วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ผมไปร่วมประชุมทีม SiCORE-M (ทีมจัดการงานวิจัยศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัย) ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นทีมงานที่มี อ.นพ.อัครินทร์ นิมมานนิตย์ เป็นหัวหน้า ทำงานเตรียมการได้ดีมาก โดยผมตีความว่า ช่วงนี้เป็นช่วงศึกษาข้อมูลของ ๓ เรื่อง ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์ในอนาคต คือเรื่องภูมิแพ้, มะเร็ง, และไข้เลือดออก
มองจากมุมของระบบการจัดการ นี่คือการจัดการเพื่อจัดระบบให้ขีดความสามารถด้านการวิจัยที่อยู่กระจัดกระจาย และมีทิศทางดำเนินการตามความสนใจของนักวิจัย (อาจารย์) เข้ามารวมกัน เสริงพลังกัน ไปสู่เป้าหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ พัฒนาจากวิจัยตามผลประโยชน์ของนักวิจัย เป็นวิจัยตามผลประโยชน์ของประเทศ
ศูนย์ที่พัฒนาการก้าวหน้าไปมากที่สุดคือศูนย์ Allergy ผู้รับผิดชอบคือ รศ.พญ.อรณี แสนมณีชัย ได้จัดกระบวนการ world café เพื่อทำ mapping นักวิจัย และประเด็นวิจัย ได้ผลลัพธ์คือวัตถุประสงค์และแผนดำเนินการยังกว้างเกินไป ยังไม่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลา โดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดไทย (วัคซีนไรฝุ่น) กับศูนย์บริการทางคลินิก
ศูนย์วิจัยไข้เลือดออก ผู้รับผิดชอบคือ ผศ.ดร.นพ.วรภัทร รัตนอาภา มีการทำ mapping ความสนใจของนักวิจัย และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ สรุปได้ว่า เป้าหมายหลักคือการพัฒนายารักษาโรคไข้เลือดออก จากยาที่มีอยู่แล้ว
ศูนย์วิจัยมะเร็ง มี ผศ.นพ.สิทธิ์ เป็นผู้รับผิดชอบ นักวิจัยมีความสนใจ ๓ ด้านคือ Cancer precision medicine, cancer immunotherapy (ศ.ดร.เพทาย เย็นจิตโสมนัส), และ systems pharmacology
ท่านรองคณบดีฝ่ายวิจัย (ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล) ตั้งคำถามว่า เป้าหมาย (strategic target) เป็น Research excellence เพื่อผลวิจัยตีพิมพ์ หรือเพื่อ translation หาวิธีรักษาโรคแบบใหม่ ผมตั้งคำถามต่อว่า ใครหรือกลไกใด ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจต่อคำถามที่ท่านรองคณบดีตั้งในแต่ละ CORE
ในเรื่อง cancer precision medicine นั้น ศ.นพ.ประเสริฐ ในฐานะผู้บริหารของ สวทช. เคยเชิญนักวิจัยทางจุฬาฯ ศิริราช และรามา ไปคุยที่ สวทช. เพื่อหาทางให้รวมตัวกันดำเนินการ ผลคือตกลงกันไม่ได้ ผมฟังแล้วได้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีนี้ที่มีเป็นมาตรฐานแล้ว เรียกว่า CAR T cell หากจะพัฒนาเทคโนโลยีในระดับประยุกต์ใช้ขึ้นในประเทศไทย ก็ต้องรู้ว่าขณะนี้ใครอยู่ในฐานะผู้นำ หากมีผู้นำอยู่ที่อื่นในประเทศไทย ศิริราชควรแข่งหรือไม่
ผมไม่มีความรู้ในสาระที่เขาคุยกันเลย เมื่อได้ฟังจึงตระหนักว่า เวลานี้หมอศัลย์ หมอตา เข้าไปทำงานพัฒนา สเต็มเซลล์ รักษาโรคหลอดเลือด หรือใช้ gene therapy รักษาโรคของจอตา ป้องกันตาบอดในโรคพันธุกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะต้องเข้าใจและเลือกสนับสนุน
วิจารณ์ พานิช
๒๓ มี.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น