เมื่อสองวันก่อนมีศิษย์ AI ท่านหนึ่งถามว่า "อาจารย์ประทับใจอะไรกับการบวชมากที่สุด"
(48 ชั่วโมงก่อนสึก ที่ลานพระพุทธรูปปางลีลา)
ก็เลยบอกว่า "มีหลายอย่าง..ที่ชอบสุดเรื่องหนึ่ง คือไปนอนป่าช้า"
"ไปนอนอยู่ 9 วัน.."
เมื่อพรรษาที่แล้ว บวชที่วัดป่าธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น หรือที่รู้จักันว่า วัดหลวงพ่อกล้วย หลวงพ่อกล้วยนับเป็นอริยสงฆ์ที่สำคัญรูปหนึ่งของอิสาน...
ก่อนบวชวันหนึ่งก็มีงานศพ..โอว...งานศพ จัดตรงที่เราจะนอน พอดี..นั่นคือ ข้างเมรุ เขาเรียกศาลาพักศพ...
แถวนั้นเป็นป่าช้าครับ..เวลาเข้าห้องน้ำนี่..มันกลัวครับ..รู้สึกหลังนี่วาบเลย..เพราะหลังห้องน้ำไม่กี่เมตรก็หลุมศพแล้วครับ..มีห้าหลุม...ถามว่าทำไมคนสมัยนี้ยังฝังศพ...ถึงบางอ้อ...หลวงพี่ท่านหนึ่งบอกว่า "เป็นความเชื่อของคนอิสาน ว่าถ้าเป็นศพตายโหง หรือตายจากอุบัติเหตุก็ จะฝังไว้ก่อน..ไม่เอาเข้าบ้าน เพราะวิญญาณมันแรง..ต้องให้สงบลงก่อน ถึงเผา"
ยังไม่พอ มีข่าวลือว่า..มีคนเคยเดินผ่านเมรุเผาศพ แล้วเหลือบมองไปที่หลังคาเมรุ เจอเงาดำ นั่งมองมาที่เขาครับ...โอย..ฟังแล้วขนหัวลุก..
โอ..นี่เราต้องใช้ชีวิตอย่างนี้เหรอ ไปอีกสามเดือน...
...
เดือนถัดมา..ก็ยังกลัวครับ..เดินมาเข้าห้องน้ำตอนเที่ยงคืนก็ยังกลัว..แต่ก็เริ่มลองเดินเข้าไปป่าช้าคนเดียว..เดินได้สองเมตร เสียวสันหลัง มันเย็นวาบ ขึ้นมาทางข้างหลังครับ มืดมาก...เลยเดินกลับ...
...
เพื่อนพระไปเดินจงกลมกันตีสอง ก็ไม่ได้ไปกะเขา...
...เดือนที่สาม...เป็นไงเป็นกัน...ควรผ่านสนามนี้ก่อนสึก...
....
เห็นคนเห็นพระนี่แหละกลัวผี..แมวกับมด ไม่เห็นกลัวเลย... ตัดใจครับ..ไปนอนเลย...เพื่อนพระอนุโมทนากันใหญ่...
...
แต่..ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก....
(ถ่ายกับลูกสาว ตอนไปเยี่ยม..เต๊นท์ที่เห็นกลางคืนเปิดโล่งหมดครับ.. ที่เห็นด้านหลังผม..เป็นหลุมศพโบกซีเมนต์อย่างหยาบๆ...เป็นศพตายจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซต์ครับ)
...
ก่อนไป ไปถามเทคนิกหลวงพี่...ท่านบอกว่า เข้าไปเลย..แต่อย่าอธิษฐาน ท่องบทสวดมนต์..หรือแผ่เมตตานะ..
โอว..หลวงพี่..จัดหนักเลยเหรอ...ประมาณว่า อย่างนั้นมันจะเรียกว่าทดสอบเหรอ..
Ok จัดเลย ไปกางเต๊นท์ โรยปูนขาวรอบๆ อยู่ข้างหลุ่มที่พึ่งขุดเอาไปเผา...
สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ ก็ตัดใจ เดินเข้าไปครับ..พึ่งเคยเห็นความมืด..ที่มืดจริงๆ..ไม่เคยเห็นที่ไหนมืดอย่างนี้มาก่อน..เอาเป็นว่าไฟฉายธรรมดาเอาไม่อยู่ครับ..ต้องฮาโลเจ้นอย่างดี..แต่ก็ยังรู้สึกมืดมากอยู่ดี..เข้าไปก็จัดการส่องรอบทิศ...ใจคิด ฟุ้งแว็บหนึ่งครับ..อืม แล้วถ้ามันแขวนลงมาจากยอดไม้ล่ะ..โอว...คิดอะไรนี่...พระอาจารย์ไม่เคยบังคับให้มา..ทำไมเราต้องมาวะเนี่ย...ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้...ไม่ต้องขนาดนี้..ไม่ได้ตั้งใจบวช ให้บรรลุธรรมอะไรนะ..จัดหนักไปหรือเปล่า...
ที่สุดก็ตัดใจเข้าไปในเต๊นท์...ไม่สวดมนต์ ไม่สวดแผ่เมตตา อย่างที่หลวงพี่แนะนำ...ดับไฟครับ...อะไรจะเกิดก็เกิด..มาก็มา..ใจเต้น หายใจถี่..รัวเป็นกลอง..กลัวครับ..นอนในเต๊นท์ก็จริง แต่เปิดเต๊นท์ เห็นรอบตัวนี่ครับ...นึกเห็นหน้าผีมาโผล่ข้างๆครับ..
กลัวมาก...แต่ก็จำคำหลวงพี่.."ดูหายใจ..รู้ลมหายใจ กลัวก็หายใจ ถ้ายังกลัวอีกก็หายใจด้วยพุทโธด้วย"
สักพัก เริ่มค้นพบครับ..ความกลัวนี่หายไปได้แฮะ...ลมหายใจเป็นที่พึ่งได้..
กลัวก็หายใจ..คิด จินตนาการ ก็หายใจ..หายครับ..มันหายไปจริงๆ..
สักพักเริ่มวางได้..พอจะกลัวมันก็วางไปเองเลย..พอจะจินตนาการมันก็หยุดเอง...
แปลกครับ..หลังจากใจเต้นรัว กลัวแทบหยุดหายใจ ที่สุดก็หลับลงครับ..กว่าเที่ยงคืน จนเช้า..ตื่นมาได้ยินเสียงไก่ขัน..
สบาย มีความสุข...
...
เริ่มได้คิดครับ..ว่าที่น่ากลัวที่สุด ที่อาจหลอกหลอนเราจนตายได้ ไม่ใช่ผีภายนอกครับ..กลับเป็นผีภายในตัวเราเองซึ่งคือความทรงจำ (ศาสนาพุทธเราเรียกว่า "สัญญา") ครับ...ยิ่งคุณจำอะไรมามากเท่าไหร่..พอเจออะไรวิกฤติ มันก็จะถูกดึงเอามา สร้างจินตนาการ ที่ดูเหมือนจริง (ศาสนาพุทธ เรียกว่า "สังขาร" ) ครับ แล้วมันส่งผลต่อจิตใจ เกิดอารมณ์หลากหลายครับ (เวทนา) เช่นในป่าช้านี่ก็กลัว..ครับ..แล้วก็ยังส่งผลทางกายครับ..(ใจสั่น หายใจเร็ว)
...
และตามที่พระอาจารย์บอกครับ...ทำไม พระพุทธเจ้าให้เราดูลมหายใจ ปฏิบัติธรรมจากส่ิงไกล้ตัว เริ่มจากดูลมหายใจ ก็เพราะอะไรครับ...
พระอาจารย์บอกว่า
"ลมหายใจไม่เคยโกหกใคร"
ลองพิสูจน์ได้ครับ..
หายใจเข้าตอนนี้ คุณจะรู้ครับ..ไม่ต้องตีความอะไร ว่าคุณกำลังหายใจเข้า..ออกก็รู้...นี่คือสัจธรรม เลยครับ..
แต่ความคิดคุณ..แน่ใจเหรอครับ ว่ามันไม่หลอกคุณ...นี่แหละครับ..ที่พอคุณรู้ลมหายใจ คุณกำลังรู้ความจริง..เมื่ออยู่กับความจริงนานพอ..คุณก็จะสังเกตอะไรที่มันไม่จริงได้ชัด
แล้วคุณจะเห็นที่มาของการคิด อารมณ์ ได้เอง..เมื่อเห็นที่มาก็จะวางได้เอง..อ้อ มันเป็นเช่นนั้นเอง..ไม่เป็นทาส "ความทรงจำของเราเอง" อีกครับ..
...
พอหายกลัวก็กลับไปนอน..จนถึงวันที่ 8-9...ก็เจอผีในตัวอีกตัวครับ...มันชื่อ "ความหลงดี"
...
เจอพ่อแม่ เมีย ลูก นักศึกษา ก็อันต้องพาไปดูครับ..ว่านอนตรงไหน..ทุกคนทึ่งครับ..ว่าผมดู "ขมังเวทย์ มาก.."
"พระอาจารย์นอนตรงนี้เลยเหรอ"
คนชมครั้งแรกก็เห็นเลย..เห็นอาการยกหางของตัวเองชัดเจน...
ก็เหมือนเดิม..ดูลมหายใจ..แล้วก็มาชำเลืองดูใจตัวเอง..เห็นอาการพองก็ดับครับ..แค่รู้สึกมันก็ดับ...ดับไปดับมา..ก็เป็นกลางไปเอง..คราวนี้ไม่แล้ว..มันหลอกเราไม่ได้..สบายครับ..หายบ้าไปเลย..
..
วันที่ 9 นอนเป็นคืนสุดท้าย ผมก็กลับมานอนข้างศาลาพักศพกับหมู่คณะครับ..เพราะไม่ต่างแล้ว..กลับไปนอนข้างเมรุ บอกมือลาเพื่อนๆ ที่อยู่ในหลุม เพราะต้องเปิดโอกาสให้ผู้แสวงหาท่านอื่นไป "จัดเต็ม" บ้าง...
...
ผมยังไม่บรรลุธรรม แต่หลังจากนอนป่าช้ามา..ผมมีความสุขขึ้นมากครับ.บางทีก็นั่งมองตัวเอง..อะไรมันหลอกเราอีกนะ..
มีคนถามว่า อาจารย์ เจอผีไหม..ก็บอกว่า..
"ลองไปนอนดูสิ เดี๋ยวรู้เอง.."
แต่สำหรับผมกับเพื่อนในป่าช้าวัดป่าธรรมอุทธยาน ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันครับ..อยู่ 9 วัน รู้สึกแค่ไม่เหงา มีคนนอนเป็นเพื่อนตั้งห้าคน...เพียงเรานอนอยู่ชั้นสอง อีกห้าคนนอนข้างล่างเท่านั้นเอง..."
"ขออนุโมทนากับเพื่อนทั้ง 5 คนนะ ขอให้ให้ไปสู่สุคติ...เพื่อนเป็นทั้งกัลยาณมิตร..เป็นทั้งอาจารย์ของผู้แสวงหาในสังสารวัฎ..ขอให้เพื่อนจงภูมิใจนะ"
...
นี่ครับ หนึ่งในความประทับใจที่เล่าให้ศิษย์ AI ฟัง
<img src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/846/445/large_Monk1.jpg?1352519404">
(ถ่ายกับเพื่อนๆ..ที่บวชครับ..มีพระอาจารย์ที่กราบได้สนิทใจสองท่านในรูปคือหลวงพี่ต้าร์ ผู้เมตตา กับหลวงพี่ต๋อง ผู้เปี่ยมด้วยภูมิธรรม)
น่าทึ่งจริงๆ ค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะที่นำสิ่งดีๆมาฝาก ขออนุโมทนาด้วยค่ะ แต่ยังติดอยู่กับเพื่อน 5 ท่าน ที่นอนชั้นล่างเป็นเพื่อนนั้น ท่านโบกมือตอบรับการลาด้วยไหมคะ
อ่านแล้ว คิดถึงวัดเลย
เห็นอาจารย์เกริ่นถึงศึกครานี้ให้ฟังในห้องค่ะ น่าสนใจมากค่ะ ขอบคุณสำหรับเรืีองราวดีๆค่ะ อ่านเรื่องของอาจารย์เสร็จรีบหันไปถามน้องชายเลยว่า ถ้าน้องต้องบวชแล้วไปแบบนี้บ้างจะไหวมั้ย
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ