วิธีสอนคนของทางตะวันตกกับตะวันออก แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดตรงที่.
ตะวันตกเน้น ทฤษฏี (Theory) แต่ตะวันออกเน้น ปรัชญา (Philosophy) .
ฝั่งตะวันตก : เมื่อมีองค์ความรู้ ก็จะนำมาประมวลเป็นหลักการ แล้วก็ตั้งชื่อเท่ๆ
.
ผมขอยกตัวอย่างเช่น ความรู้เรื่องการคบคน
ฝรั่งเขาก็คิดวิเคราะห์ว่ามีขบวนการและวิธีอย่างไรบ้าง
เอามาสรุปเป็นหลักการ แยกเป็นข้อ
ข้อ 1. การคบคนต้องดูจากการพูด พูดลบหรือพูดบวก
ข้อ 2. ดูจากการกระทำ เพราะการกระทำออกจากความคิด
ข้อ 3. ดูจากนิสัย นิสัยเป็นตัวบอกผลกระทบต่อคนรอบข้าง
ข้อ 4. หากดูถึงสภาพครอบครัวและเพื่อน จะยิ่งเข้าใจคนนั้นได้อย่างลึกซึ้ง
แล้วก็ตั้งชื่อเท่ๆ เช่น “ทฤษฏีการมีปฏิสัมพันธ์ขั้นต้น”
ก็ตามมาด้วยคำอธิบายเพื่อขยายความ
นี่คือขบวนการสอนแนวฝรั่ง รูปแบบทฤษฏี ที่เรานำมาใช้เป็นหลักสูตรการเรียนในปัจจุบัน
.
ทีนี้มาดู วิธีการสอนแบบฝั่งเรากันบ้างครับ สอนแบบปรัชญา เป็นอย่างไร
เรื่องการคบคน สอนแบบสั้นๆ เจาะใจด้วยสุภาษิตเลย
“คบคนเช่นไร ก็เป็นคนเช่นนั้น” หรือ “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”
เป็นการสรุปหลักการนำมาปรับเป็นถ้อยคำสั้นๆ ที่เรียกว่าสุภาษิต แล้วก็ค่อยอธิบายขยายความสุภาษิตนี้
นี่คือ การสอนแบบใช้ใจครับ คนเอเชียมักสอนกันแบบนี้
ฝรั่งสอนแบบใช้สมอง ต้องมีทฤษฎีประกอบ
.
ถามผมว่า แบบไหนดีกว่ากัน ก็มีข้อดีไปคนละอย่างครับ
ของฝรั่งเค้ามีรายละเอียดดี มีหลักการขั้นตอนชัดเจน วัดผลเป็นรูปธรรมได้
ส่วนของไทย (ขอเรียกว่าของไทย) นี้ได้ความลึกซึ้งกินใจ สั้นกระชับ
ความเห็นผม ผมว่าผสมผสานกันดีที่สุด เพราะคนมีทั้งสมองและทั้งใจ
เอาของเราเป็นหลัก ของฝรั่งเป็นรอง เพราะจิตนำสมอง
.
และบุคคลที่สอนผสมผสานได้อย่างดีเยี่ยม
ก็คือ พระพุทธเจ้า ครับ ท่านสอนครบถ้วน มีคำกล่าวว่า ทรงสอนได้ถึงพร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ
ผมก็ขอหมายถึงครบทั้งปรัชญาและทฤษฏี นี่คือปรีชาญาณของท่าน
แล้วท่านยังมีวิธีการสแกนคนอย่างลึกซึ้ง เพื่อเลือกบทเรียนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนนั้นๆ
ท่านจึงเปลี่ยนคนเป็นอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็ว
.
บุคคลต้นแบบการสอนของผมก็คือท่าน พยายามนำวิธีการสอนของท่านมาใช้
และก็หวังว่าสักวันหนึ่งหลักสูตรการสอนในเมืองไทยจะประยุกต์ตามวิธีการของท่าน
คนไทยจะได้เก่งเร็วๆ....