออกมาเป็นปรัชญา หรือไม่ก็คำคมครับ ... ว๊าว ผมเห็นเลย ... ผู้นำทุกคนในสามก๊กที่ตั้งก๊กได้ กุนซือเก่งๆ ล้วนแล้วแต่มีคำคม มีปรัชญา นั่นหมายถึงทุกคนแตกฉานในสิ่งที่ตนทำอยู่นั่นคือกลยุทธ์ ...ถ้าเชี่ยวชาญ จนพูดออกมาเป็นคำคม ก็จะชัดเลยว่ามีส่วนสำคัญต่อการสร้างอาณาจักร เป็นดัชนีชี้วัดเลย.. ใครไม่ผลิตคำคมดีๆ ก็ไม่ได้เป็นใหญ่ ดูรุ่นลูก รุ่นหลานครับ ไปหมดเลย 

การที่คนเราแตกฉานในสิ่งที่ทำ ทำให้ไปได้ไกล 

...แต่เอ๊ะ แต่ใครไปได้ไกลสุดนะ ก็ต้องเป็นสุมาอี้ เพราะเป็นผู้พิชิตสามก๊กตัวจริง...ทุกคนแตกฉาน มีคำคมทุกคน. ...ใช่ครับ แต่ทำไมสุมาอี้ไปไกลสุด..หรือ...มันมีความแตกต่างของคำว่าแตกฉานไปอีก...

มาวิเคราะห์กันครับ เริ่มที่สุมาอี้ ผมเห็นประโยคนี้ก็รู้สึกว่าเริ่มต่างแล้ว... 


มันคล้ายๆ กับที่เหมาเจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งประเทศจีนยุคใหม่พูดไว้ ...(มีผู้พูดว่าดัดแปลงมาจากกลยุทธ์ของซุนวู)  

เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม

เคยเห็นบทวิเคราะห์กันครับ คำพูดง่ายๆ ของเหมาเจ๋อตุง เปลี่ยนชาวนาให้เป็นนายพลได้ ... เพราะอะไรครับ ยุคนั้นประเทศจีนไม่ได้ปกครองโดยคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ยังไม่เก่งกล้า กองทัพประชาธิปไตยมีทรัพยากร และบุคลากรเหนือกัว่า ในขณะที่รัฐบาลมีรร.นายร้อย ที่ผลิตบุคลากรทางการทหารเก่งๆ ออกมา ..แต่เหมาเจอตุงไม่มีใครครับ รอบๆ ตัวมีแต่ชาวนา... จะสร้างรร.นายร้อยไม่ทัน เพราะต้องหนีรัฐบาลหัวซุกหัวซุน ..  เหมาเจ๋อตุงเลยให้หลักคิดการรบกับชาวนาแบบง่ายๆ ว่า  เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม

นี่สุดยอดครับ ..ด้วยคำพูดที่สื่อถึงตรรกะ ทำให้คนไม่มีความรู้ประเมินสถานการณ์แบบง่ายๆ และดึงกลยุทธ์มาใช้ได้อย่างตรงจุด ยืดหยุ่น ง่ายต่อการตัดสินใจไม่ต้องรวมศูนย์  ด้วยคำพูดง่ายๆนี้ใครก็เป็นนายพลได้  ชาวนาไปไหน เห็นสถานการณ์ของศัตรู จะตัดสินใจได้เลยว่าทำอย่างไร .. ซึ่งต่างจากกองทัพของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง ที่ทำอะไรซับซ้อน ยากกว่า ภาษาก็สูงกว่า.. เชื่อว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กองทัพชาวนาเอาชนะกองทัพนายร้อยได้

Creditภาพ: https://twitter.com/hashtag/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%8B%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%87

มาดูคำพูดของสุมาอี้ครับ ..นี่ลูกน้องที่ไม่รู้ ไม่เก่งเท่าสุมาอี้..ก็จะพอประเมินสถานการณ์และสร้างสรรค์วิธีการรบขึ้นมาได้ แบบที่กองทัพแดงของเหมาเจ๋อตุงทำได้ไม่ยากนัก 

เรื่องนี้ถ้าจะหนักแน่นขึ้น ...ผมนึกถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นาซีเยอรมันบุกรัสเซีย รัสเซียก็งงครับ เตรียมตัวไม่ทัน ในขณะที่เยอรมันมีรถถังแพนเซอร์ที่ดีที่สุดในโลก สร้างด้วยวิศวกรรมชั้นยอด ขนาดวิศวกรปัจจุบันไปดูห้องเครื่องยนต์ของรถถีงแพนเซอร์ที่สร้างขึ้นเมื่อ 70-80 ปีก่อนก็ต้องทึ่ง เพราะมันกระทัดรัด แต่ทรงพลังมาก ..เรียกว่าล้ำยุคสุด แถม มีกำลังพลคุณภาพระดับโลก  มีนายร้อยเต็มเมือง ...  ในขณะที่รัสเซียยากจนมาก ไม่ได้เตรียมตัวรบ.. มีแต่ชาวนา และโรงงานผลิตรถบรรทุกเท่านั้น ... ทำไงครับสตาร์ลินผู้นำรัสเซียสั่งสู้... แต่ไม่มีอาวุธหนักสู้ แถมไม่มีทหารขับ มีแต่ชาวนา...สตาร์ลิน เลยสั่งง่ายๆครับ ...ให้กองทัพสร้างรถถังที่ชาวนาต่อให้ไม่เคยขับรถจักรยานเลย เมื่อเจอรถถังนี้ครั้งแรกก็ขับได้เลย... ไม่พอ ถ้าเสียให้ชาวบ้านที่มี Skill ระดับซ่อมจักรยานได้ สามารถซ่อมรถถังนี้ได้ ...

แล้วโลกก็เห็นรถถีง Spec รถถ้งของสตาร์ลินออกมา รุ่น T-34 ที่โลกยังยกย่องจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นสุดยอดรถถัง ว่ากันว่า ถ้าคุณเป็นชาวนาและซ่อมจักยานเป็น คุณก็ขับและบำรุงรักษารถถังรุ่นนี้ได้ ..มันหยาบมาก แต่ก็ซ่อมง่ายสุด ... มีครั้งหนึ่งมีผู้ทำสารคดีของ Natioanal Geographic เธอเป็นช่างกล้อง เธออยากลองว่ารถถัง T-34 นี่ขับง่ายสมคำร่ำลือไหม...เลยขอเจ้าของลงไปขับ เธอขัับได้เลยจริงๆ ..เพราะอะไรครับ มันไม่มีพวงมาลัย การขับเคลื่อนใช้จอยสติกค์ ครับ เหมือนกับที่เราเล่นเกมส์วิดีโอนั้นเอง ...ใครๆก็ขับได้ สนุกด้วย ...ต่างจากรถถังแพนเซอร์ของเยอรมัน ที่คนขับต้องเรียนมาประมาณนายร้อย .ต้องมีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ... 

พอมารบกับรัสเซียก็เริ่มแพ้ครับ.เพราะแพนเซอร์ไม่ได้ถูกออกแบบมาใช้ในอากาศหนาวจัด เลยพังง่าย บำรุงรักษายาก หาช่างซ่อมก็ยาก ..พอสู้ไม่ได้ก็เริ่มเสียหาย พลขับตายก็ฝึกมาแทนยาก..ในขณะที่ T-34 ถ้าคนขับตาย ก็คว้าชาวนาใกล้ๆมาขับแทนได้เลย  ว่ากันว่าความง่ายของรถถัง T-34 เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยอรมันสู้รัสเซียไม่ได้  นี่ไงครับฉลาด แล้วคนอื่นทำตามได้ 

สุดยอดไหมครับคำพูดง่ายๆ เปลี่ยนทิศทางสงครามได้เลย...

มาดูความต่างอีกมุมของสุมาอี้

นี่เป็นคำสอนที่สุมาอี้มอบให้ลูกครับ ...  มองเห็น Scenerio ชัดเจน ว่าเขาจะเจอกับใครบ้าง และจะทำอะไรบ้างที่ดีที่สุด ...  สุมาสู สุมาเจียว จะเจอทั้งฮ่องเต้ ขุนนาง อำมาตย์..ประชาชน...  เขาต้องชนะใจใคร และต้อง Focus ที่ใครจะไปไกลที่สุด... ผมเชื่อว่าสุมาสู สุมาเจียว สุมาเอี๋ยนฟังคำพูดนี้แล้ว Aha และทำตามได้ ..มันฝังหัว ทำตามได้ไม่ยาก .. และเริ่มเห็นผลชัดขึ้นเรื่อยๆ  ..จนครองแผ่นดินได้ในที่สุด..

การตกผลึกของสุมาอี้ ดูเหมือนจะทำให้คนอื่นฉลาดตามได้ง่ายกว่า  

คำพูดของสุมาอี้ทำให้สุมาอี้ชนะมาแต่ต้น...เหมือนกับเหมาเจ๋อตุงและสตาร์ลิน

เอาหล่ะมาดูความต่างๆ มาลองเทียบคำคมของผู้นำคนอื่นๆ ในยุคสามก๊กสิครับ ...

เริ่มที่โจโฉ.. เช่นคนเดินตามตำรามีแต่โง่เท่านั้น ..งงครับ ลูกโจโฉอาจงง .. เพราะจะต้องเดินตามระดับไหน หรือจะแซงยังไง ไปไม่ถูกเลย...

อย่าถืออารมณ์เป็นใหญ่...ก็สงบแล้วไงปู่ ...รอบคอบแล้ว ว่าต้องรอบคอบแบบไปถึงไหน ขนาดรอบคอบแล้วยังตายเกลี้ยงตระกูล ทีโจโฉประสาทๆ ยังเป็นใหญ่ได้ ...มันย้อนแย้งหรือเปล่า ..

มาเล่าปี่ อยากเป็นใหญ่ต้องกุมใจคน... เล่าเสี้ยนเป็นใหญ่แล้วไงต่อ...ก็กุมหัวใจขันทีคนสนิทแล้วนี่..อาณาจักรยังหายวับไปกับตา ไหนครับ ... 

คุณธรรมและความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ยึดถือมาทั้งชีวิต และไม่มีวันบิดพลิ้ว... เตียวหุยทำไมพลาด ไปเฆี่ยนตีคนจนเสียเมือง ตอนหลังเสียหัวเลย.. นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ พระเจ้า..เล่าปี่ประสาทกลับจนรบแพ้ในที่สุด.. ทั้งที่เตียวหุยอยู่ติดตัวเล่าปี่..ทำไมถึงไม่เข้าใจ..สอนยากไปไหม..

นี่เหวอกว่า ต้องขงเบ้ง...ธรรมชาติมิอาจกำหนด มนุษย์มิอาจคาดการณ์... เอาไงพี่ อย่างนี้ผมจะติดสินใจยังไง มองไม่ออก ไม่กล้าตัดสินใจด้วย มีปัญหาชัวร์สุดถามพี่ขงเบ้งดีกว่า ... พี่ตัดสินใจแทนเฮอะ 

มาซุนกวน นี่ก็เหวอได้อีก.. "สงครามมีหลายรูปแบบมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ขั้นตอนไม่สำคัญเท่ากับผลสุดท้ายที่ออกมา"... เอาไงดี รบยังไง มองยังไง อะไรก็ได้ แล้วเอาไง..  

คุณเห็นลักษณะการตลกผลึกไหมครับ ต่างจากสุมาอี้และเหมาเจ๋อตุง มาก..  ดูเป็นการตกผลึกที่เหมือนรำพึงออกมาจากคนฉลาดสุดของสังคม .. ดูฉลาดมาก แต่คนฉลาดมากๆ ขั้นอัจฉริยะเท่านั้นจะตามทัน . ส่วนใหญ่ 99.99999 % ก็ตามไม่ทัน .. ถ้าตามทัน กวนอูและเตียวหุยก็คงไม่ตายก่อนวันอันควร... ราชวงค์ฮั่นคงอยู่ต่อมาอีกเป็น 1,000 ปี

ผมเชื่อว่าลักษณะการสื่อสารแบบสุมาอี้นี่เอง ที่ทำให้คนทั้งฉลาดไม่ฉลาดปฏิบัติตามได้ ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องรวมศูนย์ทุกอย่างอยู่ที่ตัว..พิสูจน์ได้ตอนท้ายๆ ขงเบ้งทำงานหนักมาก น่าจะมาจากการที่ไม่สามารถสร้างคนให้ฉลาดตามได้มากพอ ทำให้ตายก่อน สุมาอี้ฉลาดแล้วยังทำให้ลูกหลาน ลูกน้องฉลาดตามมาเป็นกลุ่มใหญ่ได้อีก

เอาเป็นว่าถ้าคุณจะเป็นผู้นำ คุณจะประสบความสำเร็จแน่ถ้าคุณมีความรู้มีความเชี่ยวชาญ ระดับที่สามารถตกผลึกความรู้ออกมาเป็นคำคม เป็นปรัชญาสั้นๆ แต่ถ้าจะไปไกลสุดทางเลยก็ต้องทำให้คนอื่นเข้าใจและปฏิบัติตามง่ายๆ 

จะว่าไปสุมาอี้ เหมาเจ๋อตุง สตาร์ลิน สามารถสร้าง "โคลน (Clone)"  ตัวเอง...คนที่สามารถตัดสินใจใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาด สามารถทำสงครามแทนได้ คล้ายๆ ... คิดดูสิครับแทนที่จะมีคนสองสามคนเข้าใจคำพูดของผู้นำ นี่อาจมีคนนับร้อยนับพัน ที่เข้าใจชุดความคิดนี้และสามารถสร้างผลงานอันชาญฉลาดได้   มีคนเข้าใจคุณสองสามค นก็ทำงานแทนได้สองสามคน ... มีคนเข้าใจคุณมากๆ ก็ทำงานแทนได้มากกว่า กินพื้นที่ได้กว้างขวางกว่า .. ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คล้ายๆ Starbucks ที่คุณไปที่ไหนในโลก ก็ทำกาแฟได้เหมือนๆกัน พนักงานก็น่ารักคล้ายกัน...  นี่คือการโคลนความคิดของเจ้าของ เมื่อโคลนถูกทาง ตัดสินใจอะไรก็เหมือนเจ้าของตัดสินใจเอง ทรงพลังกว่าไหมครับ  ถ้า โฮเวิร์ด ชูต เจ้าของ Starbucks ทำให้พนักงานทำเหมือนที่เขาคิดไม่ได้ ก็ขายได้แค่รัฐ Seattle ได้เท่านั้น... แต่ด้วยการ Clone ทำให้เขาขายได้ทั่วโลก ...ผมว่า สุมาอี้ก็เหมือน โฮเวิร์ด ชู๊ตในยุคปัจจุบันนั่นเอง 

และนี่คือสิ่งที่แยกสุมาอี้ออกจากผู้นำอื่นๆ ในสามก๊ก ...

คำถามคือทำอย่างไรจะพูดให้ได้ชัยชนะอย่างสุมาอี้

  1. มีเป้าหมายชีวิตที่สูงส่ง และลุยเพื่อเป้าหมายนั้น จะตกผลึกเอง  
  2. ค้นหาประวัติศาสตร์และคำคมในประวัติศาสต์ทั้งในอดีตและร่วมสมัย โดยเฉพาะที่คนยกย่องและมีการเอามาใช้หลายแวดวงและได้ผล คนคิดมีผลงานชัดเจน 
  3. ค่อยๆ ตกผลึกค้นหาคำพูด ทดลองพูดแล้วคนอื่นทำตามได้ง่ายได้สำเร็จเหมือนกัน
  4. สังเกตคนเก่งๆ ที่เรานับถือพูด ลองเอามาใช้ ดูว่าง่ายและให้ผลดีสูงไหม
  5. ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ในสงครามจริง คนตายเป็นล้าน จะเอาเป็น Idol ไปหมดไม่ได้ ในสนามชีวิตจริงปัจจุบันคนที่เป็นแบบอย่างสุดยอดได้แก่ Dalai Lama และคนอื่นๆ น่าศึกษามากครับ วันหลังจะล่าให้ฟัง

วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟังลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

Note

1. บทความวันนี้อุทิศให้ท่านโคฟี่ อันนั้น อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกที่พยายามสร้างสันติภาพโลกขึ้นมา คำคมของท่านสะท้อนการตกผลึกได้ชัดเจนมากๆ ดูคำแปลครับ

"ความรู้คืออำนาจ ข้อมูลคือการปลดพันธนาการ การศึกษาเป็นรากฐานของความก้าวหน้าของทุกสังคม ของทุกครอบครัว"  

คำคมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ ถ้าใครมาเห็นก็ต้องเอาไปคิดสร้างพัฒนาสังคมได้ชัด และมีทิศทางกว่าเดิม..

2. บทความนี้ผมมองทางมิติสงครามเฉพาะบางเหตุการณ์เท่านั้น ผมไม่ได้เชิดชูสตาร์ลิน เหมาเจ๋อตุง เป็น Idol แต่อย่างใด ..          เพราะบ้ั้นปลาย ฆ่าคนมากมาย ดูเฉพาะกลยุทธ์ตอนที่สองคนยังดี ปกป้องประชาชนอยู่นะครับ  จริงๆ คนที่เป็นต้นแบบผมคือ พระพุทธเจ้า Dalai Lama พระเจ้าอยู่หัวร.9 



RIP ท่านโคฟี่ อันนันครับ

บทความโดยดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์


อ้างอิง

คำพูดของเหมาเจ๋อตุง

https://naretrak.webs.com/sun-...

หมายเลขบันทึก: 650051เขียนเมื่อ 19 สิงหาคม 2018 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 ตุลาคม 2020 14:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สุดยอดครับท่านอาจารย์

สุดยอดครับท่านอาจารย์

เยี่ยม ยอด ที่สุด อ่านไป แอบ ยิ้ม ๆ ไป เล่าเรื่องได้น่าให้อ่าน บรรทัดต่อไป ๆ ๆ ได้ค่ะ

ชอบคำคมของทุกท่านแต่มีข้อสังเกตบางอย่างในสมัยนี้ คนเป็นผู้นำ อาจมีคำคมเพี้ยนไปไหมคะ

คำว่า ชนะ..สุด ๆ..มักจะประกอบไปด้วยสิ่งที่ โบราณว่าไว้ ว่า.”.ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล..ก็เอาด้วยเวทย์มนต์คาถา”..เมา เจ๋อตุง..ฆ่า ผู้คน ที่ไม่เห็นด้วย..มีจำนวนพอ ๆ กับ ฮิตเลอร์.ฆ่ายิว.)..ผู้ก่อสงคราม..เมื่อ แพ้..จะต้อง จ่าย..ค่าก่อสงคราม…กรรมไม่ได้อยู่ที่ผู้ก่อ..(เพราะส่วนใหญ่..ตาย)….และนั้น..คือ กรรม..ของผู้รับ…เมื่อแพ้..(คือใคร…)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท