843. เรียนรู้เรื่อง Learning Organization จาก "9 ศาสตรา"


เมื่อวานได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง 9 ศาสตรา...ก็ต้องบอกว่าดีใจมากๆที่ประเทศไทยทำหนังที่สร้างสรรค์มากๆ ออกมา..โดยดึงเอาภูมิปัญญาของไทยคือมวยไทย และแก่นคำสอนของศาสนาพุทธหลายๆ ข้อออกมา ...ต้องบอกเลยว่ายิ่งใหญ่น่าไปดู ..เนื่องจากไม่อยาก Spoil มากๆ ก็จะพูดภาพรวมและจับบางประเด็นมาเรียนรู้ หนังพูดถึงอาณาจักรโบราณชื่อรามเทพนคร ที่ตั้งขึ้นมาด้วยมวยไทยและมีอาวุธทรงพลังชนิดหนึ่ง  ..ต่อมาอาณาจักรนี้ถูกเผ่าพันธ์ุยักษ์มารุกราน ครอบครองไว้พักใหญ่ ยักษ์เกเรพวกนี้กดขี่คนและเผ่าพันธ์ุอื่นให้เป็นทาส... 

จนมาวันหนึ่งมีโหรออกมาปล่อยข่าวว่า จะมีผู้ได้ลิขิตจากฟากฟ้าเอาวิชามวยไทยและศาสตราที่ 9 มากู้อาณาจักร...เมื่อได้ยินข่าว..ยักษ์เลยกำจัดมวยไทย และพยายามจับเด็กที่เกิดในราศีที่โหรทำนายไว้มาขัง เพื่อรอวันประหาร.....แต่มีเด็กคนหนึ่งชื่ออ๊อดหลุดรอดการตามล่ามาได้ และได้มีโอกาสไปฝึกมวยไทยกับครูมวยไทยในเกาะแห่งหนึ้ง ภายใต้การเลี้ยงดูของพ่อบุญธรรมและครูมวยไทย อ๊อดเติบใหญ่ แต่ฝีมือก็ยังไปไม่ถึงไหน ..พ่อและครูแอบกลุ้มใจ...จนวันหนึ่งก็ได้เผยความลับว่า ..อ๊อดคือใคร และอ๊อดน่าจะเป็นใคร พร้อมเผยให้เห็นศาสตรา 9 ที่ซ่อนเก็บไว้ ..  ตามคำนาย แต่ก็รู้สึกว่าอ๊อดไม่น่าจะไหว ฝีมือยังอ่อนด้อยไม่น่าจะออกไปกู้โลก .

..อ๊อดได้คิด.. เช้าวันรุ่งขึ้นพฤติกรรมอ๊อดเปลี่ยน จากซ้อมไปวันๆ เอาจริง มีวินัยมากขึ้น ทำตามทั้งครูและหลวงพ่อจนวันหนึ่งฝีมือล้ำกว่าครู และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยฝีมือที่อาจหาญ พลังจิตที่ยอดเยี่ยม ทำให้ศาสตรา 9 มาประสานพลังกับอ๊อดกลายเป็นศาสตราที่มีพลังที่สุดในจักรวาล  นำพาอ๊อดเอาชนะชะตากรรม และอุปสรรคที่อย่างได้ในที่สุด...สุดอย่างไรไปดูกันเองมีอีกมาก..

เรื่องนี้ทำให้ผมปิ๊งแว๊บถึงอะไรครับ ...ผมเห็นว่าเรื่องนี้ทั้งเรื่องเป็นเรื่องของการเปลี่ยนความเชื่อ วิธีการมองโลกของตัวละคร พอเปลี่ยนความเชื่อได้ทุกอย่างตามมา...ความเชื่อหรือวิธีการมองโลกนี้ในทางศาสตร์ของผมเรียกว่า Mental Model หรือภาษาไทยเรียกว่าแบบแผนความคิด ครับ  Mental Model เป็นวิธีการมองโลกของคนแต่ละคน มันมาจากสมมติฐาน ความเชื่อและคุณค่าที่แต่ละคนมีอยู่...ดูแผนภาพนะครับ

Metal Model นี้จะอยู่เบื้องหลังโครงการสร้างการกระทำของคนๆนั้น (Structure) ...โครงสร้างก็คือกฏ กติกา ที่คนๆนั้นวางไว้ให้ตัวเอง..  แล้ว Sturucture นี้เอาที่จะส่งผลต่อรูปแบบพฤติกรรม (Patterned Behavior) ที่คนๆนั้นแสดงออกมา เรียกว่าซ้ำซากอยู่อย่างนั้น...รูปแบบพฤติกรรมนี้จะอยู่เบื้องหลังเหตการณ์ (Event) ที่คนๆนั้นสร้างขึ้น และเจ้า Event นั้นเองมีผลต่อความสำเร็จ ล้มเหลวของคนๆนั้น และอาจส่งผลสืบเนื่องถึงความสำเร็จล้มเหลวขององค์กรได้ด้วย  

เอาเป็นว่าสิ่งที่เราสังเกตเห็นในชีวิตประจำวันของแต่ละคนนั้นมีที่มาสาวลงไปถึงสิ่งที่มองเห็นได้ยากนั้นคือรูป Pattern Structure ที่ยากที่สุดคือ Mental Model...แนวความคิดการพัฒนาองค์กร โดยเฉพาะของท่าน Pter Senge และ Christ Argyris คือถ้าเปลี่ยน Mental Model ได้ก็เปลี่ยนได้ทุกอย่าง..

จากเรื่องจะเห็นพ่อบุญธรรมและครูมวย...เห็น Event คือ..อ๊อดไม่ค่อยใส่ใจมาก ...ส่วนอ๊อดเองก็ไม่รู้ว่าทำไม และอาจไม่คิดด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างมันก็เป็นเหมือนๆกันทุกวัน เขาก็มาซ้อมทุกวันนี่น๊า ขาดบ้างแต่เขาก็ขอโทษแล้ว Pattern พ่อกับครูเห็น Pattern ซ้ำๆ อย่างนี้ก็ชักหมดหวังขึ้นเรื่อง.. .... Structure ก็ฝึกทุกวัน แต่ชีวิตมันเครียดนะบางทีก็ต้องผ่อนคลาย ... Mental Model เราเป็นลูก ก็ทำเพื่อพ่ออยู่แล้ว ให้พ่อ Happy พอ..

Mental Model ก็จะประมาณนี้ แต่มีวันหนึ้งพ่อเรียกมาคุย เล่าทุกอย่างให้ฟัง อ๊อดค้นพบเลยว่าตัวเองเป็นความหวังสุดท้าย...Mental Model เปลี่ยน...จากการทำเพื่อพ่อเป็นการทำเพื่อแผ่นดิน Structure โครงสร้างการฝึกเปลี่ยน อ๊อดคิดเลยจะไปแต่เช้า ไม่ขาด ตั้งใจฝึกสมาธิด้วย นี่คือการพัฒนาโครงสร้างใหม่ ส่งผลให้.. Pattern รูปแบบการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป วินัยเปลี่ยน ความตั้งใจเปลี่ยน สุดท้าย Event ครู พ่อ สังเกตเห็นก็ยิ่งทุ่มเทให้ ..แล้วอ๊อดก็เปลี่ยนไป...ที่สุด Mental Model ที่เปลี่ยนนี่เองที่ทำให้ได้อาณาจักรคืนมา...  โลกสงบลงอีกครั้ง

Mental Model ของอ๊อดนี่แหละที่ผลักดันอ๊อดไปเปลี่ยน Mental Model คนรอบตัว..เกิดการรวมตัวที่ทรงพลัง..มิตรมีความชัดเจนมากขึ้น ศัตรูบางคนหันมาช่วย...  ชัดไหมครับ

Mental Model เป็นทุกอย่างในโลกความเป็นจริงก็สะท้อนให้เห็นหลายเหตุการณ์เช่น ..  Kodak ที่เชื่อนักเชื่อหนาว่าตัวเองผลิตฟิล์มถ่ายรูปมานาน ...ทั้งๆที่คนใน Kodak เองก็เคยคิดกล้องดิจิตอลได้ ...แต่ด้วยความเชื่อที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ บวกค่านิยมที่ว่าจะต้องทุ่มเทจริงจังเรื่องฟิ์มอย่างเดียวเพราะตัวเองเก่งสุด...นำมาสู่การไม่ได้สอนใจสร้างโครงสร้างคือกลอ้งดิจิตอบใหม่ (Structure)...รูปแบบการทำธุรกิจ (Pattern) ก็ไปอย่างเดิม...Event ก็ขายฟิล์มสำหรับกล้องโบราณอย่าวเดียว...สักพักตายไปเลย...นี่ครับ หายนะเพราะไม่เปลี่ยน Mental Model...

คุณว่าเรื่องใหญ่ไหมครับ... Mental Model ...ถ้าใช่อ่านต่อครับ

ในศาสตร์การพัฒนาองค์กรโดยเฉพาะเรื่อง Learning Organization ถือว่าสำคัฐญสุด เป็นหนึ่งในวินัยห้าประการที่คนเราต้องหมั่นทบทวนอยู่เสมอ...เอาเป็นว่าคุณต้องทบทวน Mental Model ของคุณเสมอ...  เพราะมันกำนดชะตากรรมของคุณเลยทีเดียว

คำถามคือเราจะเปลี่ยนแปลง Mental Model คนในองค์กรอย่างไร 

1. หาครูดี: ในเรื่องจะเห็นว่าการอยู่กับคนดี มีอุดมการณ์ หรือการมีครูที่ดีนี่ช่วยได้ครับ  ลองหาครูดีๆ ไปเรียนรู้ ฝากตัวเป็นศิษย์ คุณจะได้ความเชื่อดีๆ สมมติฐานใหม่ๆ ค่านิยมใหม่ๆ เอง.. ผมเองมีโอกาสเรียนและได้นั่งคุยกับ Peter Senge นี่สุดยอดได้แนวความคิดดีๆ ไปทำอะไรได้มาก โดยเฉพาะเรื่อง Systems Thinking ที่ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เราเห็น Mental Model ของเรา ที่สำคัญคุณจะหา Structure ใหม่ได้ด้วย Pattern และ Event คุณจะเปลี่ยนไป..  เอาง่ายๆ ลองดูบทความที่ผมเคยเขียนเรื่อง Systems Thinking ได้ที่นี่ https://www.gotoknow.org/posts... ในทางธรรมผมมีโอกาสไปบวชกับหลวงพ่อกล้วย .ขอนแก่น นั่นก็ทำให้หลายอย่างในชีวิตดีขึ้นด้วย Mental Model เปลี่ยน ดูประสบการณ์การณ์การบวชของได้ที่นี่..    https://www.gotoknow.org/posts...

2.  ลองใช้เครื่องมือง่ายๆเช่น Left Hand Right Hand Column..ง่ายๆ เอากระดาษมาแผนหนึ่ง เอาปากกาแบ่งหน้ากระดาษเป็นสองส่วน ลองนึกถึงเหตการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ...เขียนสิ่งคุณพูดกับคนอื่นไว้ด้านขวา ส่วนด้านซ้ายเขียนเรื่องที่คุณคิดแต่ไม่พูดออกไป... คุณจะตกใจครับ..ว่าปากกับใจไม่ตรงกัน..จากนั้นคุณลองนั่งคิดว่าครั้งต่อไปคุณจะแสดงออกอย่างไร ให้ปากตรงกับใจด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์กว่าเดิม...นี่คือหา Mental Model และออกแบบ Structure ใหม่ไปในตัว จากนั้นลองไปขยายผล ลองดูรายละเอียดที่นี่ครับ https://www.gotoknow.org/posts...

3. สำหรับในระดับกลุ่มก่อนทำงานลองใช้ Dialogue หรือสุนทรียสนทนาดู.. ลองให้นั่งล้อมวง  สร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้ทุกคนพูดเรื่องที่อยากพูดออกมา โดยไม่มีใครขัดแย้ง เบิ้ล บรั๊ฟ ให้พุดทีละคนจนจบ ไม่ต้องมี agenda สบายๆ ถ้าจะเพิ่มเทคนิกหน่อยก็ใช้คำว่ารู้สึกปิ๊งแว๊บอะไร หลังจากคนอื่นพูด หรืออยากต่อยอดอะไร..เท่านี้ไม่ต้องบังคับให้ใครเปลี่ยน 

ล่าสุดผมก็ใช้ในที่ประชุม..อยู่ดีๆ คณาจารย์ที่คุณก็รู้ติ๊สแตกสุดๆ จากไม่เคยคุยกันได้ ..กลับหาคำตอบร่วมกัน สร้าง Action Plan ร่วมกันได้... คือเรามองเห็นร่วมกันว่า Event ก็คือนักศึกษาจำนวนมากเรียนไปงั๊นๆ ... Pattern ก็จะเห็นว่าทำเท่าที่สอน ไม่คิดต่าง...Structure ก็มาเรียนมันทุกวัน ทำข้อสอบให้ได้... Mental Model... เรียนเอาเพื่อนเอาสังคม..เรียนเพื่อความก้าวหน้า หรือเรียนตามแม่สั่ง หรือกระทั่งตามเพื่อนมาก็มาก ..  ตรงนี้แหละที่เราต้องเปลี่ยน

ตรงนี้ครับคุยๆไปคุยมาจากประสบการณ์ของเรา..ก็เจอว่าก็นักศึกษาจำนวนมากไม่ได้มีจุดหมายในชีวิต เขาก็คิดของเขาอย่างนั้น...ทำอย่างไรล่ะ เราต้องเปลี่ยน Structure การสอน.. เลยได้คำตอบง่ายๆ ว่าเราทุกคนจะใช่วยนักศึกษาด้วยวิธีการของตนเอง อาจใช้การถามเรื่อง จุดหมายของชีวิต (Purpose) ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ทำกันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเรียนเลย..  

นี่ครับคุยแบบ Dialogue ไม่มีเบิ้ล บร๊ฟ เน้นปิ๊งแว๊บ กับต่อยอด...เราคุยกันเพลิน 5-6 ชั่วโมง ไม่ทะเลาะ ไม่ติสแตก มีแต่ข้อมูล การปิ๊งแว๊บ และการต่อยอด  ผมไม่เก่งเรื่อง Dialogue มากนัก อาจไปเรียนจากอาจารย์วิศิษฐ์ วังวัญู อาจารย์มนตรี ทองเพียร และอาจารย์วรภัทร์ก็ได้ จะช่วยได้มากๆ

4. อีกวิธีคือ Appreciative Inquiry ถามหาเรื่องดีๆ จากตัวเอง คนรอบตัว ลูกค้า (Discovery) แล้วเอามาสร้างวิสัยทัศน์ (Dream) จากนั้นร่วมออกแบบ (Design) และ ทำให้เป็นจริง (Destiny)   สิ่งดีๆที่เราค้นหามักสั่นสะเทือนสมมติฐาน ความเชื่อ และค่านิยมของเราเสมอ...จนถึงขั้นเปลี่ยนได้เลย ...  เช่นผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ้งเร็วนี้ เรื่อง Checkin.. คือการให้คนที่มาเรียนกับเราเล่าอะไรก็ได้ที่เขาคิดในใจก่อนเรียน.. แต่เดิมผมไม่ทำเพราะรู้สึกเสียเวลา แต่เห็นอาจารย์ Peter Senge ให้ความสำคัญเลยลงอทำดู เมื่อปีก่อน ลองทำ...ตอนนี้ปลายปีครับอาจารย์เครียดมาก KPI จ่อคอหอย ..เรียนก็โหด...พูดหลายๆคน ...เลยเห็นว่าอ้อ.. Mental Model ของเรามันคือคนที่ไม่ค่อยมี KPI จ่อคอหอยขนาดภาคเอกชน.. Structure การสอนเราก็จัดโหดไป .. Pattern เราก็จะให้การบ้านแหลกเท่าๆกัน ไม่มีเดือนไหนมากน้อยเป็นพิเศษ Event ก็จะมีนักศึกษาคนทำงานจำนวนมาก จะประสามกินหน่อย.. ไม่ได้แล้ว..เลยคุยกันใหม่ ตอนนี้มีความเชื่อใหม่ Ok ปลายปีมันโหดเรียนไม่รู้เรื่อง Structure ปรับใหม่เป็นการให้การบ้านแบบเน้นจังหวะในชีวิตมากขึ้น Pattern เปลี่ยนไปเลยปลายปีช่วงทำ KPI เพลาๆ หน่อยย้ายการบ้านมาหลังปีใหม่ดีกว่า Event ผลคือ Happy กันสองฝ่ายครับ ...  ผมก็เลยจะขยายผลเรื่อง Check-in มากขึ้น เพราะทำให้เราเห็น Mental Model จากการที่เราเปิดรับข้อมูลเชิงความรู้สึกจากคนรอบข้าง เอ้อมันดีแฮะ ทำให้ปรับอะไรได้ทันดี .. 

5. อาจเป็นวิธีอื่นๆ เช่นอ่านหนังสือดีๆ หรือ เรียนหลักสูตร Online ตอนนี้มีครูเจ๋งๆ จากมหาลัยดังๆ ทำหลักสูตรดีๆมาให้เรียน ลองลงเรียนดูนะครับ เปลี่ยนอะไรได้มากเลย ผมเองก็ได้อะไรใหม่ๆ จากการอ่านการเรียนเช่นกัน   

6. วิธีการของคุณเอง...เจอวิธีอะไรเอามาแชร์ได้นะครับ..   

สรุปครับ ...โลกเปลี่ยนเพราะความคิดเปลี่ยน ...อย่างเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนที่แบบแผนความคิด ...  ทุกอย่างตามมาเอง และต้องทำบ่อยๆ เป็นวินัยเหมือนออกกำลังกายครับ ..  ไม่สม่ำเสมอก็ไม่ไปไหน จริงไม่ครับ

และสุดท้ายขอบคุณทีมงาน 9 ศาสตรา ที่กล้าหาญผลิตอะไรดีๆมาสู่สายตาชาวโลก ..อยากเชิญชวนชาวไทยไปสนับสนุนกันนะครับ อย่าดูหนังซูม ไม่สร้างสรรค์ครับ   Mental Model อย่างนี้จะสร้างความฉิบหายให้วงการหนังไทยเลยทีเดียว...รักคนไทย เป็นคนไทย อย่าทำร้ายคนไทยกันนะครับ 

ด้วยรักและปราถนาดี

ดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์

www.aithailand.org 

Reference: ภาพ Iceberg https://www.nwei.org/iceberg/ 

หมายเลขบันทึก: 644059เขียนเมื่อ 20 มกราคม 2018 10:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม 2018 07:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

วิเคราะห์เปรียบเทียบจากหนังได้ชัดมากค่ะ  จนอยากไปดูขึ้นมาซะแล้ว (ไม่ได้เข้าโรงหนังนานมากแล้ว)

และเข้าใจ Mental model เพิ่มขึ้นอีก  เดี๋ยวลองฝึกสังเกตตัวเองก่อนนะคะ  จะอยากเปลี่ยนตัวเองจุดไหนก่อนดี  มีหลายเรื่องนั่นเอง  อิ อิ

สุดยอดครับอาจารย์....มองเห็นภาพเลยครับ

เคยทำmental model ของตัวเองสำหรับออกกำลังกาย สะกดจิตให้ตนเองทำติดต่อกัน 28วันแต่พอถึงครึ่งทางก้อเขว จะเริ่มต้นใหม่อีกกี่รอบก็ไม่รุ้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท