เราอาจแบ่งมุมมองเป็น 2 ข้อ คือ 1.สังคมศาสตร์นอกห้องเรียนคือชาวบ้านทำกันอยู่ เป็นสังคมศาสตร์ท้องถิ่น เช่นบทเพลงที่ว่า พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ก่อเกิดเป็นกระแสรอง
2. สังคมศาสตร์ในห้องเรียนคือมีเรียนในมหาวิทยาลัย ก่อเกิดเป็นกระแสหลัก
ในกระแสหลักแบ่งเป็น 3 ยุค คือ
1.ยุคบุกเบิก พ.ศ. 2490 – 2510
2.ยุคสร้างตน พ.ศ. 2510 – 2530
3.ยุคเชื่อมสังคมโลก พ.ศ. 2530 – ปัจจุบัน
ก่อนไทยรับสังคมศาสตร์ตะวันตกนั้นเริ่มในสมัย ร. 5 ดังนี้
1.ชนชั้นนำมี พระยา เสนาบดี เมื่อไปอยู่ประจำตามหัวเมืองก็เก็บข้อมูล บันทึกการเดินทาง มีบันทึกใน วารสารสยามสมาคม Journal of The Siam Society มีชาวตะวันตกเน้น ความมีอารยธรรม ไทยเน้นความมีศิวิไลซ์ Civilization กรณีการนำเงาะป่าไปโชว์ที่กรุงเทพ ฯ ก็เพื่อบอกว่าในสังคมชั้นสูงก็มีศิวิไลซ์เหมือนทางตะวันตก และแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ 1. ชาวกรุง ถือว่ามีศืวิไลซ์ 2.ชาวนา ถือว่าบ้านนอก และ 3.ชาวป่า
2.ปราชญ์ชาวบ้าน มีผู้รู้ท้องถิ่น คนอิสระ นักเขียนกลอน เขียนหนังสือ ( ยังไม่มีชนชั้นกลาง ) การศึกษาอาจแค่ ป. 4 สูงสุดแค่ ม.ศ. 5
ต่อมาเกิดจุฬา ฯ ธรรมศาสตร์ ก็เป็นเพียงอบรมเพื่อสอนคนให้ไปเป็นข้าราชการ เมื่อเดินทางก็เขียนบันทึกเล่าไว้เช่น 1.บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ไปพม่า จีน ก็เขียนคนไทยในพม่า คนไทยในสิบสองปันนา สามสิบชาติในเชียงราย 2.กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถือว่าเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก และชี้ว่า สังคมไทยมีหลายชาติพันธุ์ คนต่างกันด้านวิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย
แง่คิด อะไรอยู่นอกห้องเรียนมักมองว่าไม่ใช่วิชาการ ถ้าวิชาการต้องอยู่ในห้องเรียน ในมหาวิทยาลัย เราดูถูกความรู้นอกห้องเรียนว่าโง่ มองแคบ ความจริงเราอาศัยความรู้ในห้องเรียนอย่างเดียวไม่ได้ดอกมันจะเป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เมื่อมองสังคมโลก ฝรั่งมาปกครองคนพื้นเมือง เราไปเรียนแบบโดยชนชั้นนำไปปกครองหัวเมือง นั้นก็คือ อาณานิคมจากภายใน Internal colonialism เพราะในสมัย ร. 5 มีการส่งคนไปดูงานที่อินเดีย ชวา พม่า ( กรมป่าไม้ ) ก็ไปเรียนวิธีการปกครองอาณานิคมนั้นเอง นี่คือเกลียดตัวกินไข่ ว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเอง เป็นอันว่า มีการรวบรวมข้อมูลแบบปกิณกะ คือ เขียนแบบคละกันเป็นข้อมูลที่กระจายปะปนไป เขียนสิ่งละอัน พันละน้อย เจออะไรก็บรรยายไป ต่างจากชาวตะวันตกเขามีวัฒนธรรมการเขียน ทางตะวันออกไม่มีวัฒนธรรมการเขียนแต่อยู่ในรูปอื่น เช่น ภาพวาด สถาปัตยกรรม หัตถกรรม พิธีกรรม นี่คือความรู้ชาวบ้าน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2491-2 เกิดสังคมศาสตร์ขึ้นในห้องเรียน แต่สังคมศาสตร์ท้องถิ่นยังคงดำเนินอยู่ ด้วยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2485 เริ่มมีสังคมศาสตร์ตะวันตกปรากฏขึ้นมา และวิชารัฐศาสตร์ถือเป็นสาขาแรกของสังคมศาสตร์ที่เข้ามาในเมืองไทย โดยเปิดเรียนที่ธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. 2491 และจุฬา ฯ เปิดตามมาปี พ.ศ. 2492 ในช่วงแรกรับแนวคิดมาจากฝรั่งเศส อังกฤษ ทฤษฎีดังที่สุดตอนนั้นคือ ทฤษฎีของอีมิล เดอร์ไคหม์ ( Emile Durkheim ) เขาเป็น 1 ในนักคิดทางสังคมวิทยา 3 คนที่ยิ่งใหญ่คือ 1.อีมิล เดอร์ไคหม์ ( Emile Durkheim ) เป็นคนฝรั่งเศส เขาเขียนหนังสือชื่อ Division of Labour in Society การแบ่งงานกันทำในสังคม เป็นทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ แนวความคิดนี้โด่งดังในอังกฤษ มีนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษเอาไปใช้ชื่อ อัลเฟร็ด เรจินัลด์ แรดคลิฟฟ์-บราวน์ ( A.R. Radcliffe-Broown ) เขาทำวิทยานิพนธ์ ป. เอก ชื่อ ชาวเกาะอันดามัน The Andaman Islander ในเล่มนั้นเน้นทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ คือ ทุกสถาบันมีหน้าที่ในการจรรโลงให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีสมดุล
2.คาร์ล มาร์กซ์ ( Karl Marx ) เป็นคนเยอรมัน 3. แมกซ์ เวเบอร์ ( Max Weber ) เป็นคนเยอรมัน
............................................................
คำขอบคุณ เก็บมุมคิดนี้จากการฟัง ศ. ดร. อานันท์ กาญจนพันธุ์ เมื่อ วันที่ 13 – 14 ม.ค. 2561 ณ ม. ทักษิณ สงขลา.
ไม่มีความเห็น