ผมอยากให้ลองจินตนาการถึงเมืองในฝันเมืองหนึ่ง เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะอาศัยอยู่เต็มไปหมด อาทิ สตีฟ จ๊อบส์ ,บิล เกตส์, ไอน์สไตน์, กาลิเลโอ, เพลโต, ขงเบ้ง, หลวงวิจิตรวาทการ, ศรีปราชญ์, หลุยส์ วิตตอง, ไมเคิล แองเจลโล่ , พระยาพิชัยดาบหัก, คานธี, เหมาเจ๋อตุง และอีกมากมายหลายท่าน เอาว่าอัจฉริยะมีเป็นร้อยน่ะครับ ท่านคิดว่าสภาพเมืองนั้นจะเป็นอย่างไรครับ โห คงจะเต็มไปด้วยเครื่องมือ สิ่งประดิษฐ์สุดล้ำ สถาปัตยกรรมอันพิสดาร เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้สุดวิจิตร ภาษาที่งดงาม ระบอบการปกครองที่ปราศจากคอรัปชั่น ตึกรามบ้านช่องถนนหนทางที่คนต่างถื่นมาเห็นคงจะตะลึงอึ้ง ชนิดที่เมืองดูไบชิดซ้ายตกอ่าวเปอร์เซียไปเลย
.
แต่ในความคิดผมตรงกันข้ามครับ ผมจินตนาการถึงเมืองธรรมดาๆ ไม่ได้มีวัตถุธรรมอันวิจิตรอะไร ผมคิดว่าเป็นเมืองที่ผู้คนคงมุ่งหาสิ่งที่เป็นเลิศที่สุดในชีวิต ...ทำไมผมคิดแบบนั้นน่ะเหรอครับ ? เพราะธรรมชาติของอัจฉริยะคิดได้ลึกซึ้งกว่าคนธรรมดา เมื่อพวกเขาได้มาอยู่ที่เดียวกัน ได้เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน พวกเขาย่อมจะค้นคว้าหาสิ่งที่สุดยอดที่สุดของที่สุด ซึ่งผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ สถาปัตย์ หรือข้าวของเครื่องใช้สุดไฮเทคอย่างแน่นอนครับ
.
ยกตัวอย่างเช่น ไอนสไตน์, กาลิเลโอ เขาค้นหาความลับของจักรวาลครับ ทฤษฏีต่างๆ หรือสิ่งประดิษฐ์ล้วนเป็นผลลัพธ์ของแนวคิดและการค้นคว้าของเขา ผมเชื่อว่าแม้กระทั่งสตีฟ จ๊อบส์เอง ก็ค้นหาสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุด ไอโฟนเป็นเพียงผลข้างเคียงการคิดของเขาเท่านั้น แต่เขาอาศัยอยู่ในยุคนี้ไงครับ เขาถึงทำได้ทำสิ่งนี้...
.
ถ้าไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรครับ ขอเชิญอ่านต่อก่อนนะ...
เรื่องเมืองในจินตนาการ แม้จะเป็นแค่ความฝัน แต่ก็เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ครับ !!
ครั้งหนึ่งเคยมีเมืองที่อัจฉริยะอาศัยอยู่เต็มไปหมด แทบเดินชนกัน สติปัญญาพวกเขาอย่างลึกซึ้งครับ แล้วพวกเขาค้นหาอะไร ? พวกเขาค้นหาว่าความสุขแท้จริงคืออะไร และคำตอบไม่ใช่การได้สุขสบายกับการกิน ดื่ม เสพวัตถุ นั่งรถหรู อยู่คฤหาสน์ ใช้เครื่องมือไฮเทค แต่เขาค้นหาสัจธรรมครับ ค้นหาความลับของมนุษย์ ความลับของธรรมชาติ ความลับของจักรวาล เมืองที่ผมว่านั่นคือ ชมพูทวีป หรืออินเดียช่วงพุทธกาล ยุคที่ความเจริญของจิตใจและปัญญาถึงขีดสุด
.
ก่อนอื่น ผมอยากให้ลบภาพความคิด ภาพของพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยพุทธรูป กลิ่นธูปควันเทียน ลองนึกถึงเมืองที่ผู้คนมีสติปัญญาสูงสุด พูดคุยกันแต่เรื่องที่ลึกซึ้ง ค้นหาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด พวกเขาไม่เสียเวลามาสร้างวัตถุ เช่น ปิรามิด หอไอเฟล หรือก้มหน้าเงินเพื่อจะเป็นโคตรมหาเศรษฐี พวกเขามุ่งฝึกวิชาครับ วิชาที่จะทำให้สติปัญญาหลักแหลมที่สุด เพื่อจะเปิดประตูแห่งจิตสู่มิติที่ลึกซึ้งที่สุดที่มนุษย์จะหยั่งถึง อินเดียช่วงพุทธกาลจึงเต็มไปด้วยผู้รู้ ครูบาอาจารย์ และผู้ฝึกวิชา เดินหลบกันแทบไม่พ้น
เป็นวาระนั้นเองที่ปรากฏตัวผู้ที่มีภูมิปัญญาขั้นสูงสุด ผู้ที่ฝึกจนเข้าถึงสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...พระพุทธเจ้า
นอกจากนั้นยังตามมาด้วยพระสาวกที่เป็นเอตทัคคะถึง 80 ท่าน เอตทัคคะ คือผู้ที่เป็นเลิศสุดยอดด้านต่างๆ ก็เทียบเท่ากับอัจฉริยะนั่นเอง อัจฉริยะจริงๆ แต่ละท่าน เช่น พระอานนท์ผู้มีความจำเป็นเลิศ จำได้หมดว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไรบ้างตลอด 45 ปี เห็นไหมครับ ( เราแค่เบอร์มือถือตัวเองยังแทบนึกไม่ออกแล้ว) หรือพระสารีบุตร ท่านสามารถนับเม็ดฝนได้ เมื่อฝนตกครั้งหนึ่ง ! นี่ถ้าท่านเขียนเป็นสูตรคณิตศาสตร์เอาไว้อะไรจะเกิดขึ้น เราอาจมีมือถือใช้ตั้งแต่ปี พศ. 500 ก็เป็นได้ !! อัจฉริยะเฉพาะของสำนักพระพุทธเจ้ามี 80 ท่านแล้ว แล้วสำนักอื่นๆ อีกล่ะ จะมีอีกเท่าไหร่... เมืองอัจฉริยะจริงๆ
เมื่อจินตนาการมาถึงจุดนี้แล้ว พอจะนึกภาพออกไหมครับ ว่าเมืองที่อัจฉริยะอาศัยอยู่กันเป็นร้อย ผู้คนเขาคิดอย่างไรกัน เมืองที่ผู้คนใฝ่หาความสุขแท้จริงนี้จะสงบสุข และน่าอยู่แค่ไหน
.
มาเทียบกับยุคนี้นะครับ เรามากลับมาสู่ชีวิตจริง ภาพรวมที่เหมือนจะเจริญรุ่งเรืองศิวิไลซ์ อุดมไปด้วยคนสวยหล่อ (ด้วยศัลยกรรม) รถคันงาม เทคโนโลยีเลิศล้ำ แต่เมื่อปอกเปลือกสวยออกจะพบ มาเฟีย ฆ่าข่มขืน คอรัปชั่นทุกหย่อมหญ้า หญิงค้าประเวณีอย่างไม่อายสถาบัน ตบตีแย่งผัวกันตั้งแต่ยังเด็ก ติดยา ติดพนัน กินเหล้าแทนน้ำ ชายโฉด โหดเหี้ยม หลอกลวง เห็นแก่ตัว สังคมยอมรับการคบชู้อย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด ผู้ร้ายใส่สูท บ้ารวยอย่างขาดวิจารณญาณ ธุรกิจผิดกฎหมาย แชร์ลูกโซ่ ทำลายธรรมชาติจนโลกร้อนสร้างภัยธรรมชาติมากขึ้นทุกปี คนเห็นผิดเป็นชอบอย่างแทบแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก นี่คือชีวิตที่เราอยู่จริง น่าสงสารตัวเองไหมครับ ? !!
.
ผลจากความคิดของอัจฉริยะที่เขาสร้างออกมาเป็นเครื่องอำนวยกิเลส แล้วเป็นไง ผลกระทบต่อมาก็คือ โลกศิวิไลซ์เปลือกสวยใสปิ๊งแต่เน่าในหนอนทะลักที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ พร้อมกับคำทำนายอนาคตว่ามนุษย์จะล้างความงดงามของโลกสิ้น ไงล่ะครับ มีความสุขไหม ผมเชื่อเหลือเกินว่าผมจินตนาการไม่ผิดหรอกครับ ถ้าพวกอัจฉริยะได้เบรนสตรอม ใช้วิสัยทัศน์มองอนาคตร่วมกัน สมองอัจฉริยะ พวกเขาคงค้นหาสิ่งที่ไม่สร้างผลกระทบเสียหายระยะยาวต่อมนุษยชาติแบบนี้แน่
หลักฐาน เช่น ไอน์สไตน์เสียใจมากที่ต้องเซ็นต์ยินยอมให้เอาทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาไปสร้างระเบิดอะตอม , แม้แต่เอดิสันเอง ก็ยังบันทึกเทปอัตชีวประวัติตนไว้ว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ประดิษฐ์อะไรเลย เพราะเขาบอกเองว่ามนุษย์มีจิตใจที่ไม่พร้อมจะใช้สิ่งของเหล่านี้ .... .
.
แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคที่แสนสลดเกือบๆ จะเป็นมิคสัญญี (คือ ยุคที่คนฆ่าแกงกันอย่างไม่รู้สึกรู้สา แล้วนำมาประกอบเป็นอาหาร ! ) แต่ผมก็รู้สึกว่า โลกยังไม่โหดร้ายเกินไป เรายังมีทางเลือกครับ เมื่อรู้แล้ว มันอยู่ที่เรา ว่าเราจะเป็นปลาตายไหลตามกระแส หรือปลาเป็น ว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยว
สำหรับผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็ต้องขอขอบคุณท่านที่ได้อ่านจบ และหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ข้อคิดอะไรบ้าง เพื่อปลดแอกสติปัญญาออกจากโลกของความหลงผิด ศิวิไลซ์เปลือกๆ แล้วเลือกเส้นทางชีวิตที่ล้ำลึกกว่าการบ้าวัตถุ กลับมาเป็นโลกที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะกันดีไหมครับ
ส่วนตัวผมเองตั้งคำถามไว้เสมอๆ เพื่อเป็นเครื่องนำทางการกระทำว่า “ความสุขที่แท้จริงคืออะไร” แล้วเลือกทำสิ่งนั้นครับ
......
-สวัสดีครับอาจารย์
-บ่อยครั้งที่เรามักจะทำอะไรตามใจตนเอง
-ไม่อาจปฏิเสธได้กับสภาพแวดล้อมหรือยุคที่เราได้ซึมซับอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
-สติตั้งได้แต่ก็ยังเผลอ.
-หากแต่เราได้อยู่ในมุมของเราเพียงชั่วใจเราก็จะได้พลังบางอย่าง
-หากแต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ภายใต้การไม่เบียดเบียนใครๆ แล้ว ก็คงจะดีนะครับ
-จินตนาการถึงเมืองที่มีการแบ่งปัน ความสุข ขอรับ..
ทำหน้าที่ดีที่สุดนั้นคือ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึ่งกระทำครับ
ภาพนี้ที่ไหนเหรอครับ
จะเป็นปลาว่ายทวนน้ำเชี่ยวดูครับ
ขอบคุณมากๆครับ
อ. ขจิต เป็นอยู่แล้วครับ ผมเห็นผลงานเลย