สสค. ทำโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบรับรองคุณภาพโรงเรียน ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า โครงการ sQip (School Quality Improvement Program) (1) ผมโชคดีที่ได้มีส่วนเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการกำกับทิศทาง และได้ไปร่วมประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ การประชุมแบบนี้เป็นเสมือนห้องเรียนของผม จากการฟังความเห็นของกรรมการท่านอื่น
ในการประชุมวันนี้ มีการนำเสนอความก้าวหน้าของโครงการ โดยมีการส่งเสริมให้โรงเรียนในโครงการ (๑๙๙ โรงเรียน) ทำ PLC มีการนำเรื่อง Growth Mindset มาพูด ว่าเป็นปัจจัยเสริม PLC ทำให้ รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ เสนอแนะว่า ตนมีประสบการณ์สร้าง Growth Mindset ในตัวครูโดย ๒ เครื่องมือ คือ จิตตปัญญาศึกษา กับ KM แบบลึกๆ
ผมอ่านระหว่างบรรทัด ต่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการ ว่าโรงเรียนที่เข้าโครงการรู้สึกว่าเป็นภาระในการเข้าร่วมโครงการ มีคำพูดว่า “โรงเรียนให้ความร่วมมือ” ที่ผมสะดุดมาก เพราะในเจตนารมณ์ตอนเริ่มโครงการนี้ ต้องการไปหนุนการสร้างระบบคุณภาพโรงเรียน โดยโรงเรียนแกนนำที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้มีบทบาทหลัก ในการคิดเกณฑ์จากผลการปฏิบัติของตนเอง ในทำนองโรงเรียนเป็นเจ้าของโครงการ
ผมติดใจคำว่า “ทำ PLC” ในสุ้มเสียงว่าเป็นภาระ ทำเพื่อให้เป็นไปตามโครงการ จึงเสนอต่อที่ประชุมว่า ทีมงาน sQip ควรระมัดระวังไม่ใช้คำว่า “ทำ PLC” แต่ใช้คำว่า ใช้ “PLC” แทน เพื่อให้ชัดเจนว่า PLC เป็นเครื่องมือ ช่วยการเรียนรู้ของครู ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ในการประชุมครั้งนี้ ทีมนักวิจัยจากคณะวิชาด้านการศึกษาแห่งหนึ่งมาเสนอโครงการวิจัยและพัฒนาระบบและมาตรฐานรับรองคุณภาพโรงเรียน ที่ตอนนำเสนอผลการทบทวนเอกสาร เรื่องเกณฑ์รับรองมาตรฐานคุณภาพโรงเรียน ที่เขาบอกว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเกณฑ์มาตรฐาน ตัวสำคัญคือหลักการด้านการศึกษา ซึ่งนำไปสู่การกำหนด process indicators ซึ่งผมเถียงทันที ว่านี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ
ผมจึงเสนอต่อที่ประชุมว่า สำหรับโครงการนี้ การทำวิจัยควรเน้นที่โจทย์หาการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน (ไปในทางที่ดี) แล้วเสนอคำอธิบายว่า พัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร มีการดำเนินการอย่างไร สำหรับเป็นข้อมูลนำไปสู่การกำหนดเกณฑ์รับรองมาตรฐาน
โครงการนี้ สกว. ว่าจ้างทีมติดตามผลโครงการโดยลงพื้นที่ หัวหน้าทีมคือ ดร. เลขา ปิยะอัจฉริยะ เล่าว่า ไปพบโรงเรียนที่เข้มแข็ง ที่ทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพนักเรียนดีมาก แต่ “ไม่รู้ว่าตัวรู้” ทำให้ผมตาลุกโพลง ว่าเป็นลู่ทางสร้างเกณฑ์คุณภาพโรงเรียน จากครู/โรงเรียนที่ทำจริง ตั้งใจจริง แต่ยังขาดความรู้ เป็นลู่ทางให้ “โค้ช” เข้าไปทำกระบวนการ KM เล็กๆ ให้เขารู้ว่าเขารู้ คือเปลี่ยน tacit knowledge เป็น explicit knowledge นั่นเอง
ผมเสนอต่อที่ประชุมว่า ควรเน้นใช้เครื่องมือ empowerment ต่อโรงเรียนให้มาก เน้นเสาะหาความสำเร็จเล็กๆ ที่ตัวนักเรียน (และครู) เอามาตีความหาความหมาย นำไปสู่เกณฑ์ประเมินคุณภาพโรงเรียน
วิจารณ์ พานิช
๙ ก.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น