mini-UKM #19 @MSU (๑) เรียนรู้จากการฟัง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช "ถอดสลักอุดมศึกษา นำพาพัฒนาสังคม บริบทไทย ๔.๐"


วันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ผมอยู่ที่เวที Mini-UKM ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมาถึงครั้งที่ ๑๙  รอบนี้มหาวิทยาลัยมหาสารคามเวียนมาเป็นเจ้าภาพ ครั้งที่ ๑๘ จัดที่ มรภ.สวนสุนันทา  ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นองค์ปาฐก ท่านบรรยายพิเศษเรื่อง "KM beyound 4.0" ใครสนใจฟังย้อนหลังและดูสไลด์ท่านได้ที่นี่  ผมเองบันทึกการเรียนรู้ ตีความ และเสนอความเห็นของตนเองไว้ที่นี่ 

mini-UKM ครั้งที่ ๑๙ นี้ องค์ปาฐกยังเป็น ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช ท่านยังดูแข็งแรงและฉับไว แม้จะอยู่ในวัย ๗๕ ปีกว่าแล้ว  ...  ผมครุ่นคิดพอสมควร แต่ก็มองไม่ทะลุว่า mini-UKM จะมีต่อไปไหมหากไม่มีบารมีของผู้ใหญ่อย่าง รศ.ดร.เจริญ ไชยาคำ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช และท่านอื่นๆ ในโปสเตอร์นี้... ผมจะรู้สึกเสียดายมากแน่ หาก "โครงการ" ต้องหายจากไป หรือมันไม่ได้ก้าวไปสู่ การเป็น "เทศกาล Show & Share ของ CoP ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

ขอบคุณภาพจากงานประกันฯ มมส.


ผู้จัดงานเวิร์กมาก ส่งสไลด์ของท่าน มาให้ผมทันที จังหวะนี้ดีมาก เพราะความรู้ที่กำลังงอกใหม่ๆ สามารถนำมาบันทึกแลกเปลี่ยนกันได้ทันที  ความจริงทีมงานได้จัดให้ดาวโหลดน์ไฟล์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างสะดวกที่นี่ ท่านใดสนใจมีสไลด์ทั้งหมดของวิทยากรในนั้น รวมทั้งสไลด์สรุปนำเสนอของทีมคุณอำนวยด้วยครับ 

กลับมาที่การบรรยายของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช หัวเรื่องของท่านวันนี้คือ "ถอดสลักอุดมศึกษา นำพาพัฒนาสังคม บริบทไทย ๔.๐"  ความจริงหากท่านอดใจรอ อีกประมาณ ๑ เดือน จะมีบันทึกเสียงประกอบสไลด์ออกเผยแพร่ทาง gotoknow.org เหมือนกับที่ท่านเผยแพร่การบรรยาย mini-UKM#18 @มรภ.สวนสุนันทา ครั้งก่อนไว้ที่นี่ ... แต่หากท่านใดไม่อยากรอ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญๆ ที่ท่านพูดครับ 

  • เหตุที่ท่านตั้งชื่อว่า "ถอดสลัก" เพราะท่านมองว่า การอุดมศึกษาไทยในสภาพปัจจุบันเหมือนกำลัง "ติดล็อค" ถูกล็อคด้วย "สลัก ๗ ประการ" ทำให้ไม่ก้าวไป ก้าวไปไม่ได้  
  • ทุกครั้งที่ท่านบรรยาย จะย้ำเสมอว่า โปรดอย่าเชื่อ เพราะท่านเองก็ไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง ... ผมนึกกาลามสูตร ๑๐ แม้เป็นผู้รู้แจ้งอย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนไม่ให้เชื่อ ... แต่ครูอาจารย์ไทยจะพอใจมากถ้าเด็กเชื่อ
  • พล็อตบรรยายของท่านในสไลด์นี้ ... ท่านทำได้ไงไม่รู้ แต่หมดสไลด์ เวลาก็หมดพอดี
  • สลัก ๗ อัน ที่ท่านหมายถึง คือ ประเด็นที่ ๓ - ๙ ในสไลด์นี้ ได้แก่ 
    • สลักที่ ๑ อาจารย์ยังคงเน้นสอนแบบถ่ายทอดความรู้ 
    • สลักที่ ๒ Mind Set อาจารย์ ที่มองว่านักศึกษาคือผู้มารับการถ่ายทอด
    • สลักที่ ๓ อาจารย์ถูกล็อคประตูให้ทำงานในรั้วมหาวิทยาลัย 
    • สลักที่ ๔ ทำงานวิชาการแยกส่วนจากความต้องการของสังคม โจทย์วิจัยไม่ทันกาล
    • สลักที่ ๕ บริการวิชาการแบบช่วยเหลือ เอาไปให้ มองชาวบ้านเป็นผู้รับ
    • สลักที่ ๖ ทำวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมก่อน แล้วค่อยไปถ่ายทอดทีหลัง
    • สลักที่ ๗ เปิดสอนเฉพาะตอน ๑๗-๒๔ ปี  
  • เท่าเล่าถึงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The End of College ซึ่งท่านอ่านและเขียนเอามาเล่าต่อใน บันทึก Gotoknow คลิกที่นี่
  • มหาวิทยาลัยทั่วโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพราะแบบเดิมกำลังจะสิ้นไป เพราะเหตุผลในสไลด์
  • กำลังเกิดมหาวิทยาลัยขึ้นถึงแห่งหน (University Everywhere) ด้วยพลังของ ICT และรายวิชาที่เปิดสอนฟรีๆ ออนไลน์ ่ผ่านระบบ MOOCs
  • มหาวิทยาลัยเกิดขึ้นตั้งแต่ 1088  และพัฒนาวิวัฒนาเรื่อยมา แบ่งได้เป็น ๒ ยุค ได้แก่ 
    • ยุคความรู้กระจุก  มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกเกิดที่เมืองโบโลญา อิตาลี นักศึกษาอยากเรียน จึงรวมตัวกันไปจ้างอาจารย์มาสอน  นักศึกษาเป็นใหญ่ 
    • ต่อมา ค่อยๆ เปลี่ยนไป อาจารย์เป็นใหญ่ ในมหาวิทยาลัยในปารีส 
    • หลังจากกูเทินเบิร์กประดิษฐ์แท่นพิมพ์ขึ้น มหาวิทยาลัยก็ก้าวไปสู่ยุค ความรู้กระจาย 
    • ปัญญาปฏิบัติยังอยู่ในสถานประกอบการ 
  •  มหาวิทยาลัยแห่งอนาคต ต้องมีลักษณะดังนี้   เป็นดิจิตอล  สนองความต้องการอย่างเรียนอะไรตอนไหน ไม่ปฏิเสธผู้เรียน เป็นชุมชนเรียนรู้ขนาดใหญ่ มีระบบจัดเก็บหรือสร้างหลักฐานการเรียนรู้ที่ตรวจสอบได้ และที่สำคัญคือฟรี 
  • มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนทั้งกรอบคิด (Mindset) และวัฒนธรรมการทำงาน จาก Academic Platform ไปเป็น Engagement Platform เปลี่ยนจากวิชาการแบบช่วยเหลือแนะนำ ไปเป็นวิชาการแบบหุ้นส่วนสังคม  
  •  หากจะเปลี่ยนต้องดึงสลักทั้ง ๗ อันต่อไปนี้ออกให้ได้ 
  • สลักทั้ง ๗ นี้ ปักอยู่ใน ๒ หลุม คือ คิดและทำ คือ Paradigm  และ Plaform  
  • ๗ สลัก ใน ๒ หลุมนี้ หยุดอุดมศึกษาไทยไว้ในศตวรรษที่ ๒๐ และ ๑๙ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑
  • ต้องขึ้นจากหลุม ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์และเปลี่ยนกระบวนการ 
  • ทำให้มหาวิทยาลัยไม่สอดคล้องกลับโลกที่เป็นจริง 
  • สลักที่ ๑ สอนแบบถ่ายทอด  
  • เป้าหมายของการเรียนรู้ในยุคนี้ ต้องเป็นเป้าหมายเชิงซ้อนทั้งสิ้น ไม่ว่าเรียนวิชาใด กิจกรรมใด ต้องมองไปที่ ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ที่แสดงดังสไลด์ด้านบนนี้ 
  • บริเวณสีเขียน ท่านเติมเอง ยังไง ทักษะวิชาชีพ เฉพาะทาง อย่างไรก็ต้องมี
  • ท่านเน้น Financial Literacy ที่คนไทย ครูไทย เป็นหนี้  ไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีได้ ... ผมนึกถึง SEP ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  • การสอนแบบถ่ายทอดความรู้ จะได้อย่างมากเพียง Literacy  6 ข้อในพื้นที่สีม่วงทางซ้าย 
  • หากมองอีกแบบ   มองแบบ Professor Chickering  มองแบบมีมิติเวลา  ตั้งแต่เด็กถึงต่อ คนเราจะค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาตน ๗ ด้าน  
  • ตอนเด็กๆ จะต้องพัฒนา สมรรถนะ -> อารมณ์ ->อิสระเกื้อกูล -> มนุษย์สัมพันธ์  พอย่างเข้าวัยรุ่น อัตลักษณ์ -> เป้าหมายชีวิต ต้องเริ่มชัด เพื่อก้าวไปสู่ ความมั่นคงในชีวิต และคุณธรรมประจำใจ 
  • นิสิตมหาวิทยาลัยต้องมุ่งไปที่ ๓ ตัวขวา 
  • สำคัญที่สุดคือ "ความมั่นคง"  หรือก็คือคุณธรรมนั่นเอง  สิ่งนี้อาจจะสอนไม่ได้ แต่ทำให้ดูได้ ... ท่านเล่าเรื่องตอนที่เป็นผู้บริหารของ มอ. และการยึดมั่นในความถูกต้องซื่อสัตย์ 
  • หากมองตามทฤษฎีของบลูม  ที่แบ่งลำดับการเรียนรู้เป็น ๘ ระดับ   ได้แก่  รู้->เข้าใจ->นำไปใช้->วิเคราะห์->สังเคราะห์->ประเมิน->เปลี่ยนวิธีเรียนรู้->เปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือตัวตน  เราต้องสอนให้ถึงระดับ ๘  นั่นก็คือ ต้องเป็นการสอนแบบ Transformative Learning
  • Informative Learning คือการเรียนเพื่อให้ได้ความรู้ สอบได้ 
  • Formative Learning คือ การเรียนเพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญและจรรยาบรรณวิชาชีพ เรียนเพื่อสร้างการเป็นอาชีพ 
  • Transformative Learning คือ การเรียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตัวตนของตนเอง 
  • Transformative Learning ผู้สอนจะต้องเป็น Change Agent ฝึกให้นิสิตเป็น Change Agent เป็นผู้นำ
  • ต้องเรียนแบบรู้จริง Mastery Learning
  • การเรียนรู้ในยุคนี้ ทักษะในการเรียนรู้แบ่งเป็น ๓ ระดับคือ คือ Learn, Unlearn, และ Relearn
  • หากอย่างเรียนรู้ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงให้ไปอ่านหนังสือครูเลฟ

  • ในหนังสือครูเลฟ มีตัวอย่างการสอนให้เด็กความดีระดับ ๖ ทำความดีเพราะเข้าถึงหลักการ อุดมการณ์ของตนเอง 


  •  เป้าหมายการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เปลี่ยนไปจาก ศตวรรษที่ ๒๐ มาก  เปรียบเทียบในสไลด์ 
  •  เรื่องการเรียนรู้ ท่านแนะนำหนังสือ ๓ เล่ม ดังรูป 
  • ในหนังสือ "How Learning WorksW บอกว่า การเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูป 
  • ความรู้เกิดแบบ งอกงามขึ้นเองภายในตน จากการทำและคิดของตน (เท่านั้น)
  • การสอนสมัยใหม่นี้ต้องตั้งคำถาม  "ถามคือสอน สะท้อนคิดคือเรียน" 
  • สมัยนี้การสอนแบบบรรยายเกิน ๑๕ นาที ...ต้องถามแล้วว่า อาจารย์ต้องการอะไร ...
  • ในหนังสืออีกเล่ม บอกกระบวนการเรียนรู้แบบไม่รู้ตัว ซึ่งประกอบด้วย ความจำใช้งาน (Working Memory) และ ความจำระยะยาว (Longterm Memory) และบอกว่า การรู้ข้อเท็จจริงและกระบวนการนั้น เกิดขึ้นที่ความจำระยะยาว  
  • หากไม่มีการตระหนักรู้และคิดแล้ว สิ่งที่อยู่ในความจำใช้งานจะลืมเลย โดยไม่ได้จำในความจำระยะยาว 
  • คำถามคือ เราจะมีวิธีจัดการเรียนรู้อย่างไร ให้ผู้เรียนมีความจำระยะยาวขนาดใหญ่ และดึงมาใช้งาานได้รวดเร็ว 
  • วิธีที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ไปที่ความจำระยะยาว อย่างหนึ่งคือ  Adult Learning  ที่ประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน ดังสไลด์ 
    • ต้องจัดสถานการณ์ให้เกิดประสบการณ์ เรียนจากการลงมือทำ ปฏิบัติเอง 
    • กระตุ้นให้สังเกต และสะท้อนคิด 
    • สังเคราะห์เป็นหลักการ ความคิดรวบยอด 
    • นำไปทดลองใช้ในสถานการณ์ใหม่ 
  • สลักที่ ๒ คือ การมองนิสิต นักศึกษาเป็น ผู้มารับการถ่ายทอด 
  •  การถ่ายทอดไม่สามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้ 
    • ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ 
    • แรงบันดาลใจ 
    • สูญเสียพลังสร้างสรรค์ของหนุ่มสาว
    • ไม่ได้พลัง Service Learning ได้ 
    • ไม่ได้ฝึกฉันทะและทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • ต้องมองว่านิสิตนักศึกษาคือผู้เข้ามาร่วมสร้างความรู้
  • สลักที่ ๓ จัดการเรียนรู้อยู่แต่ในมหาวิทยาลัย 
  • ต้องไปเรียนด้วยการปฏิบัติในสถานทำงานจริง 
  • ฝึกทำงานเป็นทีม
  • เรียนทฤษฎีจากการปฏิบัติ
  • สลักที่ ๔  อาจารย์ทำงานแยกส่วนจากสังคม ทำให้ ขาดโอกาสทำความเข้าใจวิชาการในชีวิตจริง 
  • สลักตัวที่ ๕ คือ การให้บริการแบบช่วยเหลือ แนะนำ  (ไม่ใช่ร่วมมือ)  คิดว่าชาวบ้านไม่รู้ 
  •  สไลด์ท่านบอกไว้ชัดเจนครับ  
  • โทษของการให้อย่างเดียว คือ ไม่ทันกาล ไม่สอดคล้องความเป็นจริง 
  •  VUCA คือ Volatility (เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผันผวน) Uncertainty (ไม่แน่นอน) Complexity (ซับซ้อน) และ Ambiguity (คลุมเครือ ไม่ชัดเจน)
  •  ทางออกคือต้อง ทำให้เป็น "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วน" "Engagement"
  •  สลักที่ ๖ คือ การทำวิจัยสู่นวัตกรรมแล้วถ่ายทอด 
  •  มหาวิทยาลัยต้องเป็นหุ้นส่วนกับสังคม  วิจัยนำไปใช้ได้เลย ไม่ใช่วิจัยเพื่อนำไปถ่ายทอด 
  • นวัตกรรมที่ทำอายุจะสั้นและเปลี่ยนเร็ว  วิธีการวิจัยสร้างนวัตกรรมและนำไปถ่ายทอดจึงไม่ทัน 
  •  สลักที่ ๗ คือการสอนนิสิตนักศึกษาเฉพาะตอนอายุ ๑๗-๒๔ ปี 
  • ต้องสอนทุกกลุ่มอายุ เรียนเพื่อเพิ่มสรรถนะในการทำมาหากิน
  • เรียนอะไรให้มี Open badge คือ บัตรรับรองสมรรถนะ เรียนอะไรมีกาาบันทึก ตรวจสอบได้  มีการบันทึกทั้งผลการเรียนรู้ และนิสัยใจคอ ต่างๆ   
  •  วิธีการถอดสลักทั้ง ๗ นี้มีดังต่อไปนี้ 
  • ตัวที่จะมาช่วยชีวิตเรา ตัวที่จะฉุดดึงมหาวิทยาลัยคือ "ประเทศไทย ๔.๐"  
  • เขาต้องการมหาวิทยาลัยเป็น Driver เราต้องมองว่า นิสิตนักศึกษาคือ "พลังขับเคลื่อน" ประเทศไทย ๔.๐ 
  • มหาวิทยาลัยจะอยู่รอด  โดยร่วมมือกับภาคสังคม เอกชน  
  • Integration เป็น Process
  • Innovation เป็น Product
  • Engagement เป็น หลักการ ทิศทาง
  • Collaboration เป็น พลังทำงาน 
  •  เกี่ยวกับเรื่อง Engagement ท่านแนะนำให้ไปอ่านเล่มนี้ 
  • ที่เมืองเหลียงฮู เมืองแห่งนักออกแบบ นครหางโจว เขาทำ Engagment ร่วมกัน ๘ มหาวิทยาลัยเข้าร่วม 
  • โจทย์วิจัยมาจากบริษัท 
  • รัฐบาลให้ทุนสนับสนุน ทุนวิจัย 
  • ประกาสตนเองว่า เป็นเมืองแห่งนักออกแบบ
  • product อันหนึ่ง ที่ออกมาแล้วคือ โดรน
  • product อีกอัน คือ พาหนะเคลื่อนที่ แบบยืนเหยียบ
  • สองวันที่แล้ว ท่านไปที่ มทส. มีศาสตราจารย์ มาซาฮิโร อินูเอะ  มาพูดถึงวิธีการพัฒนานักศึกษา  น่าสนใจ  ดังภาพด้านล่าง
  • เขามี Education Innovation Center 
  • SCOT คือ นักศึกษาเป็นโค้ช  โดยต้องฝึกนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอน แล้วให้เข้าไปสังเกตการสอน เพื่อช่วยสะท้อนพัฒนาการเรียนการสอน 
  • เขามีแฟ้มผลการสอน  (Teaching Portfolio)
  • นี่คือเครื่องมือช่วยให้อาจารย์พัฒนาการสอน 
  • ในสไลด์นี้คือตัวอย่างประเด็นใน แฟ้มผลงานสอน 

  • สไลด์ สุดท้ายสรุป 
  • สิ่งที่ต้องเปลี่ยน คือ  
    • Platform การทำงาน  คือเปลี่ยนจาก Academic เป็น Engagement
    • เปลี่ยนสไตล์การทำงาน จากแยกส่วน เป็น บูรณาการ 
    • เปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ จากการถ่ายทอดเป็นการร่วมสร้างความรู้กับนิสิต 
    • อาจารย์ต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงตนเอง และมีระบบช่วยเหลืออาจารย์ 
    • เปลี่ยนระบบบริหารให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง 

ผม ALR กับตนเองว่า 
  • ผมรู้ว่ามีสลักอะไร และเห็นด้วยกับท่านว่า "ใช่" กระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ถูกสลักเหล่านั้นล็อคไว้จริงๆ 
  • ผมเข้าใจว่าต้องถอดสลักออก และเมื่อถอดออกแล้วจะเดินไปทางใด คือมองเห็นทางออก เพียงแต่ออกไปไม่ได้เพาะมีสลักล็อคตรึงอยู่ 
  • ปัญหาคือ มันล้วนแต่เป็นสลักขนาดใหญ่ ที่ปักไว้ในหลุมดำ จะถอดออกได้ต้องส่องไฟ ให้เครื่องมือ และทุกคนต้องร่วมมือ ... 
  • ผมตีความว่าสลักทั้ง ๗ เกี่ยวข้องกับคนสองกลุ่ม คือ อาจารย์และผู้บริหารของมหาวิทยาลัย โดยท่านบอกว่า รัฐบาลที่กำหนดเป้าประเทศไทย ๔.๐ คือโอกาสทอง  
  • และผู้ที่จะเป็นกำลังหลักในการถอดสลักคือ "อาจารย์" 
  • ปัญหาคือ อาจารย์กำลังถือค้อนตอกสลักอยู่ ทั้งที่รู้และไม่รู้ว่ามันเป็นสลัก บางคนตอกเพราะอยากได้ "เงิน" บางท่านอยากได้ "กล่อง" บางท่านถูกบังคับให้ตอกไป เพราะหากทำตามเกณฑ์ที่กำหนดแล้วจะดี  สรุปคือ อาจารย์กำลังตอกสลักตามหน้าที่เพื่อความก้าวหน้าของตนเอง ... แล้วจะถอดสลักได้อย่างไร... 
  • ผมเข้าใจว่า "ค้อน"ตอกสลักที่อาจารย์ต้องถืออยู่ในมือ คือ งานต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน งานที่เป็นมายาคติ ไม่จำเป็นต้องทำ งานประเภททำต้นปีรายงานผลปลายปี ซึ่งผลคือมีแต่เอกสารและข้อมูลหลอกลวง รายงานที่ไม่มีคนอ่านไม่มีประโยชน์อะไรกับชาวบ้านที่ยิ่งไม่อ่านอยู่แล้ว  ปัญหาเดียวกับครูในระดับการศึกษาพื้นฐานกว่าจะรู้ก็มาไกลจากผู้เรียนเสียแล้ว ....
  • Change Agent จะมาจากคนที่มีความคิดสร้างสรรค์  คนคิดสร้างสรรค์ จะมาจากคนที่มีอิสระ มีฉันทะ มีพลังสมาธิที่จะจดจ่ออยู่ และเป็นตัวของตัวเอง คนที่มีอิสระ ต้องไม่มีพันธนาการ แต่ต้องสามารถทำตามอุดมการณ์ของตนเองได้เต็มที่ 
อย่างไรก็ดี ขอให้คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ สามัคคี ตลอดไปครับ 



หมายเลขบันทึก: 649327เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2018 01:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม 2018 20:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นประโยชน์มาก ขอบคุณค่ะ

อาจารย์เป็นนักเก็บความรู้จริง ๆ ครับ ;)…

สุดยอดนักบันทึก ครับ ครูต๋อย แห่ง มมส

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท