School-University Partnerships Initiative (SUPI) เป็นโครงการสำคัญของขบวนการขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรเข้าไปใกล้ชิดกับสังคม ผมตีความว่าเป้าหมายหลักของ SUPI คือสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนให้เห็นคุณค่าของชีวิตนักวิจัย หรือนักวิชาการ โดยการนำ “cutting-edge research into the classroom” ตามในเอกสาร School-University Partnerships : Lessons from the RCUK School-University Partnerships Initiative (SUPI) (https://www.publicengagement.ac.uk/sites/default/files/publication/nccpe_supi_lessons.pdf )
ในที่นี้ “หุ้นส่วน” มี ๓ ฝ่ายคือ นักเรียน ครู และนักวิจัย โครงการนี้สนับสนุนทุนโดย RCUK เริ่มปี ค.ศ. 2013 ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมาใช้เงินไป ๒.๔ ล้านปอนด์ และตามในเอกสารระบุวัตถุประสงค์ ๔ ข้อ ตีความได้ว่าเขาต้องการให้เกิดความร่วมมือระยะยาว (หรือถาวร) ระหว่างมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพของโรงเรียน
ที่จริงหากมองตามชื่อ School-University Partnerships หุ้นส่วนหลักมี ๒ ฝ่าย คือโรงเรียนกับมหาวิทยาลัย ฝ่ายโรงเรียนมีนักเรียนและครูเป็นผู้ดำเนินการและรับผลประโยชน์ ส่วนมหาวิทยาลัยผู้ดำเนินการและรับผลประโยชน์มี ๔ กลุ่มคือ นักศึกษาระกับปริญญาตรี นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ผู้ฝึกปฏิบัติงานหลังปริญญา และนักวิจัย (รวมทั้งอาจารย์) ผมตีความว่า ความร่วมมือนี้ช่วยเปิดพื้นที่การทำงานของคนมหาวิทยาลัยให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้ในสภาพจริง (ซึ่งในที่นี้คือโรงเรียน) มากขึ้น
จากเอกสาร จะเห็นว่า RCUK ออกเงินและกำหนดเป้าหมาย มอบให้ NCCPE บริหารโครงการ ซึ่งบริหารแบบประสานงาน แต่ละมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่ร่วมมือกันมีอิสระในการคิดวิธีดำเนินการให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด แล้ว NCCPE ติดตามประเมินผล และสังเคราะห์ผลการดำเนินการ ๔ ปี ออกมาเป็นข้อเรียนรู้ ตีพิมพ์เผยแพร่ในเอกสารนี้ และในเว็บไซต์ https://www.publicengagement.ac.uk/work-with-us/current-projects/school-university-partnerships-initiative/supi-lessons
เอกสารระบุข้อเรียนรู้ ๖ ข้อ สรุปได้ว่า ภาคีทั้ง ๓ ฝ่ายได้ประโยชน์ ได้เรียนรู้ และได้แสดงศักยภาพในการสร้างสรรค์ โดยเขาใช้หลักการ Co-creation คือได้ร่วมกันสร้างวัสดุประกอบการเรียน เพื่อให้ครูและนักเรียนได้ใช้ในชั้นเรียนอื่นๆ และได้สร้างรูปแบบของชมรมวิชาการหลากหลายแบบขึ้นในมหาวิทยาลัย ให้นักเรียนได้เลือกเข้าร่วมเพื่อการเรียนรู้อย่างอิสระตามความสนใจของตนเอง ที่ผมเรียกว่า “พื้นที่เรียนรู้ 2/3” (https://www.gotoknow.org/posts/635072) ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย
ใน Engagement Conference 2017 วันแรก ช่วง Working Sessions มีเรื่อง IRIS : bringing the cutting edge to the classroom (http://www.sanger.ac.uk/news/view/uk-students-working-scientists-help-prevent-childhood-parasite-infection ) ที่มีการจัดการให้นักเรียนชั้นมัธยมจากโรงเรียนต่างๆ สมัครเข้าทำงาน “นักวิทยาศาสตร์น้อย” เพื่อค้นหา (annotate) ยีนจาก genome sequence ของพยาธิแส้ม้า (whipworm) เป็นการเข้าร่วมทีมงานวิทยาศาสตร์จริงๆ และผลงานก็เป็นผลงานจริง คือค้นพบยีนในจีโนมของพยาธิแส้ม้าของคน จะเห็นว่าเขามีหน่วยงานการกุศลชื่อ The Institute of Research in Schools (http://www.researchinschools.org/about-us.html) ทำงานขับเคลื่อน “transformation of the student and teacher experience of science” และในกรณีของโครงการค้นหายีนของพยาธิแส้ม้านี้ IRIS ทำงานร่วมกัยสถาบัน Sanger ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
NCCPE ได้จัดทำคำแนะนำการทำงานร่วมกับโรงเรียน อ่านได้ที่ https://www.publicengagement.ac.uk/do-it/who-work-with/working-with-schools เป็นคำแนะนำแก่ฝ่ายมหาวิทยาลัย บอกข้อจำกัดของโรงเรียน แนะนำให้ปรึกษาหารือกับทางโรงเรียนก่อนคิดโครงการ และแนะนำกิจกรรมที่สามารถดำเนินการ ๙ ประเภท ซึ่งมีกิจกรรม “after school clubs or national schools’ competitions” ซึ่งตรงกับ “พื้นที่เรียนรู้ 2/3” ดังกล่าวข้างต้น
คำแนะนำดังกล่าวนำไปสู่ท่าทีของความร่วมมือ ที่ไม่ค่อยตรงกับหลักการ engagement ที่เน้นความเป็นหุ้นส่วน ไม่ใช่ความช่วยเหลือ เพราะข้อความในคำแนะนำบ่งไปทางแนะนำฝ่ายมหาวิทยาลัยเป็นฝ่ายไปชวนโรงเรียน ไม่มีแนะนำฝ่ายโรงเรียนให้เป็นฝ่ายรุกไปชวนมหาวิทยาลัย ดังนั้นในการประชุมจึงมี feedback ว่าโครงการนี้มองโรงเรียนเป็นฝ่ายรับเกินไป ซึ่งทาง NCCPE ก็ยอมรับ
ข้อเรียนรู้สำคัญสำหรับประเทศไทยคือ ควรมี management platform เพื่อใช้มหาวิทยาลัยเป็นหุ้นส่วนร่วมกับภาคีหุ้นส่วนอื่นๆ ในพื้นที่ (เช่น อปท., บริษัทเอกชน, หน่วยงานพัฒนาภาคประชาชน) ดำเนินการร่วมกับโรงเรียน เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้รอบด้านของนักเรียนและเยาวชนนอกโรงเรียน ในทำนองเดียวกันกับ SUPI แต่ดัดแปลงให้เหมาะสมต่อบริบทไทย management platform นี้ต้องมีการวิจัยและ M&E (monitoring & evaluation) สำหรับใช้หมุนวงจรเรียนรู้ของโครงการ นำไปสู่การปรับปรุงโครงการ
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การมี development platform ต่อ “พื้นที่ 2/3” สำหรับให้นักเรียนมีอิสระในการเลือกทำกิจกรรมที่ตนรัก อันจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ ๗ ด้านตาม 7 vectors of identity development ของ Chickering (https://en.wikipedia.org/wiki/Chickering%27s_theory_of_identity_development)
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ธ.ค. ๖๐
ไม่มีความเห็น